พรายเสน่หา บทนำ และ บทที่ 1
http://ppantip.com/topic/30419026
พรายเสน่หา บทที่ 2
http://ppantip.com/topic/30420413
พรายเสน่หา บทที่ 3
http://ppantip.com/topic/30422658
พรายเสน่หา บทที่ 4
http://ppantip.com/topic/30458126
พรายเสน่หา บทที่ 5
http://ppantip.com/topic/30462595
พรายเสน่หา บทที่ 6
http://ppantip.com/topic/30476309
พรายเสน่หา บทที่ 7
http://ppantip.com/topic/30481791
------------------------------------------------------------------------------
บทที่ 8
“ผมมาก่อนคุณไม่ถึงห้านาที”
อยู่ๆ เสียงของดาบทุมก็เป็นงานเป็นการขึ้นมาเฉยๆ คงไม่อยากเจออะไรที่พอจะเป็นหลักฐาน สร้างความยุ่งยากในการรายงานกับผู้บังคับบัญชาของตนเอง
แต่ฉันไม่สน เดินนำมาโดยไม่ไยดีว่า ดาบตำรวจชราจะมีท่าทีขัดแย้งอย่างไร ตอนที่จำใจต้องเดินตาม
จากตัวเรือน พี่สิทธากับเพื่อนสร้างเพิงหลังคายื่นเลยออกมา สำหรับการละเลียดบรรยากาศริมคลองกว้างใหญ่ แกล้มกับเครื่องดื่มสีอำพัน แต่ตรงนั้นไม่มีอะไรผิดปกติ
ระหว่างที่ดาบทุมเดินเลยไปทางดงไม้รกร้างหลังบ้าน ฉันจึงมาหยุดพิจารณาอยู่ตรงท่าน้ำ
ศาลาริมน้ำที่คุณพ่อเคยสร้างไว้ ถูกรื้อลงเพราะความทรุดโทรม กระนั้นตัวท่าน้ำก็ยังแข็งแรง แม้จะมีรอยผุพัง แต่ก็น่าจะรับน้ำหนักได้เป็นอย่างดี
ถ้าฉันไม่ได้ตาฝาด...
ตรงเสาที่ปักออกไปไกลสุดนั่น... มีรอยเปื้อนอะไรบางอย่าง
และคงเผลอกรีดร้องออกไป ทำให้ดาบทุมแทบกระโจนกลับมายืนอยู่ข้างตัว
“ดูสิคะ ต้นเสาที่สุดท่าน้ำ!”
ฉันรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก หัวใจเต้นถี่ระรัว แทบจะหลุดออกมานอกหน้าอก
ดาบทุมแสดงความกล้าหาญหรือทำตามหน้าที่ก็ไม่รู้ ตอนที่เขาเดินเร็วๆ ไปตรงนั้น ก้มลงสำรวจดูนิดหนึ่ง แล้วก็หันมาสั่งเสียงเฉียบขาด
“ยืนอยู่ตรงนั้นก่อนนะ อย่าเพิ่งขยับตัว”
จากนั้นตัวเขาเองก็เคลื่อนไหวด้วยท่าทางแปลกๆ มันเต็มไปด้วยความระมัดระวัง ในการยกขาแล้วจรดปลายเท้าแต่ละครั้ง
ดาบตำรวจชราค่อยๆ ย้อนกลับมา และกลับไปตรงปลายท่าอีกครั้ง มันเหมือนนานเป็นชั่วโมงเลยทีเดียว กว่าที่เขาจะนั่งลงสำรวจร่องรอยที่ฉันเห็นได้จากตรงนี้อย่างจริงจัง
ดาบทุมชะโงกมองรอบๆ รอยเปื้อนนั้น บนพื้นตรงปลายท่าน้ำ คงมีบางอย่างที่เขาให้ความสนใจเป็นพิเศษ
ฉันได้ยินความคิดที่เขาตั้งคำถามกับตัวเองว่า พี่สิทธาสวมรองเท้าอะไร
“คอนเวิร์สค่ะ คอนเวิร์สออลสตาร์ เบอร์สี่สิบสาม”
ฉันตะโกนบอกไป แล้วก็ต้องรีบหุบปาก รู้ตัวทันทีว่าทำพลาดอีกแล้ว
ถึงมันจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี แต่ก็อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่น่าให้อภัยตัวเองอย่างยิ่ง กับการชิงบอกคำตอบ ให้กับคำถามที่ยังไม่ถูกถามออกมา
ฉันยกสองมือขึ้นกุมใบหน้า เมื่อเห็นและรู้ว่าดาบทุมกำลังตกใจหนัก เขาคิดว่าพี่ชายของฉันน่าจะจมน้ำตายอยู่ในคลอง เพราะรอยเลือดและรอยรองเท้าบอกเช่นนั้น เขาอนุมานต่อไปว่า พี่สิทธาอาจพลาด ลื่นจนหัวฟาดกับต้นเสา แล้วก็หมดสติ ร่วงตกน้ำ
ในความคิดของดาบทุม เขายังพยายามละทิ้งข้อสังเกต เกี่ยวกับร่องรอยบางอย่าง ที่ดูจะไม่ค่อยสมเหตุสมผล
“คงต้องงม เรียกกู้ชีพดีไหมคะ”
ฉันร้องถาม โดยยังอยู่กับที่ตามคำสั่งเดิม
แต่เหมือนตำรวจชราจะเพิ่งเอะใจ เขาหันมามองฉัน ด้วยสายตาที่ไม่เคยมีใครมองอย่างนี้มานานมากแล้ว มันแลดูเหลือกลาน เหมือนคนกำลังฝันหนีดีฝ่อ จนฉันต้องเอ่ยคำขอโทษในใจดังๆ ไม่อยากให้เขาต้องรู้สึกอย่างนั้นเลยจนนิดเดียว
“ก็... รอยเลือดไม่ใช่หรือคะ ถ้าอย่างนั้น หนูกลัวว่าพี่สิทธาจะพลัดตกลงไป”
นั่นละดาบทุมจึงค่อยมีท่าทางผ่อนคลายขึ้น เขาหันกลับไปสำรวจตรงนั้นอีกครั้ง
ท่าน้ำนี้ยื่นออกไปกลางน้ำไกลกว่าบ้านอื่น เพราะเมื่อก่อน... หรือกระทั่งตอนนี้ ดงป่ารกชัฏหลังบ้าน ยังมีพวกสัตว์ที่หลงเหลือย่องออกมากินน้ำ มันเป็นที่รกร้างที่ชาวบ้านดั้งเดิมถือเป็นเขตป่าช้าของวัดบ้านใต้ ที่ตั้งพ้นคุ้งน้ำลับตาไปทางด้านหลัง ด้วยลักษณะอันเหมาะเจาะนี้เอง พี่สิทธาจึงชอบมาซุ่มดูพวกมัน และพยายามจะยิงอยู่หลายครั้งแต่ไม่เคยสำเร็จ
ส่วนก้นคลองในช่วงนี้ก็ลึกมาก มีคุ้งแยกไปเป็นสองทาง ทำให้สามแพร่งที่สายน้ำบรรจบ เกิดเป็นวังน้ำวนน่าหวาดเสียว คุณพ่อเคยบอกว่า วังน้ำนี้ล่มเรือมานักต่อนัก และกู้กลับขึ้นมาไม่เคยได้ เพราะท้องน้ำนั้นลึกยิ่งกว่าลึก
ในที่สุดดาบทุมก็เดินกลับมายืนอยู่ใกล้ๆ เสียที
“บอกตามตรง ผมไม่อยากให้เรื่องมันเอิกเกริก ผู้กองปราบก็คงคิดเหมือนกัน”
“แล้วยังไงคะ”
“เราไม่ควรเรียกพวกกู้ชีพ ไม่อย่างนั้นนักข่าวหรือชาวบ้านแห่กันมาเพียบแน่ๆ”
“แต่พี่ชายฉันหายไปทั้งคน”
“ขอให้ผมกลับไปรายงานหัวหน้าก่อน แล้วท่านคงโทร.ไปบอกคุณว่าเราจะจัดการอย่างไร”
ดาบตำรวจชรา พูดราวกับว่าถ้าพี่ชายฉันกลายเป็นศพเฝ้าคุ้งน้ำนี้จริง ก็คงยังไม่เลื่อนไหลตามกระแสน้ำไปถึงไหนต่อไหน
ฉันต้องข่มอารมณ์ข่มใจอย่างมากมาย กว่าจะถามออกมาว่า
“แล้วเมื่อไหร่ล่ะคะ”
“ต้องคนชำนาญ พวกหนุ่มๆ กู้ชีพที่คะนองฝีมือ อาจพลอยเอาชีวิตไปสังเวยโดยเปล่าประโยชน์ เราก็รู้ว่าตรงคุ้งนี้ น้ำมันลึกขนาดไหน และไม่มีใครเคยงมหรือกู้อะไรกลับขึ้นมาได้เลย”
รู้สึกเหมือนมีก้อนแข็งๆ ขึ้นมาจุกที่ลำคอ ความโกรธและเดือดดาลคงพุ่งขึ้นมาจนอึดอัดไปหมด เพราะรู้แก่ใจว่าไม่สามารถทำอะไรอื่นได้ นอกจาก...
“อย่างนั้น ฉันคงต้องรอคุณลุงปราบ”
“คิดดี้เพิ่งกลับมาเยี่ยมบ้านเมื่อคืนนี้เอง”
ดาบทุมเอ่ยขึ้นแบบไม่มีต้นสายปลายเหตุ กว่าที่จะเข้าใจว่าเขาพยายามหมายถึงอะไร ฉันก็ต้องเรียบเรียงอยู่พอสมควร
คิดดี้เป็นสาวไฟแรงสูง เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่ เด็ดถึงใจ ตามสำนวนของพี่สิทธา และคิดดี้ก็เป็นคนแรกที่ทำให้พี่ชายของฉัน เหมือนตกอยู่ในห้วงเหวแห่งความรักอย่างจริงจัง ก่อนที่หล่อนจะสลัดเขาทิ้ง แล้วจากไปแบบไม่ไยดี
จะว่าไป สัตว์สมิง... ไม่สิ ที่จริงหล่อนคนนั้นคือพวกรักษส์หรือรากษส ที่เป็นสัตว์แปลงแฝงอยู่ในร่างมนุษย์ได้คล้ายๆ กับพวกสัตว์สมิง จนแวบแรกที่ได้เห็นนั่น ทำให้ฉันถึงกับเข้าใจผิด หล่อนคนนั้น... ผู้หญิงคนที่พี่สิทธาควงอยู่ด้วยเมื่อคืนส่งท้ายปีเก่า หล่อนก็มีรูปร่างหน้าตาคล้ายๆ กับคิดดี้อยู่เหมือนกัน
“คิดดี้กลับมาแล้วหรือคะ”
“แค่มาเยี่ยมพี่ๆ น้องๆ ละมั้ง เห็นบอกว่ากลับไปพักอยู่แถวเจริญกรุง”
ดาบทุมตอบเรื่อยๆ
“แดน ญาติผู้พี่ของเขานั่นละ เธอก็รู้จักไม่ใช่หรือไง”
ฉันนึกถึงรูปร่างหน้าตารวมถึงความเป็นพวกคนในเมืองได้ทันที แดนไทมาแถวร้านที่ทำงานฉันบ่อยมาก เมื่อครั้งที่คิดดี้ยังติดพันอยู่กับพี่สิทธา
ถ้าเป็นอย่างนั้น ฉันก็คงต้องไปคุยกับแดนไทอีกคน
และ... ดูท่าว่า การต้องไปถึงย่านเดอะพราย มีความจำเป็นยิ่งขึ้นทุกที...
แล้วดาบทุมก็รีบให้ฉันพ้นออกมาจากสถานที่ ที่เขาคงสันนิษฐานว่าเป็นที่เกิดเหตุ อ้างว่าจะรีบเรียกเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเข้ามาทำงาน ถ้าฉันยังอยู่ หลักฐานอาจเสียหาย
แต่ที่จริงความคิดเขาที่ฉันจับกระแสได้ นั่นก็คือ มันยังมีอีกบางอย่างที่ไม่อยากจะให้ฉันรู้เห็น การอ้างเรื่องคิดดี้ ก็เป็นเพียงข้ออ้างให้ฉันรีบออกมาให้พ้นๆ เพียงแค่นั้น
ฉันใจสั่น ตัวสั่น รวมทั้งมือก็สั่นกึกๆ ทั้งที่ยังกุมพวงมาลัยแน่น ตาพร่าเพราะน้ำตาที่เวียนเอ่อขึ้นมา ทำให้ต้องเช็ดซ้ำอยู่หลายครั้ง ฉันเคยหวังไว้ว่าพี่ชายจะเพียงแค่ทำตัวเหลวไหลไปหน่อย แต่ตอนนี้ การณ์กลับกลายเป็นว่า เขาอาจจะตายไปแล้วด้วยซ้ำ
สัญชาตญาณสั่งให้ฉันขับรถกลับบ้าน คิดล่วงหน้าว่าจะต้องโทร.หาใครสักคน
แต่พอถามว่าจะโทร.หาใคร ก็กลับมืดแปดด้าน...
ทั้งชีวิตตอนนี้ฉันเหลือเพียงตัวเองกับพี่ชาย ไม่มีเขาสักคน ก็ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร นึกมาถึงตอนนี้ก็รู้สึกอ้างว้างจับใจ ทำไมหนอการเหลืออยู่ตัวคนเดียวในโลก จึงน่าเวทนาถึงขนาดนี้
หรือจะโทร.หาพวกเพื่อนๆ โปร่ง หรือวรรณา แต่ฉันก็ไม่ใช่พวกประเภทที่ชอบเอาความทุกข์ของตัวเองไปทุ่มโถมเข้าใส่เพื่อนคนอื่นๆ
น้ำตาเจ้ากรรมไหลพรากลงมา ปฏิกิริยาความอัดอั้นภายในทำให้เริ่มสะอึกสะอื้นจนยากจะควบคุมรถ ฉันต้องชะลอแล้วจอดตรงข้างทาง เพื่อสงบสติอารมณ์...
ถูใบหน้าตัวเองแรงๆ เพื่อเรียกให้สติกลับคืนมา
พรายเสน่หา บทที่ 8
พรายเสน่หา บทที่ 2 http://ppantip.com/topic/30420413
พรายเสน่หา บทที่ 3 http://ppantip.com/topic/30422658
พรายเสน่หา บทที่ 4 http://ppantip.com/topic/30458126
พรายเสน่หา บทที่ 5 http://ppantip.com/topic/30462595
พรายเสน่หา บทที่ 6 http://ppantip.com/topic/30476309
พรายเสน่หา บทที่ 7 http://ppantip.com/topic/30481791
------------------------------------------------------------------------------
บทที่ 8
“ผมมาก่อนคุณไม่ถึงห้านาที”
อยู่ๆ เสียงของดาบทุมก็เป็นงานเป็นการขึ้นมาเฉยๆ คงไม่อยากเจออะไรที่พอจะเป็นหลักฐาน สร้างความยุ่งยากในการรายงานกับผู้บังคับบัญชาของตนเอง
แต่ฉันไม่สน เดินนำมาโดยไม่ไยดีว่า ดาบตำรวจชราจะมีท่าทีขัดแย้งอย่างไร ตอนที่จำใจต้องเดินตาม
จากตัวเรือน พี่สิทธากับเพื่อนสร้างเพิงหลังคายื่นเลยออกมา สำหรับการละเลียดบรรยากาศริมคลองกว้างใหญ่ แกล้มกับเครื่องดื่มสีอำพัน แต่ตรงนั้นไม่มีอะไรผิดปกติ
ระหว่างที่ดาบทุมเดินเลยไปทางดงไม้รกร้างหลังบ้าน ฉันจึงมาหยุดพิจารณาอยู่ตรงท่าน้ำ
ศาลาริมน้ำที่คุณพ่อเคยสร้างไว้ ถูกรื้อลงเพราะความทรุดโทรม กระนั้นตัวท่าน้ำก็ยังแข็งแรง แม้จะมีรอยผุพัง แต่ก็น่าจะรับน้ำหนักได้เป็นอย่างดี
ถ้าฉันไม่ได้ตาฝาด...
ตรงเสาที่ปักออกไปไกลสุดนั่น... มีรอยเปื้อนอะไรบางอย่าง
และคงเผลอกรีดร้องออกไป ทำให้ดาบทุมแทบกระโจนกลับมายืนอยู่ข้างตัว
“ดูสิคะ ต้นเสาที่สุดท่าน้ำ!”
ฉันรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก หัวใจเต้นถี่ระรัว แทบจะหลุดออกมานอกหน้าอก
ดาบทุมแสดงความกล้าหาญหรือทำตามหน้าที่ก็ไม่รู้ ตอนที่เขาเดินเร็วๆ ไปตรงนั้น ก้มลงสำรวจดูนิดหนึ่ง แล้วก็หันมาสั่งเสียงเฉียบขาด
“ยืนอยู่ตรงนั้นก่อนนะ อย่าเพิ่งขยับตัว”
จากนั้นตัวเขาเองก็เคลื่อนไหวด้วยท่าทางแปลกๆ มันเต็มไปด้วยความระมัดระวัง ในการยกขาแล้วจรดปลายเท้าแต่ละครั้ง
ดาบตำรวจชราค่อยๆ ย้อนกลับมา และกลับไปตรงปลายท่าอีกครั้ง มันเหมือนนานเป็นชั่วโมงเลยทีเดียว กว่าที่เขาจะนั่งลงสำรวจร่องรอยที่ฉันเห็นได้จากตรงนี้อย่างจริงจัง
ดาบทุมชะโงกมองรอบๆ รอยเปื้อนนั้น บนพื้นตรงปลายท่าน้ำ คงมีบางอย่างที่เขาให้ความสนใจเป็นพิเศษ
ฉันได้ยินความคิดที่เขาตั้งคำถามกับตัวเองว่า พี่สิทธาสวมรองเท้าอะไร
“คอนเวิร์สค่ะ คอนเวิร์สออลสตาร์ เบอร์สี่สิบสาม”
ฉันตะโกนบอกไป แล้วก็ต้องรีบหุบปาก รู้ตัวทันทีว่าทำพลาดอีกแล้ว
ถึงมันจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี แต่ก็อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่น่าให้อภัยตัวเองอย่างยิ่ง กับการชิงบอกคำตอบ ให้กับคำถามที่ยังไม่ถูกถามออกมา
ฉันยกสองมือขึ้นกุมใบหน้า เมื่อเห็นและรู้ว่าดาบทุมกำลังตกใจหนัก เขาคิดว่าพี่ชายของฉันน่าจะจมน้ำตายอยู่ในคลอง เพราะรอยเลือดและรอยรองเท้าบอกเช่นนั้น เขาอนุมานต่อไปว่า พี่สิทธาอาจพลาด ลื่นจนหัวฟาดกับต้นเสา แล้วก็หมดสติ ร่วงตกน้ำ
ในความคิดของดาบทุม เขายังพยายามละทิ้งข้อสังเกต เกี่ยวกับร่องรอยบางอย่าง ที่ดูจะไม่ค่อยสมเหตุสมผล
“คงต้องงม เรียกกู้ชีพดีไหมคะ”
ฉันร้องถาม โดยยังอยู่กับที่ตามคำสั่งเดิม
แต่เหมือนตำรวจชราจะเพิ่งเอะใจ เขาหันมามองฉัน ด้วยสายตาที่ไม่เคยมีใครมองอย่างนี้มานานมากแล้ว มันแลดูเหลือกลาน เหมือนคนกำลังฝันหนีดีฝ่อ จนฉันต้องเอ่ยคำขอโทษในใจดังๆ ไม่อยากให้เขาต้องรู้สึกอย่างนั้นเลยจนนิดเดียว
“ก็... รอยเลือดไม่ใช่หรือคะ ถ้าอย่างนั้น หนูกลัวว่าพี่สิทธาจะพลัดตกลงไป”
นั่นละดาบทุมจึงค่อยมีท่าทางผ่อนคลายขึ้น เขาหันกลับไปสำรวจตรงนั้นอีกครั้ง
ท่าน้ำนี้ยื่นออกไปกลางน้ำไกลกว่าบ้านอื่น เพราะเมื่อก่อน... หรือกระทั่งตอนนี้ ดงป่ารกชัฏหลังบ้าน ยังมีพวกสัตว์ที่หลงเหลือย่องออกมากินน้ำ มันเป็นที่รกร้างที่ชาวบ้านดั้งเดิมถือเป็นเขตป่าช้าของวัดบ้านใต้ ที่ตั้งพ้นคุ้งน้ำลับตาไปทางด้านหลัง ด้วยลักษณะอันเหมาะเจาะนี้เอง พี่สิทธาจึงชอบมาซุ่มดูพวกมัน และพยายามจะยิงอยู่หลายครั้งแต่ไม่เคยสำเร็จ
ส่วนก้นคลองในช่วงนี้ก็ลึกมาก มีคุ้งแยกไปเป็นสองทาง ทำให้สามแพร่งที่สายน้ำบรรจบ เกิดเป็นวังน้ำวนน่าหวาดเสียว คุณพ่อเคยบอกว่า วังน้ำนี้ล่มเรือมานักต่อนัก และกู้กลับขึ้นมาไม่เคยได้ เพราะท้องน้ำนั้นลึกยิ่งกว่าลึก
ในที่สุดดาบทุมก็เดินกลับมายืนอยู่ใกล้ๆ เสียที
“บอกตามตรง ผมไม่อยากให้เรื่องมันเอิกเกริก ผู้กองปราบก็คงคิดเหมือนกัน”
“แล้วยังไงคะ”
“เราไม่ควรเรียกพวกกู้ชีพ ไม่อย่างนั้นนักข่าวหรือชาวบ้านแห่กันมาเพียบแน่ๆ”
“แต่พี่ชายฉันหายไปทั้งคน”
“ขอให้ผมกลับไปรายงานหัวหน้าก่อน แล้วท่านคงโทร.ไปบอกคุณว่าเราจะจัดการอย่างไร”
ดาบตำรวจชรา พูดราวกับว่าถ้าพี่ชายฉันกลายเป็นศพเฝ้าคุ้งน้ำนี้จริง ก็คงยังไม่เลื่อนไหลตามกระแสน้ำไปถึงไหนต่อไหน
ฉันต้องข่มอารมณ์ข่มใจอย่างมากมาย กว่าจะถามออกมาว่า
“แล้วเมื่อไหร่ล่ะคะ”
“ต้องคนชำนาญ พวกหนุ่มๆ กู้ชีพที่คะนองฝีมือ อาจพลอยเอาชีวิตไปสังเวยโดยเปล่าประโยชน์ เราก็รู้ว่าตรงคุ้งนี้ น้ำมันลึกขนาดไหน และไม่มีใครเคยงมหรือกู้อะไรกลับขึ้นมาได้เลย”
รู้สึกเหมือนมีก้อนแข็งๆ ขึ้นมาจุกที่ลำคอ ความโกรธและเดือดดาลคงพุ่งขึ้นมาจนอึดอัดไปหมด เพราะรู้แก่ใจว่าไม่สามารถทำอะไรอื่นได้ นอกจาก...
“อย่างนั้น ฉันคงต้องรอคุณลุงปราบ”
“คิดดี้เพิ่งกลับมาเยี่ยมบ้านเมื่อคืนนี้เอง”
ดาบทุมเอ่ยขึ้นแบบไม่มีต้นสายปลายเหตุ กว่าที่จะเข้าใจว่าเขาพยายามหมายถึงอะไร ฉันก็ต้องเรียบเรียงอยู่พอสมควร
คิดดี้เป็นสาวไฟแรงสูง เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่ เด็ดถึงใจ ตามสำนวนของพี่สิทธา และคิดดี้ก็เป็นคนแรกที่ทำให้พี่ชายของฉัน เหมือนตกอยู่ในห้วงเหวแห่งความรักอย่างจริงจัง ก่อนที่หล่อนจะสลัดเขาทิ้ง แล้วจากไปแบบไม่ไยดี
จะว่าไป สัตว์สมิง... ไม่สิ ที่จริงหล่อนคนนั้นคือพวกรักษส์หรือรากษส ที่เป็นสัตว์แปลงแฝงอยู่ในร่างมนุษย์ได้คล้ายๆ กับพวกสัตว์สมิง จนแวบแรกที่ได้เห็นนั่น ทำให้ฉันถึงกับเข้าใจผิด หล่อนคนนั้น... ผู้หญิงคนที่พี่สิทธาควงอยู่ด้วยเมื่อคืนส่งท้ายปีเก่า หล่อนก็มีรูปร่างหน้าตาคล้ายๆ กับคิดดี้อยู่เหมือนกัน
“คิดดี้กลับมาแล้วหรือคะ”
“แค่มาเยี่ยมพี่ๆ น้องๆ ละมั้ง เห็นบอกว่ากลับไปพักอยู่แถวเจริญกรุง”
ดาบทุมตอบเรื่อยๆ
“แดน ญาติผู้พี่ของเขานั่นละ เธอก็รู้จักไม่ใช่หรือไง”
ฉันนึกถึงรูปร่างหน้าตารวมถึงความเป็นพวกคนในเมืองได้ทันที แดนไทมาแถวร้านที่ทำงานฉันบ่อยมาก เมื่อครั้งที่คิดดี้ยังติดพันอยู่กับพี่สิทธา
ถ้าเป็นอย่างนั้น ฉันก็คงต้องไปคุยกับแดนไทอีกคน
และ... ดูท่าว่า การต้องไปถึงย่านเดอะพราย มีความจำเป็นยิ่งขึ้นทุกที...
แล้วดาบทุมก็รีบให้ฉันพ้นออกมาจากสถานที่ ที่เขาคงสันนิษฐานว่าเป็นที่เกิดเหตุ อ้างว่าจะรีบเรียกเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเข้ามาทำงาน ถ้าฉันยังอยู่ หลักฐานอาจเสียหาย
แต่ที่จริงความคิดเขาที่ฉันจับกระแสได้ นั่นก็คือ มันยังมีอีกบางอย่างที่ไม่อยากจะให้ฉันรู้เห็น การอ้างเรื่องคิดดี้ ก็เป็นเพียงข้ออ้างให้ฉันรีบออกมาให้พ้นๆ เพียงแค่นั้น
ฉันใจสั่น ตัวสั่น รวมทั้งมือก็สั่นกึกๆ ทั้งที่ยังกุมพวงมาลัยแน่น ตาพร่าเพราะน้ำตาที่เวียนเอ่อขึ้นมา ทำให้ต้องเช็ดซ้ำอยู่หลายครั้ง ฉันเคยหวังไว้ว่าพี่ชายจะเพียงแค่ทำตัวเหลวไหลไปหน่อย แต่ตอนนี้ การณ์กลับกลายเป็นว่า เขาอาจจะตายไปแล้วด้วยซ้ำ
สัญชาตญาณสั่งให้ฉันขับรถกลับบ้าน คิดล่วงหน้าว่าจะต้องโทร.หาใครสักคน
แต่พอถามว่าจะโทร.หาใคร ก็กลับมืดแปดด้าน...
ทั้งชีวิตตอนนี้ฉันเหลือเพียงตัวเองกับพี่ชาย ไม่มีเขาสักคน ก็ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร นึกมาถึงตอนนี้ก็รู้สึกอ้างว้างจับใจ ทำไมหนอการเหลืออยู่ตัวคนเดียวในโลก จึงน่าเวทนาถึงขนาดนี้
หรือจะโทร.หาพวกเพื่อนๆ โปร่ง หรือวรรณา แต่ฉันก็ไม่ใช่พวกประเภทที่ชอบเอาความทุกข์ของตัวเองไปทุ่มโถมเข้าใส่เพื่อนคนอื่นๆ
น้ำตาเจ้ากรรมไหลพรากลงมา ปฏิกิริยาความอัดอั้นภายในทำให้เริ่มสะอึกสะอื้นจนยากจะควบคุมรถ ฉันต้องชะลอแล้วจอดตรงข้างทาง เพื่อสงบสติอารมณ์...
ถูใบหน้าตัวเองแรงๆ เพื่อเรียกให้สติกลับคืนมา