พรายเสน่หา บทนำ และ บทที่ 1
http://ppantip.com/topic/30419026
พรายเสน่หา บทที่ 2
http://ppantip.com/topic/30420413
พรายเสน่หา บทที่ 3
http://ppantip.com/topic/30422658
พรายเสน่หา บทที่ 4
http://ppantip.com/topic/30458126
พรายเสน่หา บทที่ 5
http://ppantip.com/topic/30462595
พรายเสน่หา บทที่ 6
http://ppantip.com/topic/30476309
พรายเสน่หา บทที่ 7
http://ppantip.com/topic/30481791
พรายเสน่หา บทที่ 8
http://ppantip.com/topic/30499847
------------------------------------------------------------------------------
บทที่ 9
ที่พักของวรรณาอยู่ลึกเข้าไปในเขตบางใหญ่เก่า เลยวัดสวนแก้วเข้าไปจนสุดถนนแล้วเลี้ยวซ้าย มันเป็นบ้านเรือนแถวที่เงียบเชียบและหงอยเหงา
วรรณาเป็นม่ายลูกติด ลูกชายยังอายุไม่เต็มหกขวบดี ทั้งที่หล่อนอายุไม่ถึงยี่สิบห้า นั่นหมายความว่าเพื่อนร่วมงานคนนี้ของฉัน แต่งงานและมีลูกตั้งแต่อายุไม่ถึงยี่สิบ และแน่นอนว่าถ้าครอบครัวยังอยู่ดีมีสุข ย่อมไม่มีผู้ชายคนไหนปล่อยหล่อนให้ต้องมาอยู่ในที่เงียบเหงาและอาจต้องลุ้นระทึกกับอันตรายที่คาดไม่ถึงอยู่ทุกวันคืน
ฉันเคาะประตูเบาๆ รออยู่สองสามนาทีวรรณาก็มาเปิดประตูให้ พอเห็นกันชัดๆ ในตอนกลางวันแบบนี้ ฉันเพิ่งสังเกตว่ารูปร่างของวรรณาไม่ได้เป็นอย่างที่คิด คือหล่อนไม่ได้สูงระหงและเต่งตึงตามแบบหญิงสาวที่โตเต็มที่และผจญอะไรๆ ในชีวิตมาอย่างสมบุกสมบัน
คนออกมาเปิดประตูรับ อยู่ในชุดเสื้อยืดตัวคับกับกางเกงขาสั้นเต่อ เผยรอยเนื้อหนังส่วนเกินให้เห็นได้ชัดเจน แต่นั่นไม่ได้ทำให้ฉันตะลึงเท่ากับ หน้าตาและทรงผมที่เปลี่ยนไปเพียงชั่วสองสามคืน
จากที่หล่อนเคยไว้ผมยาวแล้วขมวดเป็นมวยอย่างเก๋ๆ เวลาไปทำงาน ตอนนี้วรรณาซอยผมสั้น แถมที่หูยังร้อยห่วงโลหะสีเงินที่ดูเหมือนจะเป็นสัญลักษณ์ของลัทธิอะไรบางอย่าง แทนที่จะเป็นต่างหูทองวงเล็กๆ อย่างที่เคยเห็นอยู่เป็นประจำ
“ดีจ้ะลิน”
คำทักทายของวรรณาฟังดูร่าเริงพอสมควรทีเดียว
“อรทัยโทร.มาบอกว่าเธออยากจะคุยกับฉัน ไม่คิดว่าจะมาจริงๆ นะเนี่ย แล้วพี่ชายเธอเป็นไงมั่ง”
หล่อนเชิญฉันเข้ามาในห้อง มันคงจะเป็นห้องเช่ารุ่นแรกๆ เพราะเข้าเครื่องไม้แข็งแรงทั้งพื้นผนังและเพดาน แม้จะแลดูเก่าแก่ แต่ความภูมิฐานก็ยังมีให้เห็น ติดนิดเดียวตรงที่ข้าวของของผู้เช่ามันคล้ายเต็มจนล้น จนมีบางส่วนต้องก่ายเกยหรือวางซ้อนไปมาดูรกตา
ไม้กวาดหยากไย่กับผ้าขี้ริ้วที่วางไว้โดดเด่นตรงตู้หนังสือ ทำให้ฉันต้องออกปาก
“ขอโทษนะที่มารบกวน”
ที่เห็นทำให้เข้าใจได้ว่าเธอคงเพิ่งได้โอกาสคิดทำความสะอาด
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ดื่มอะไรดีล่ะ น้ำหรือน้ำอัดลม”
“น้ำเปล่าดีกว่าจ้ะ แล้ววาปีไปไหนล่ะ”
“ก็ไปอยู่กับพ่อเค้าน่ะ...” คนพูดชำเลืองไปทางกรอบภาพแขวนผนังบานใหญ่ ซึ่งมีตัวหล่อน ลูกชาย และผู้ชายรูปหล่อ กอดกันกลมและยิ้มระรื่น “...ฉันไปส่งตั้งแต่ก่อนปีใหม่”
จับได้ว่าเสียงเครือๆ ของวรรณา แสดงว่าหล่อนไม่เต็มใจห่างจากลูกชาย
“วรรณา คือว่า... ถ้า... คือขอโทษนะ ถ้าฉันจะถามเรื่องที่ มัน... แบบว่าเธออาจไม่อยากจะพูดถึง...”
ฉันพยายามเปลี่ยนเรื่อง ทั้งที่รู้ดีว่ามันไม่ได้ช่วยให้บรรยากาศดีขึ้นเลยสักนิด
วรรณาก็คงค่อนข้างแปลกใจ ในฐานะเพียงแค่เพื่อนร่วมงาน คำถามชนิดไหนล่ะที่พอจะซักไซ้กันได้
“นั่นสิ เราก็ไม่ได้สนิทกันนัก แต่... เอาเถอะ อะไรที่ตอบได้ฉันก็จะตอบ แต่ถ้าอะไรมันดูจะเป็นเรื่องของฉันเอง ก็อาจจะไม่... นะ”
หล่อนก็ตรงไปตรงมาดีเหมือนกัน และก็ทำให้ฉันต้องเรียบเรียงความคิดอยู่พอสมควร เพราะมันจะต้องเป็นคำถามที่ไม่ได้หลุดให้ข้อมูลอะไรที่ยังสมควรจะเป็นความลับ ขณะเดียวกันก็ต้องเป็นคำถามที่คนตอบไม่รู้สึกอึดอัดจนปฏิเสธที่จะให้ข้อมูล
“เธอเป็นร่างทรงด้วยหรือเปล่า”
แต่อะไรจะดีไปกว่าการถามกันแบบตรงประเด็นไปเลย
“แค่... ส่วนหนึ่ง ฉันเป็นผู้ทำนาย...”
หล่อนเลี่ยงคำ หมอดู และไม่พูดออกมาว่าเป็นชนิดต้องอาศัยญาณทรรศนะของจิตดวงอื่น
“อธิบายหน่อยสิ มันแตกต่างกันยังไง”
วรรณาสบตากับฉันแวบหนึ่งก่อนจะรีบหันไปทางหน้าต่าง รู้ดีเหมือนกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ว่าฉันอ่านใจคนได้ ผ่านการได้สบสายตากันตรงๆ
“อย่าเลย...”
“ได้โปรดเถอะวรรณา รับรองว่าจะไม่ปากสว่างเอาเรื่องของเธอไปบอกคนอื่น”
เรามองหน้ากันอีกครั้ง คราวนี้วรรณาระบายลมหายใจออกมาเบาๆ
“เอาละ... คืออย่างนี้ ถ้าเป็นพวกร่างทรง พวกนั้นจะมีเวทย์มนตร์คาถาอีกชุดที่สามารถให้คุณให้โทษกับใครก็ได้ อาจเลี้ยงพวกโอปปาติกะหรือพวกวิญญาณภูตผีต่างๆ ไว้ใช้งาน”
หล่อนเริ่มอธิบาย เหมือนเป็นการพูดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเอง
“อาจมีกสิณหรือกำลังจิตที่สามารถทำอะไรบางอย่างที่คนทั่วไปทำไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายถึงว่าร่างทรงทุกคนจะทำเพื่อหาประโยชน์ใส่ตัวอย่างเดียว... ผู้ทำนาย แม้จะสามารถสื่อสารกับจิตดวงอื่น แต่ก็ยังนับถือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เพียงแค่เรารู้สึกว่ากฎเกณฑ์ประเพณีหรือพิธีกรรมบางอย่าง มันออกจะ... ล้นเหลือ ฟุ้งเฟ้อเกินไป เราจึงมีวิถีของเราเอง ในการใช้ชีวิต ซึ่งความเชื่อของเรานั้นถือว่า ไม่ได้ทำอะไรผิดหรือเรื่องเหล่านั้นไม่ได้ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ที่จริงพวกผู้ทำนายก็ใช้คาถาได้ และมีสมาธิจิตไม่ด้อยไปกว่าพวกร่างทรงสักเท่าไร”
“เข้าใจละ แล้ว พวกร่างทรงแบบนั้น เธอรู้จักคนอื่นอีกบ้างไหม”
“ก็ไม่กี่คนหรอก สองสามคนเท่านั้นละมั้ง”
วรรณาไม่ยอมสบตาฉันเลยตอนตอบคำถามนี้
ตรงมุมไกล ฉันเห็นโต๊ะตั้งคอมพิวเตอร์ มันเป็นเครื่องรุ่นเก่า ที่จอภาพยังเป็นกล่องใหญ่ๆ แต่ก็เชื่อว่ามันยังคงใช้การได้ดี
“เธอแชตกับใครบ้างหรือเปล่าล่ะพักนี้ หรือเฟสบุ๊ค หรืออะไรก็ตาม”
“ใช่สิ สมัยนี้ใครไม่แชตก็เชยบรม”
“งั้นได้ยินข่าวเรื่องที่ร่างผีฟ้ามารวมตัวกันที่เจริญกรุงบ้างไหม”
เหมือนวรรณาจะหลังแข็งคอแข็งขึ้นกะทันหัน หันขวับมาตั้งคำถาม
“บอกมาก่อนว่าเธอไม่เกี่ยวข้องกับคนพวกนั้น”
“ใครจะอยากไปยุ่งด้วยล่ะ แต่ว่าตอนนี้ บางคนที่ฉันรู้จักกำลังถูกพวกมันทำร้าย และฉันสงสัยว่า ที่พี่สิทธาหายไปน่าจะเกี่ยวข้องกับพวกนั้น”
“ถ้าไปเกี่ยวด้วยจริงก็ซวยละ คงเป็นเคราะห์ร้ายที่อะไรก็ช่วยไม่ได้ พวกนั้นถึงจัดเป็นพวกเลวบริสุทธิ์ หัวหน้ากลุ่มเป็นผู้หญิง สวยนะแต่โหดร้ายอำมหิตมาก ส่วนน้องชาย ถึงจะหน้าตาดีแต่ก็ เขาว่ากันว่ามันชั่วร้ายกว่าใครๆ... ลิน เธอต้องรู้ไว้เลยนะ ว่าพวกนั้นไม่สนใจอะไรอื่นนอกจากความสุขสมใจของตัวเอง แม้จะทำให้เกิดสงครามกลางเมือง แต่ถ้าเป็นสิ่งที่พวกนั้นคิดว่าเป็นความสุขของเค้า เค้าก็จะทำ”
“พอจะรู้ไหมว่าจะตามหาตัวพวกนั้นได้ที่ไหน”
ฉันพยายามปรับน้ำเสียงให้ราบเรียบ ทำเป็นไม่ได้ล่วงรู้ความคิดของคนที่กำลังเผลอประสานสายตา เพราะในหัวของวรรณนา ก็กำลังอึงอลอยู่ด้วยความวิตกว่า ป่านนี้พี่สิทธาคงถูกทรมานอย่างแสนสาหัส หรือไม่ก็ตายไปด้วยน้ำมือของพวกร่างผีฟ้าไปตั้งแต่นาทีแรกที่ตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกมัน
“หรือว่าพวกที่มานั่นเป็นผู้หญิงล้วน”
พอวรรณานิ่งไป ฉันก็ต้องกระตุ้น
“ทำไม หรือคิดว่าพี่ชายเธอจะใช้เสน่ห์มัดใจพวกนั้นได้ คิดผิดก็คิดใหม่ได้เลยนะ พวกร่างผีฟ้ากลุ่มนี้มีทั้งผู้หญิงผู้ชาย และ...เอ่อ!...”
สีหน้าอึดอัดนั้นเห็นได้ชัดเจน
“คือ อีกทั้งพวกนั้นก็ไม่ใช่พวกร่างทรงธรรมดา คือพวกนั้นไม่ใช่ คนทรง ทั่วไปน่ะ”
แล้วหล่อนก็หยุด ทั้งที่ฟังดูแล้วคนเล่ารู้จักพวกนั้นดีกว่าที่ฉันเข้าใจ
“แตกต่างกันยังไงล่ะ”
ฉันพยายามต่อไป
“ก็ พวกนั้นมีเลือดของพรายอยู่ในตัวไงล่ะ”
วรรณาเหงื่อซึมขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน แสดงให้เห็นว่าหล่อนไม่สบายใจเลยสักนิดที่พูดถึงเรื่องนี้ ไล่สายตาไปตามหน้าต่าง ประตู กระทั่งช่องลม ราวสำรวจว่าจะมีใครแอบฟังอยู่หรือไม่
“พวกร่างทรงที่มีกำลังญาณแข็งแกร่งแล้วพอใจที่จะอยู่ฝ่ายร้าย สนุกกับการทำเรื่องร้ายๆ นั่นก็น่ากลัวมากแล้วนะ แต่พวกที่ได้รับเลือดพรายเข้าไปน่ะ... ลิน เธอเดาไม่ออกหรอกว่าพวกนั้นจะทำเรื่องชั่วร้ายได้ร้ายสุดๆ ขนาดไหน อยู่ห่างๆ พวกนั้นไว้เป็นดีที่สุด เท่าที่ฉันรู้ บางคน... มันไม่ใช่คน บางคนเกือบจะกลายเป็นสัตว์สมิงไปแล้ว”
สัตว์สมิงงั้นรึ! เสือ หมาป่า พญางู...
พวกร่างผีฟ้า ไม่ใช่แค่ร่างทรงธรรมดา มันชั่วร้าย มีเลือดพรายอยู่ในตัว แถมยังเป็นสัตว์สมิง
พรายเสน่หา บทที่ 9
พรายเสน่หา บทที่ 2 http://ppantip.com/topic/30420413
พรายเสน่หา บทที่ 3 http://ppantip.com/topic/30422658
พรายเสน่หา บทที่ 4 http://ppantip.com/topic/30458126
พรายเสน่หา บทที่ 5 http://ppantip.com/topic/30462595
พรายเสน่หา บทที่ 6 http://ppantip.com/topic/30476309
พรายเสน่หา บทที่ 7 http://ppantip.com/topic/30481791
พรายเสน่หา บทที่ 8 http://ppantip.com/topic/30499847
------------------------------------------------------------------------------
บทที่ 9
ที่พักของวรรณาอยู่ลึกเข้าไปในเขตบางใหญ่เก่า เลยวัดสวนแก้วเข้าไปจนสุดถนนแล้วเลี้ยวซ้าย มันเป็นบ้านเรือนแถวที่เงียบเชียบและหงอยเหงา
วรรณาเป็นม่ายลูกติด ลูกชายยังอายุไม่เต็มหกขวบดี ทั้งที่หล่อนอายุไม่ถึงยี่สิบห้า นั่นหมายความว่าเพื่อนร่วมงานคนนี้ของฉัน แต่งงานและมีลูกตั้งแต่อายุไม่ถึงยี่สิบ และแน่นอนว่าถ้าครอบครัวยังอยู่ดีมีสุข ย่อมไม่มีผู้ชายคนไหนปล่อยหล่อนให้ต้องมาอยู่ในที่เงียบเหงาและอาจต้องลุ้นระทึกกับอันตรายที่คาดไม่ถึงอยู่ทุกวันคืน
ฉันเคาะประตูเบาๆ รออยู่สองสามนาทีวรรณาก็มาเปิดประตูให้ พอเห็นกันชัดๆ ในตอนกลางวันแบบนี้ ฉันเพิ่งสังเกตว่ารูปร่างของวรรณาไม่ได้เป็นอย่างที่คิด คือหล่อนไม่ได้สูงระหงและเต่งตึงตามแบบหญิงสาวที่โตเต็มที่และผจญอะไรๆ ในชีวิตมาอย่างสมบุกสมบัน
คนออกมาเปิดประตูรับ อยู่ในชุดเสื้อยืดตัวคับกับกางเกงขาสั้นเต่อ เผยรอยเนื้อหนังส่วนเกินให้เห็นได้ชัดเจน แต่นั่นไม่ได้ทำให้ฉันตะลึงเท่ากับ หน้าตาและทรงผมที่เปลี่ยนไปเพียงชั่วสองสามคืน
จากที่หล่อนเคยไว้ผมยาวแล้วขมวดเป็นมวยอย่างเก๋ๆ เวลาไปทำงาน ตอนนี้วรรณาซอยผมสั้น แถมที่หูยังร้อยห่วงโลหะสีเงินที่ดูเหมือนจะเป็นสัญลักษณ์ของลัทธิอะไรบางอย่าง แทนที่จะเป็นต่างหูทองวงเล็กๆ อย่างที่เคยเห็นอยู่เป็นประจำ
“ดีจ้ะลิน”
คำทักทายของวรรณาฟังดูร่าเริงพอสมควรทีเดียว
“อรทัยโทร.มาบอกว่าเธออยากจะคุยกับฉัน ไม่คิดว่าจะมาจริงๆ นะเนี่ย แล้วพี่ชายเธอเป็นไงมั่ง”
หล่อนเชิญฉันเข้ามาในห้อง มันคงจะเป็นห้องเช่ารุ่นแรกๆ เพราะเข้าเครื่องไม้แข็งแรงทั้งพื้นผนังและเพดาน แม้จะแลดูเก่าแก่ แต่ความภูมิฐานก็ยังมีให้เห็น ติดนิดเดียวตรงที่ข้าวของของผู้เช่ามันคล้ายเต็มจนล้น จนมีบางส่วนต้องก่ายเกยหรือวางซ้อนไปมาดูรกตา
ไม้กวาดหยากไย่กับผ้าขี้ริ้วที่วางไว้โดดเด่นตรงตู้หนังสือ ทำให้ฉันต้องออกปาก
“ขอโทษนะที่มารบกวน”
ที่เห็นทำให้เข้าใจได้ว่าเธอคงเพิ่งได้โอกาสคิดทำความสะอาด
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ดื่มอะไรดีล่ะ น้ำหรือน้ำอัดลม”
“น้ำเปล่าดีกว่าจ้ะ แล้ววาปีไปไหนล่ะ”
“ก็ไปอยู่กับพ่อเค้าน่ะ...” คนพูดชำเลืองไปทางกรอบภาพแขวนผนังบานใหญ่ ซึ่งมีตัวหล่อน ลูกชาย และผู้ชายรูปหล่อ กอดกันกลมและยิ้มระรื่น “...ฉันไปส่งตั้งแต่ก่อนปีใหม่”
จับได้ว่าเสียงเครือๆ ของวรรณา แสดงว่าหล่อนไม่เต็มใจห่างจากลูกชาย
“วรรณา คือว่า... ถ้า... คือขอโทษนะ ถ้าฉันจะถามเรื่องที่ มัน... แบบว่าเธออาจไม่อยากจะพูดถึง...”
ฉันพยายามเปลี่ยนเรื่อง ทั้งที่รู้ดีว่ามันไม่ได้ช่วยให้บรรยากาศดีขึ้นเลยสักนิด
วรรณาก็คงค่อนข้างแปลกใจ ในฐานะเพียงแค่เพื่อนร่วมงาน คำถามชนิดไหนล่ะที่พอจะซักไซ้กันได้
“นั่นสิ เราก็ไม่ได้สนิทกันนัก แต่... เอาเถอะ อะไรที่ตอบได้ฉันก็จะตอบ แต่ถ้าอะไรมันดูจะเป็นเรื่องของฉันเอง ก็อาจจะไม่... นะ”
หล่อนก็ตรงไปตรงมาดีเหมือนกัน และก็ทำให้ฉันต้องเรียบเรียงความคิดอยู่พอสมควร เพราะมันจะต้องเป็นคำถามที่ไม่ได้หลุดให้ข้อมูลอะไรที่ยังสมควรจะเป็นความลับ ขณะเดียวกันก็ต้องเป็นคำถามที่คนตอบไม่รู้สึกอึดอัดจนปฏิเสธที่จะให้ข้อมูล
“เธอเป็นร่างทรงด้วยหรือเปล่า”
แต่อะไรจะดีไปกว่าการถามกันแบบตรงประเด็นไปเลย
“แค่... ส่วนหนึ่ง ฉันเป็นผู้ทำนาย...”
หล่อนเลี่ยงคำ หมอดู และไม่พูดออกมาว่าเป็นชนิดต้องอาศัยญาณทรรศนะของจิตดวงอื่น
“อธิบายหน่อยสิ มันแตกต่างกันยังไง”
วรรณาสบตากับฉันแวบหนึ่งก่อนจะรีบหันไปทางหน้าต่าง รู้ดีเหมือนกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ว่าฉันอ่านใจคนได้ ผ่านการได้สบสายตากันตรงๆ
“อย่าเลย...”
“ได้โปรดเถอะวรรณา รับรองว่าจะไม่ปากสว่างเอาเรื่องของเธอไปบอกคนอื่น”
เรามองหน้ากันอีกครั้ง คราวนี้วรรณาระบายลมหายใจออกมาเบาๆ
“เอาละ... คืออย่างนี้ ถ้าเป็นพวกร่างทรง พวกนั้นจะมีเวทย์มนตร์คาถาอีกชุดที่สามารถให้คุณให้โทษกับใครก็ได้ อาจเลี้ยงพวกโอปปาติกะหรือพวกวิญญาณภูตผีต่างๆ ไว้ใช้งาน”
หล่อนเริ่มอธิบาย เหมือนเป็นการพูดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเอง
“อาจมีกสิณหรือกำลังจิตที่สามารถทำอะไรบางอย่างที่คนทั่วไปทำไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายถึงว่าร่างทรงทุกคนจะทำเพื่อหาประโยชน์ใส่ตัวอย่างเดียว... ผู้ทำนาย แม้จะสามารถสื่อสารกับจิตดวงอื่น แต่ก็ยังนับถือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เพียงแค่เรารู้สึกว่ากฎเกณฑ์ประเพณีหรือพิธีกรรมบางอย่าง มันออกจะ... ล้นเหลือ ฟุ้งเฟ้อเกินไป เราจึงมีวิถีของเราเอง ในการใช้ชีวิต ซึ่งความเชื่อของเรานั้นถือว่า ไม่ได้ทำอะไรผิดหรือเรื่องเหล่านั้นไม่ได้ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ที่จริงพวกผู้ทำนายก็ใช้คาถาได้ และมีสมาธิจิตไม่ด้อยไปกว่าพวกร่างทรงสักเท่าไร”
“เข้าใจละ แล้ว พวกร่างทรงแบบนั้น เธอรู้จักคนอื่นอีกบ้างไหม”
“ก็ไม่กี่คนหรอก สองสามคนเท่านั้นละมั้ง”
วรรณาไม่ยอมสบตาฉันเลยตอนตอบคำถามนี้
ตรงมุมไกล ฉันเห็นโต๊ะตั้งคอมพิวเตอร์ มันเป็นเครื่องรุ่นเก่า ที่จอภาพยังเป็นกล่องใหญ่ๆ แต่ก็เชื่อว่ามันยังคงใช้การได้ดี
“เธอแชตกับใครบ้างหรือเปล่าล่ะพักนี้ หรือเฟสบุ๊ค หรืออะไรก็ตาม”
“ใช่สิ สมัยนี้ใครไม่แชตก็เชยบรม”
“งั้นได้ยินข่าวเรื่องที่ร่างผีฟ้ามารวมตัวกันที่เจริญกรุงบ้างไหม”
เหมือนวรรณาจะหลังแข็งคอแข็งขึ้นกะทันหัน หันขวับมาตั้งคำถาม
“บอกมาก่อนว่าเธอไม่เกี่ยวข้องกับคนพวกนั้น”
“ใครจะอยากไปยุ่งด้วยล่ะ แต่ว่าตอนนี้ บางคนที่ฉันรู้จักกำลังถูกพวกมันทำร้าย และฉันสงสัยว่า ที่พี่สิทธาหายไปน่าจะเกี่ยวข้องกับพวกนั้น”
“ถ้าไปเกี่ยวด้วยจริงก็ซวยละ คงเป็นเคราะห์ร้ายที่อะไรก็ช่วยไม่ได้ พวกนั้นถึงจัดเป็นพวกเลวบริสุทธิ์ หัวหน้ากลุ่มเป็นผู้หญิง สวยนะแต่โหดร้ายอำมหิตมาก ส่วนน้องชาย ถึงจะหน้าตาดีแต่ก็ เขาว่ากันว่ามันชั่วร้ายกว่าใครๆ... ลิน เธอต้องรู้ไว้เลยนะ ว่าพวกนั้นไม่สนใจอะไรอื่นนอกจากความสุขสมใจของตัวเอง แม้จะทำให้เกิดสงครามกลางเมือง แต่ถ้าเป็นสิ่งที่พวกนั้นคิดว่าเป็นความสุขของเค้า เค้าก็จะทำ”
“พอจะรู้ไหมว่าจะตามหาตัวพวกนั้นได้ที่ไหน”
ฉันพยายามปรับน้ำเสียงให้ราบเรียบ ทำเป็นไม่ได้ล่วงรู้ความคิดของคนที่กำลังเผลอประสานสายตา เพราะในหัวของวรรณนา ก็กำลังอึงอลอยู่ด้วยความวิตกว่า ป่านนี้พี่สิทธาคงถูกทรมานอย่างแสนสาหัส หรือไม่ก็ตายไปด้วยน้ำมือของพวกร่างผีฟ้าไปตั้งแต่นาทีแรกที่ตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกมัน
“หรือว่าพวกที่มานั่นเป็นผู้หญิงล้วน”
พอวรรณานิ่งไป ฉันก็ต้องกระตุ้น
“ทำไม หรือคิดว่าพี่ชายเธอจะใช้เสน่ห์มัดใจพวกนั้นได้ คิดผิดก็คิดใหม่ได้เลยนะ พวกร่างผีฟ้ากลุ่มนี้มีทั้งผู้หญิงผู้ชาย และ...เอ่อ!...”
สีหน้าอึดอัดนั้นเห็นได้ชัดเจน
“คือ อีกทั้งพวกนั้นก็ไม่ใช่พวกร่างทรงธรรมดา คือพวกนั้นไม่ใช่ คนทรง ทั่วไปน่ะ”
แล้วหล่อนก็หยุด ทั้งที่ฟังดูแล้วคนเล่ารู้จักพวกนั้นดีกว่าที่ฉันเข้าใจ
“แตกต่างกันยังไงล่ะ”
ฉันพยายามต่อไป
“ก็ พวกนั้นมีเลือดของพรายอยู่ในตัวไงล่ะ”
วรรณาเหงื่อซึมขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน แสดงให้เห็นว่าหล่อนไม่สบายใจเลยสักนิดที่พูดถึงเรื่องนี้ ไล่สายตาไปตามหน้าต่าง ประตู กระทั่งช่องลม ราวสำรวจว่าจะมีใครแอบฟังอยู่หรือไม่
“พวกร่างทรงที่มีกำลังญาณแข็งแกร่งแล้วพอใจที่จะอยู่ฝ่ายร้าย สนุกกับการทำเรื่องร้ายๆ นั่นก็น่ากลัวมากแล้วนะ แต่พวกที่ได้รับเลือดพรายเข้าไปน่ะ... ลิน เธอเดาไม่ออกหรอกว่าพวกนั้นจะทำเรื่องชั่วร้ายได้ร้ายสุดๆ ขนาดไหน อยู่ห่างๆ พวกนั้นไว้เป็นดีที่สุด เท่าที่ฉันรู้ บางคน... มันไม่ใช่คน บางคนเกือบจะกลายเป็นสัตว์สมิงไปแล้ว”
สัตว์สมิงงั้นรึ! เสือ หมาป่า พญางู...
พวกร่างผีฟ้า ไม่ใช่แค่ร่างทรงธรรมดา มันชั่วร้าย มีเลือดพรายอยู่ในตัว แถมยังเป็นสัตว์สมิง