อยากรู้ว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้าไหม? มีทางแก้ไขอย่างไรบ้าง ตอนนี้เครียดมากเลยค่ะ

สวัสดีค่ะ เรื่องที่เขียนระบาย+ขอคำปรึกษามันยาวมากๆ เลยนะคะ แต่ก็อยากให้อ่านกันให้จบค่ะ



คือเกริ่นก่อนเลยว่านิสัยส่วนตัวเป็นพวกที่ชอบเก็บเอาสิ่งที่เจอมาเครียดคนเดียว ไม่เล่าให้ใครฟังกระทั่งแม่(ถ้าไม่หนักจริงๆ)
พ่อเสียไปตั้งแต่ตอนที่จำความไม่ได้ มีแม่ที่เลี้ยงเราคนเดียวมาโดยตลอด ชอบยึดติดเพื่อนมาก ประมาณว่าขาดเพื่อนไม่ได้
และมันมีเหตุการณ์นึงที่ทำให้ตัวเราเองเปลี่ยนไป (จากการสังเกตุตัวเอง)
เราทะเลาะกับเพื่อนในกลุ่มที่รักมากๆ แบบรุนแรงสุดๆ ทุกคนมีอคติกับเรา แต่เพราะว่าเป็นเพื่อนมานาน จึงได้ให้เราแก้ตัวอีกครั้ง
แต่ว่าแก้วที่ร้าวแล้วแตกแล้ว ถ้าเอามาสมานย่อมมีร้อยแตกนั้นอยู่ เพื่อนเราก็เหมือนกันค่ะ
เราเปลี่ยนตัวเอง จากเป็นคนร่าเริงก็เป็นคนเงียบๆ มันไม่เหมือนเดิมเลย เวลาจับคู่ก็ถูกเกี่ยง ไม่มีคนเอา
ในกลุ่มเราจะมีบัดดี้ของแต่ละคน ไม่มีใครอยากคู่กับเรา เขาเกี่ยงเราไปมาเหมือนเราเป็นแค่เศษขยะก้อนนึง

ผลสรุปคือ เราโดนไล่ออกจากกลุ่ม เพราะว่าให้ทำยังไงมันก็ไม่เหมือนเดิมแล้วจริงๆ พวกเขาอึดอัดที่มีเรา เราออกมาแล้วก็มาเข้ากลุ่มใหม่

กลุ่มใหม่ปฏิบัติกับเราดีมาก เราจึงผ่านจุดที่น่าอึดอัดจุดนั้นมาได้ แต่เราก็ยังไม่เหมือนเดิมอยู่ดี เราจะรู้สึกว่าเราเป็นตัวของตัวเอง
เวลาอยู่ในกลุ่มเพื่อนที่สนิทเท่านั้น พอเราอยู่กับคนที่ไม่เคยคุย ไม่สนิท ไม่รู้จัก มันจะเหมือนมีกำแพงกั้นเราออกจากโลกภายนอกทุกที
ซึ่งเราก็ไม่แคร์ เพราะตอนนั้นคิดว่า มีแค่เพื่อนที่สนิทกลุ่มนี้ก็พอแล้ว ไม่ขออะไรมากอีกแล้ว

จากนั้นก็จบปีการศึกษา ขึ้นชั้นใหม่ เราถูกจับแยกออกมาจากกลุ่มเดิม ทุกๆ คนอยู่คนละห้องเกือบหมด(เขาจัดตามเกรดเฉลี่ย)
แล้วเราได้อยู่ห้องเดียวกับเพื่อนที่เคยทะเลาะกันจนมองหน้ากันไม่ติด มันทำให้เราจมอยู่กับความรู้สึกผิดและอึดอัดแต่ก็ยังไม่มากเท่าไหร่
พอวันเปิดภาคเรียนมาถึง ด้วยความที่ว่าห้องเรียนนั้นจัดตามเกรดเฉลี่ย ทำให้มีบางคนได้เพื่อนที่อยู่ห้องเดียวกันมาก่อนมาอยู่ด้วย
และทำให้ไม่ต้องหาเพื่อนใหม่ อยู่ด้วยกันเป็นกลุ่มอย่างนั้น และด้วยความที่จำนวนนักเรียนไม่มาก(ชาย 10 หญิง 30)
เลยทำให้สังคมในห้องมันแคบไปด้วย แต่ตอนนั้นเรายังไม่ค่อยคิดมากเท่าไหร่

เราพยายามทำความรู้จักคนอื่น ทักเขาก่อน ยิ้มให้เขา ทำตัวเฟรนลี่ ช่วยเหลือการบ้าน แต่สิ่งที่ได้มาแค่สายตาแหยงๆ กับยิ้มแหยะๆ
ประมาณว่า ' ทำไมฉันต้องมาเจอกับแกด้วยเนี้ย ' ' ไม่อยากรู้จักแกเลยซักนิด ' มันเลยทำให้เราไม่อยากทักเขาเป็นครั้งที่ 2
เราหากลุ่มอยู่ได้ในห้องนั้น แต่ก็ยังไม่สนิทกันอยู่ดี เราจำชื่อเพื่อนในกลุ่มทุกๆ คนได้หมด แต่เขากลับจำชื่อเราไม่ได้
บางคนเวลาเราจะเข้าไปทัก เขาก็ทำหน้าบอกบุญไม่รับมาก่อนเลยซะงั้น แถมบางทียังตัดบทด้วยการเมินเราไปคุยกับคนอื่นอีก
เวลารวมกลุ่ม เราจะถูกเคี่ยกันรับเข้ากลางๆ ประมาณว่า ' ให้ A ไปอยู่กลุ่มนี้สิ กลุ่มเราคนเต็มแล้วอ่ะ ' ประมาณนี้
ทุกๆ อย่าง ทุกๆ กิจกรรมที่ต้องทำร่วมกัน เรามักจะเป็นตัวเลือกสุดท้ายที่เขาเลือกถามความคิดเห็น บางทีก็จะไม่ถามเลย

เราลองที่จะไปคุยกับกลุ่มอื่น แต่เขาก็ทำท่าเหมือนไม่อยากคุยด้วย และในห้องเรามีกลุ่ม ผญ. เกเร อีก 2 กลุ่มด้วย
คือถ้าเราเข้าไป มันต้องมีซักวันที่เราไม่เรียนและเกเรตาม (มีเรื่องตบตี โดดเรียน เข้าห้องปกครอง ฯลฯ เพราะเราเป็นคนตามเพื่อนง่าย)
และในห้องนั้นยังมีเพื่อนที่เคยทะเลาะกันอีก เราไปโรงเรียนทีมีทั้งความรู้สึกอึดอัด หดหู่ เศร้า ท้อ กดดัน เครียด มันไม่อยากไปเรียนเลย
แต่ก็โชคดีหน่อยที่เพื่อนเก่ายังไม่ทิ้งเรา เวลาพักเที่ยงเราก็ได้นั่งกินข้าวด้วยกัน พูดคุยกัน แค่ตอนเที่ยงเท่านั้นที่ทำให้เรารู้สึกเป็นตัวเอง


เราตัดสินใจขอร้องแม่เรื่องย้ายห้อง เพราะเราไม่อยากอยู่ในสภาพแบบนั้นอีกแล้ว อย่างน้อยก็อยากไปเริ่มต้นใหม่ที่ไหนซักที่
แม่เรายอมไปคุยกับ ผอ. เราสงสารแม่เรามาก แม่เราต้องลางาน 1 วัน เพื่อรอคุยกับ ผอ. เรื่องขอให้เราได้ย้ายห้อง รอ 4-5 ชม.
แม่ไม่มีเงินยัดเรา 3-4 หมื่นเพื่อสิ่งที่เราหวัง เพราะแม่เป็นผู้หญิงที่หาเงินคนเดียวเลี้ยงครอบครัว เงิน 3-4 หมื่นคือเงินเดือนแม่เรา 3-4 เดือน
เราเครียดมาก เราไม่อยากไปโรงเรียน ในหัวมันตีกันไปหมด มีแต่ภาพเพื่อนที่ส่งสายตาแหยงๆ ยิ้มแหยะๆ ใส่เรา วนเวียนตลอด
เรากับแม่กอดกันร้องไห้ทุกวัน จากที่เราเคยร่าเริงสดใสก็กลายเป็นว่าร้องไห้บ่อยมาก วันละเป็นสิบๆ ครั้งเพียงแค่นึกถึงเรื่องนี้
เรามีความคิดที่จะฆ่าตัวตาย แบบ ' อย่างน้อยมันก็จะได้พ้นๆ จุดที่น่าอึดอัดแบบนี้ไปซักที ' แต่เราไม่กล้าพอ มันทรมาน
ถ้าทำไปแม่เราจะต้องเสียใจมากแน่ๆ เราจึงไม่ทำ แต่ก็มีความคิดที่จะฆ่าตัวตายผุดขึ้นมาในหัวทุกวันๆๆ
เรากินข้าวน้อยลงมากๆ บางวันก็ไม่กินเลย จนแม่เราถามว่าไม่หิวเหรอ? เราก็ส่ายหัวปฏิเสธตลอด
เราสงสารแม่ ที่ท่านต้องมาร้องไห้กับเราทุกๆ วัน ท่านบอกว่าท่านนอนไม่หลับเมื่อเราเป็นแบบนี้ เราสงสารท่านจริงๆ
เราปวดหัวทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องแบบนี้ เลยต้องกินพาราไปทีละ 4 เม็ด แต่ก็กลัวว่าจะชักเข้าซักวัน พักหลังเลยไม่กินแล้ว

แต่เรามีเพื่อนที่สนิทในโลก Social Network เยอะอยู่พอสมควร แต่ส่วนมากจะอายุมากกว่า แต่เราก็คุยสนิทๆ กันได้
ตอนนี้โลกความจริงของเรากับโลก Social Network มันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเลย โลกแห่งความจริงมันไม่ใช่ตัวเองเลย



เราเป็นโรคซึมเศร้าจริงหรือเปล่าคะ? กลัวเป็นแล้วไม่รู้แล้วเป็นไปนานๆ มันจะมีผลกระทบในระยะยาว เช่น เป็นบ้าตอนแก่
ถ้าเราเข้าข่ายหรือเป็นจริงๆ เราจะได้รีบไปหาหมอค่ะ เราอยากให้เราหายจากโรคนี้และกลับมาเป็นเหมือนเดิมซักที
แล้วถ้าเราเป็นจริงๆ นอกจากไปหาหมอ+กินยาตามที่หมอให้แล้วยังมีวิธีการรักษาอย่างอื่นอีกหรือเปล่าค่ะ?


ตอนนี้ขาดเรียนมา 3 วันแล้วค่ะ คิดว่าถ้าขาดต่อไปคงจะ มส. แน่นอน เพราะฉะนั้นพรุ่งนี้จำเป็นต้องไปเรียนค่ะ
เพราะแม่เราอยากให้เรามีอนาคตที่ดี ไม่ใช่มาจบอยู่แค่ตรงนี้ ทุกวันนนี้ไป รร. ไปเจอกับอะไรเหล่านั้น อดทนเจอเพราะแม่ทั้งนั้นค่ะ
เราพิมพ์เล่าเรื่องราวขอคำปรึกษาไปเรายังร้องไห้ไปเลย น้ำตาเราไหลง่ายมาก เราเบื่อกับการที่ต้องร้องไห้บ่อยๆ แบบนี้แล้ว



ปล. เรายังอายุน้อยอยู่ค่ะ(อยู่ ม. ปลาย) และคิดว่าเรื่องนี้จะมีทางแก้ได้ ไม่ช้าก็เร็ว ช่วยแนะนำด้วยนะคะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่