เพียงครึ่งใจ (บทที่ 35) (จบ)
ที่นั่งข้างๆ ในชั้นธุรกิจนั้นยังคงว่าง แม้เมื่อประตูของเครื่องบินถูกปิดลงแล้ว
ไฟท์กรุงเทพฯ - สิงคโปร์คราวนี้ไม่ได้เต็มแน่นเช่นปรกติประจำ
หรือเหมือนเช่น…คราวนั้น
แว่นตาดำที่ถูกนำมาสวมไม่ใช่เพราะแสงแดดนอกหน้าต่างที่มีให้เห็นเพียงร่ำไร ลอดใต้เมฆบางๆ ที่ปกคลุม หากเพราะความคิดและความรู้สึกหลายอย่างที่ทำให้แสบตา
สี่ปีก่อน หญิงสาวร่างเล็ก ในเสื้อสีมอม ผมยาวกระเซิงนิดๆ เคยนั่งไปกับเขาจนสุดปลายทางที่สิงคโปร์
หรือแม้ว่าเมื่อไม่กี่เดือนก่อนมานี้ เรา ก็เคยไปฮูสตันด้วยกัน
ทว่าวันนี้ การเดินทางกลับเงียบเหงาจับใจ
เพราะการเดินทางเพียงลำพังคนเดียวมักอ้างว้างเสมอ
จน…ใจ ของเขาแสนยากจะผ่อนคลายความคิด
เสียงเพลงคลาสสิคคลอเบาๆ อีกทั้งแชมเปญชั้นเยี่ยม หรืออาหารที่จัดมาอย่างพิถีพิถันก็ไร้รสชาด ไม่สามารถทำให้…ใจสงบ
เขาเคยทำเมินไม่สนใจผู้หญิงคนนั้นที่นั่งข้างๆ เพราะความเป็นคนแปลกหน้า จนเธอต้องเป็นฝ่ายรวบรวมความกล้าที่จะคุย ทว่าตอนนี้ เขากลับเป็นฝ่ายที่ยังไม่คลายความอาวรณ์
ในตอนนี้ อนรรฆพยายามตัดใจ…ลืม พร้อมกับการตัดสินใจที่ทุกคนในครอบครัวต่างท้วงติง โดยที่แม้แต่เจ้านายทั้งคริสและไมค์ก็ไม่เห็นด้วย
ครั้งนี้ คล้ายสี่ปีก่อนโน้น เขามาสิงคโปร์เพื่อรับงานใหม่กับคอนโร ทว่าคราวนี้ขอย้ายไปประจำที่ยุโรป
‘ไม่ต้องไปทำโครงการในพม่าก็ได้ ถ้าคุณไม่สบายใจ’ คริสพยายามเกลี้ยกล่อมอยู่หลายที ด้วยคิดว่าที่ลูกน้องไม่อยู่ก็เพราะเหตุการณ์ที่พม่า
หรือแม้แต่ไมค์ก็เตือน ‘คิดดูให้ดีนะ คุณยังมีทางเลือก’
ทว่าไม่ว่าใครจะหว่านล้อม แต่อนรรฆก็ยืนกรานว่าจะไป
‘ไปแค่สองปีเอง แต่ก็กลับมาบ้านได้ปีละหลายครั้ง’ ชายหนุ่มปลอบทุกคนที่บ้านเช่นนั้น
เพียงแต่ว่าหลายคนก็ยังมีคำถาม
‘ตัดสินใจดีแล้วหรือ’
แต่ว่าอนรรฆเลือกที่จะไม่ตอบ โดยบอกเพียงว่า ‘มันเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด’
โลกหมุน…และยังคงหมุนต่อไป
ความรู้สึกมึนหัว อ่อนล้า อาจเพราะอาการเจ็บกายที่เกิดจากเหตุการณ์เมื่อหลายเดือนก่อน หรืออาจเพราะความรู้สึกที่ย้ำด้วยความทรงจำ
ร่างสูงลากกระเป๋าเดินทางสีดำออกมาด้านนอก ไม่แน่ใจนักว่าเขาเดินมาถึงตรงนี้ได้อย่างไร
ภาพทุกอย่างตรงหน้าพร่ามัว จนต้องกระพริบตาสองสามทีก่อนมองซ้ายขวาไปรอบๆ ราวว่ากำลังระลึกถึงความทรงจำบางอย่าง หากดวงตาคมหากนิ่งเฉย ก็ยังคงไม่ปรากฏความรู้สึกใดๆ แม้เมื่อคิด
ตอนนั้น เขาเป็นห่วงผู้หญิงแปลกหน้าคนนั้นเพราะความสงสารแกมสงสัย เพราะเธอเดินทางมาเพียงลำพังคนเดียว ไร้ที่พึ่ง
เขาเคยห่วงนิหล่าว่าจะเป็นอย่างไร
เขาห่วง…ทั้งๆ ที่พยายามบอกตัวเองว่าไม่มีธุระหรือหน้าที่จะต้องห่วง
เขาคิด…เป็นห่วงโดยตอบตัวเองไม่ได้ว่าทำไม
มาถึงวันนี้ ยังมีอะไรต้องห่วง มีอะไรต้องคิดอีก
What will be, will be…
นิหล่าควรอยู่กับคนที่เหมาะสม คนที่เธอเคยมาตามหาถึงสิงคโปร์
มันก็สมควรเป็นเช่นนั้นตั้งแต่ต้นไม่ใช่หรือ
…ของที่ไม่ใช่ของเรา ทำอย่างไรก็ไม่ใช่ ให้เอื้อมคว้าแต่ก็ไม่อาจคว้ามาได้…
มือของเขาจับที่ลากกระเป๋าแน่นจนเห็นเป็นนูนเส้นเลือด ร่างสูงเดินมาถึงยังบริเวณจุดรอแท็กซี่
วันนี้คิวแท็กซี่ไม่มีคน
‘คุณพักอยู่แถวไหน’
นิหล่าเคยถามเช่นนั้น เมื่อคราวที่เธอไม่มีที่ไป
“เดอะริทซ์” ในเวลานี้อนรรฆบอกกับคนขับแท็กซี่
และนี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เขากลับมาพักที่โรงแรมนี้อีกครั้ง
…Life goes on…
สิ่งที่พิมพ์ประทับก็เหลือแค่…ความทรงจำของอดีต
เพียงแต่ว่าความโหดร้ายของปัจจุบัน ตอกย้ำเมื่อเขาขึ้นมาที่ห้องสูทเดิมที่เคยพัก
จะโทษว่าผู้เป็นเลขาฯ ของเขา หรือว่าเพื่อนสนิทอย่างเทอร์รี่กลั่นแกล้ง หรืออาจจะต้องโทษโชคชะตา ก็คงได้
ร่างสูงยืนนิ่งอยู่นาน แลไปยังโซฟายาวแสนสบายที่เขาเคยใช้เป็นที่นอนหลายคืน ก่อนที่จะเงยหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างบานใหญ่
ทิวทัศน์ของเมืองที่ชุลมุนวุ่นวายกับการก่อสร้าง เพื่อขยายพื้นที่ใช้สอยเช่นสิงคโปร์นั้น เปลี่ยนแปลงไปจากที่เขาได้เห็นคลายยืนอยู่ในห้องพักนี้เมื่อสี่ปีก่อน
อนรรฆถอนหายใจ เดินเข้าไปในห้องนอน
ทุกตะรางนิ้วของของที่นี่ล้วนมีความทรงจำที่เขาไม่เคยลืม แม้แต่วิวจากห้องน้ำใหญ่ที่เห็นชิงช้าสวรรค์มหึมา…Singapore Flyer
‘เอาไว้พรุ่งนี้…สัญญา’
เขาจำได้นิหล่าเคยสัญญาเช่นนั้น
เพียงแต่ว่าตอนนี้ ภาพของชิงช้าสวรรค์ใหญ่ที่เขามองเห็นผ่านกระจกแปดเหลี่ยมบานใหญ่นั้น กำลังย้ำเตือนว่า
พรุ่งนี้…ไม่มีวันที่จะมาถึง
อนรรฆคลายมือออกจากปมเน็คไทเพื่อคว้าโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานที่ติดกับกระจกบานใหญ่
ดวงหน้าคมนิ่งเฉยไม่แสดงความรู้สึก แม้เมื่อเห็นว่า…ใคร กำลังโทรฯ เข้ามา สายตาของเขาทอดแลไปยังทิวทัศน์ข้างหน้า
อ่าวมาริน่าที่เขาเห็นจนชินตา ดูแช่มชื่นด้วยแสงแดดของยามสาย ไรแดดของวันที่ไร้ก้อนเมฆ กระทบเบาๆ บนผิวน้ำส่งประกายระยิบจ้า
ชายหนุ่มวางโทรศัพท์ลง ปล่อยให้มันเงียบไปเอง แล้วจึงคว้าสวมสูทสีเข้มตัดจากผ้าเนื้อดี กลัดกระดุมทั้งสองเม็ดให้เรียบร้อย มือแตะเบาๆ ที่ปมเน็คไทอีกครั้ง
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง จนเขาต้องถอนหายใจ หวังเพียงว่าไม่ใช่สายของคนที่เรียกเข้าเมื่อกี้
และเมื่อเห็นว่าไม่ใช่ เขาจึงรับสาย
“วันนี้ผมมีเรื่องด่วนที่เมืองไทย คงบินไปร่วมงานของลูกค้าคืนนี้ที่สิงค์โปร์ไม่ได้” เสียงของไมค์บอกบอกมาตามสาย “รบกวนคุณไปร่วมงานแทนผมด้วยนะ แต่คุณไม่รู้จักหรอก เป็นลูกค้าใหญ่ที่ผมดีลด้วยโดยตรง คุณโผล่ไปให้เขารู้ว่ามา แล้วก็กลับ”
“แล้วเขาจัดงานที่ไหนครับ” อนรรฆซัก เพราะอย่างน้อยเขาจะได้เตรียมตัว
“ไม่รู้ ผมก็ยังไม่ได้รับบัตรเชิญ แต่เดี๋ยว ลูกค้าเขาจะเอาบัตรเชิญไปส่งให้คุณที่โรงแรมบ่ายนี้”
“ครับ” คำรับคำสั่นๆ ไม่ถามอะไรไปมากกว่านั้น
“ว่าแต่คุณแน่ใจแล้วนะ”
การแน่นใจ…ก็แค่ในเรื่องๆ เดียว ทั้งคนพูดและคนฟังรู้
“ครับ<>”
“ถ้ายังมีห่วง ยังมีเรื่องคิด ก็อย่าเพิ่งเซ็น คุณย้ายภายในคอนโร จะเซ็นวันนี้พรุ่งนี้ก็ได้ อีกอย่างวันนี้…ควรเป็นวันหยุดของคุณ”
“ครับ” คำรับสั้นเช่นเดิม
ไมค์ยังสั่งอีกพัก ก่อนที่จะวาสงสาย หลังจากนั้นก็เป็นคริสโทรฯ เข้ามา แล้วไหนจะ ‘เมียด’ ที่เซ้าซี้ให้เขาเปลี่ยนใจ
ทว่าอนรรฆหัวเราะฝื่นๆ พลางบอกพี่เลี้ยง “คุณนนท์ตัดสินใจแล้วจ้ะ จะไปเซ็นสัญญาวันนี้ เป็นวันอื่นได้ไหมคะ พรุ่งนี้ก็ได้”
“ไม่ได้หรอกจ้ะ คุณนนท์กำลังจะออกจากโรงแรมแล้ว นัดเขาไว้แล้ว”
และกว่าละเมียดจะยอมวางสายได้ก็อีกพักใหญ่ เมื่อนั้นชายหนุ่มจึงคว้ากระเป๋าเอกสาร ก้าวออกจากห้องพัก
ระยะการเดินจากห้องไปยังลิฟท์โดยสารนั้นไม่ไกล แต่ก็ทำให้เขา…คิด
ดวงหน้าคมยิ้มเล็กน้อย ด้วยความคิดที่ว่า พวกผู้ใหญ่ล้วนต่างพร้อมใจรั้งเขาไว้เสียจริง
เพราะความคิดทำให้ไม่ได้ยินเสียงเรียกจากบริเวณโถงทางเข้าของโรงแรม อาจเพราะเขาไม่คิดว่าจะได้ยินเสียงนี้อีก
“นนท์…” เสียงเรียกครั้งนี้พร้อมการรั้งที่แขนของเขา จับเพื่อให้เขาหยุดเดิน
สีหน้าของอนรรฆที่หันมามีแววประหลาดใจไม่คาดคิด…ไม่คิดว่าจะเจอ
“Happy birthday จ้ะนนท์” พรพิมลพยายามยิ้มอย่างแจ่มใส เพื่อให้มันกลบรอยวิตกกังวลหมองเศร้าบนใบหน้า
“แพทสบายดีเหรอ แล้วมาทำอะไรที่นี่” คำถามนั้นตามมารยาท มากกว่าใคร่อยากรู้จริงจัง
“ก็มาหานนท์ รอตั้งแต่เช้า เมื่อกี้โทรฯ เข้ามือถือ แต่นนท์ไม่รับสาย นนท์ยังโกรธแพทเหรอ”
“ไม่…” อนรรฆปฏิเสธ
ไม่โกรธ แต่ก็ไม่อยากใกล้
ไม่อีกแล้ว เพราะยากที่จะทำใจเหลือให้แม้แต่ความเป็นเพื่อนเช่นเคย
เขาเลือกที่จะไม่รับสายของพรพิมลที่มักโทรฯ เข้ามา และถ้าเป็นไปได้ก็เลือกที่จะหลีกหน้า
“มีเวลาให้แพทไหม แพทอยากคุยกับนนท์ เราไม่ได้คุยกันนานแล้ว”
“ผมต้องเข้าออฟฟิศ”
คำบอกนี่เป็นสิ่งที่คนฟังไม่ชิน เพราะเมื่อก่อนอนรรฆมีเวลาให้เธอเสมอ
ถ้าไม่ใช่ในฐานะคนรัก
ก็ในฐานะเพื่อน หรือคนรู้ใจ
“แค่ห้านาที แพทขอนนท์เท่านี้”
หางเสียงสุดท้ายว้าเหว่ จนคนฟังใจอ่อนพยักหน้าตกลง เดินนำไปยังชุดโซฟานั่ง
ชายหนุ่มนั่งนิ่งเงียบราวรอให้อีกฝ่ายพูด
ความเงียบระหว่างคนทั้งสองนั้นเนิ่นนาน คล้ายให้มันช่วยกลบเสียงของผู้คนพลุกพล่านที่เดินไปมา หรือสายตาของใครอื่นที่ปรายมอง
คนสองคนที่เคยมีความเหมาะสมควรคู่กัน บัดนี้นั่งเงียบราวคนแปลกหน้า จนพรพิมลตัดสินใจเอ่ย
“นี่แพทย้ายกลับมาอยู่สิงคโปร์ถาวรแล้ว”
“ก็ดี”
“นนท์จะไม่ถามเหรอว่าเพราะอะไร” แววเสียงน้อยใจอย่างไม่ปิดบัง
“ไม่จำเป็น…”
“ริชาร์ดตายแล้ว” พรพิมลสวนขึ้นทันที พยายามสะกดเสียงที่สั่น
“ผมรู้ ได้ข่าวว่าแขวนคอตาย”
“นนท์เชื่ออย่างนั้นเหรอ” เสียงของหญิงสาวคล้ายสำลัก เปี่ยมด้วยอารมณ์ เศร้า…หวาดกลัว “ริชาร์ดไม่มีทางฆ่าตัวตาย นิสัยเขาเป็นยังไงนนท์ก็รู้”
“จะยังไงก็ช่าง แต่ผมอโหสิกรรมให้”
“แล้วแพทจะเป็นยังไงล่ะนนท์ คนที่จัดการริชาร์ด…คอนโร หรือพม่า หรือไอ้กัน พวกนั้น…”
“แพทคิดมาก” รอยยิ้มบางๆ คลี่ออกเพื่อปลอบใจอีกฝ่าย หากเขายังคงนั่งในอิริยาบถเดิม ไขว่ห้าง มือประสานกันวางบนเข่า ราวว่าคุยเรื่องธุรกิจมากกว่าเรื่องส่วนตัว
“นนท์…”
พรพิมลเอื้อมมือวางเบาๆ บนมือใหญ่ที่คุ้นเคย เพียงแต่ว่าอีกฝ่ายชักมือออก ราวว่าเขาไม่ใช่อนรรฆคนเดิมที่เธอเคยรู้จัก และรู้ที่จะรัก
“ผมมีธุระ ต้องรีบไปแล้ว” ร่างสูงในสูทเนี๊ยบลุกขึ้น และแม้จะยังคงยิ้มบางๆ แต่ดวงตาของเขานิ่งคมเฉียบ เยือกเย็น “ยังไงก็ขอให้แพทโชคดี และมีความสุขอย่างเช่นที่แพทหวังว่าจะมี”
“แพทจะมีความสุขได้อย่างไรถ้าไม่มีนนท์”
“มีซิ”
“นนท์” เสียงเรียกหวังเพียงให้คนที่เตรียมเดินไปหันกลับมา “แพทรักนนท์ ที่ทำไป ให้เงินริชาร์ด ให้ธาริต ก็เพื่อช่วย…อยากทำทุกอย่างให้ดี ไม่เคยคิดว่าพวกนั้นจะเอาเงินที่แพทให้ไปทำอะไรเลวร้ายเช่นนั้น”
“แค่แพทให้เงินพวกเขาก็เลวร้ายแล้วล่ะ ลาก่อน”
ว่าแล้วเขาก็ก้าวออกไป ไม่หันหลังมองกลับมาอีกเลย
(ต่อ)
เพียงครึ่งใจ (บทที่ 35) โดย มานัส (จบ)
ที่นั่งข้างๆ ในชั้นธุรกิจนั้นยังคงว่าง แม้เมื่อประตูของเครื่องบินถูกปิดลงแล้ว
ไฟท์กรุงเทพฯ - สิงคโปร์คราวนี้ไม่ได้เต็มแน่นเช่นปรกติประจำ
หรือเหมือนเช่น…คราวนั้น
แว่นตาดำที่ถูกนำมาสวมไม่ใช่เพราะแสงแดดนอกหน้าต่างที่มีให้เห็นเพียงร่ำไร ลอดใต้เมฆบางๆ ที่ปกคลุม หากเพราะความคิดและความรู้สึกหลายอย่างที่ทำให้แสบตา
สี่ปีก่อน หญิงสาวร่างเล็ก ในเสื้อสีมอม ผมยาวกระเซิงนิดๆ เคยนั่งไปกับเขาจนสุดปลายทางที่สิงคโปร์
หรือแม้ว่าเมื่อไม่กี่เดือนก่อนมานี้ เรา ก็เคยไปฮูสตันด้วยกัน
ทว่าวันนี้ การเดินทางกลับเงียบเหงาจับใจ
เพราะการเดินทางเพียงลำพังคนเดียวมักอ้างว้างเสมอ
จน…ใจ ของเขาแสนยากจะผ่อนคลายความคิด
เสียงเพลงคลาสสิคคลอเบาๆ อีกทั้งแชมเปญชั้นเยี่ยม หรืออาหารที่จัดมาอย่างพิถีพิถันก็ไร้รสชาด ไม่สามารถทำให้…ใจสงบ
เขาเคยทำเมินไม่สนใจผู้หญิงคนนั้นที่นั่งข้างๆ เพราะความเป็นคนแปลกหน้า จนเธอต้องเป็นฝ่ายรวบรวมความกล้าที่จะคุย ทว่าตอนนี้ เขากลับเป็นฝ่ายที่ยังไม่คลายความอาวรณ์
ในตอนนี้ อนรรฆพยายามตัดใจ…ลืม พร้อมกับการตัดสินใจที่ทุกคนในครอบครัวต่างท้วงติง โดยที่แม้แต่เจ้านายทั้งคริสและไมค์ก็ไม่เห็นด้วย
ครั้งนี้ คล้ายสี่ปีก่อนโน้น เขามาสิงคโปร์เพื่อรับงานใหม่กับคอนโร ทว่าคราวนี้ขอย้ายไปประจำที่ยุโรป
‘ไม่ต้องไปทำโครงการในพม่าก็ได้ ถ้าคุณไม่สบายใจ’ คริสพยายามเกลี้ยกล่อมอยู่หลายที ด้วยคิดว่าที่ลูกน้องไม่อยู่ก็เพราะเหตุการณ์ที่พม่า
หรือแม้แต่ไมค์ก็เตือน ‘คิดดูให้ดีนะ คุณยังมีทางเลือก’
ทว่าไม่ว่าใครจะหว่านล้อม แต่อนรรฆก็ยืนกรานว่าจะไป
‘ไปแค่สองปีเอง แต่ก็กลับมาบ้านได้ปีละหลายครั้ง’ ชายหนุ่มปลอบทุกคนที่บ้านเช่นนั้น
เพียงแต่ว่าหลายคนก็ยังมีคำถาม
‘ตัดสินใจดีแล้วหรือ’
แต่ว่าอนรรฆเลือกที่จะไม่ตอบ โดยบอกเพียงว่า ‘มันเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด’
โลกหมุน…และยังคงหมุนต่อไป
ความรู้สึกมึนหัว อ่อนล้า อาจเพราะอาการเจ็บกายที่เกิดจากเหตุการณ์เมื่อหลายเดือนก่อน หรืออาจเพราะความรู้สึกที่ย้ำด้วยความทรงจำ
ร่างสูงลากกระเป๋าเดินทางสีดำออกมาด้านนอก ไม่แน่ใจนักว่าเขาเดินมาถึงตรงนี้ได้อย่างไร
ภาพทุกอย่างตรงหน้าพร่ามัว จนต้องกระพริบตาสองสามทีก่อนมองซ้ายขวาไปรอบๆ ราวว่ากำลังระลึกถึงความทรงจำบางอย่าง หากดวงตาคมหากนิ่งเฉย ก็ยังคงไม่ปรากฏความรู้สึกใดๆ แม้เมื่อคิด
ตอนนั้น เขาเป็นห่วงผู้หญิงแปลกหน้าคนนั้นเพราะความสงสารแกมสงสัย เพราะเธอเดินทางมาเพียงลำพังคนเดียว ไร้ที่พึ่ง
เขาเคยห่วงนิหล่าว่าจะเป็นอย่างไร
เขาห่วง…ทั้งๆ ที่พยายามบอกตัวเองว่าไม่มีธุระหรือหน้าที่จะต้องห่วง
เขาคิด…เป็นห่วงโดยตอบตัวเองไม่ได้ว่าทำไม
มาถึงวันนี้ ยังมีอะไรต้องห่วง มีอะไรต้องคิดอีก
What will be, will be…
นิหล่าควรอยู่กับคนที่เหมาะสม คนที่เธอเคยมาตามหาถึงสิงคโปร์
มันก็สมควรเป็นเช่นนั้นตั้งแต่ต้นไม่ใช่หรือ
…ของที่ไม่ใช่ของเรา ทำอย่างไรก็ไม่ใช่ ให้เอื้อมคว้าแต่ก็ไม่อาจคว้ามาได้…
มือของเขาจับที่ลากกระเป๋าแน่นจนเห็นเป็นนูนเส้นเลือด ร่างสูงเดินมาถึงยังบริเวณจุดรอแท็กซี่
วันนี้คิวแท็กซี่ไม่มีคน
‘คุณพักอยู่แถวไหน’
นิหล่าเคยถามเช่นนั้น เมื่อคราวที่เธอไม่มีที่ไป
“เดอะริทซ์” ในเวลานี้อนรรฆบอกกับคนขับแท็กซี่
และนี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เขากลับมาพักที่โรงแรมนี้อีกครั้ง
…Life goes on…
สิ่งที่พิมพ์ประทับก็เหลือแค่…ความทรงจำของอดีต
เพียงแต่ว่าความโหดร้ายของปัจจุบัน ตอกย้ำเมื่อเขาขึ้นมาที่ห้องสูทเดิมที่เคยพัก
จะโทษว่าผู้เป็นเลขาฯ ของเขา หรือว่าเพื่อนสนิทอย่างเทอร์รี่กลั่นแกล้ง หรืออาจจะต้องโทษโชคชะตา ก็คงได้
ร่างสูงยืนนิ่งอยู่นาน แลไปยังโซฟายาวแสนสบายที่เขาเคยใช้เป็นที่นอนหลายคืน ก่อนที่จะเงยหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างบานใหญ่
ทิวทัศน์ของเมืองที่ชุลมุนวุ่นวายกับการก่อสร้าง เพื่อขยายพื้นที่ใช้สอยเช่นสิงคโปร์นั้น เปลี่ยนแปลงไปจากที่เขาได้เห็นคลายยืนอยู่ในห้องพักนี้เมื่อสี่ปีก่อน
อนรรฆถอนหายใจ เดินเข้าไปในห้องนอน
ทุกตะรางนิ้วของของที่นี่ล้วนมีความทรงจำที่เขาไม่เคยลืม แม้แต่วิวจากห้องน้ำใหญ่ที่เห็นชิงช้าสวรรค์มหึมา…Singapore Flyer
‘เอาไว้พรุ่งนี้…สัญญา’
เขาจำได้นิหล่าเคยสัญญาเช่นนั้น
เพียงแต่ว่าตอนนี้ ภาพของชิงช้าสวรรค์ใหญ่ที่เขามองเห็นผ่านกระจกแปดเหลี่ยมบานใหญ่นั้น กำลังย้ำเตือนว่า
พรุ่งนี้…ไม่มีวันที่จะมาถึง
อนรรฆคลายมือออกจากปมเน็คไทเพื่อคว้าโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานที่ติดกับกระจกบานใหญ่
ดวงหน้าคมนิ่งเฉยไม่แสดงความรู้สึก แม้เมื่อเห็นว่า…ใคร กำลังโทรฯ เข้ามา สายตาของเขาทอดแลไปยังทิวทัศน์ข้างหน้า
อ่าวมาริน่าที่เขาเห็นจนชินตา ดูแช่มชื่นด้วยแสงแดดของยามสาย ไรแดดของวันที่ไร้ก้อนเมฆ กระทบเบาๆ บนผิวน้ำส่งประกายระยิบจ้า
ชายหนุ่มวางโทรศัพท์ลง ปล่อยให้มันเงียบไปเอง แล้วจึงคว้าสวมสูทสีเข้มตัดจากผ้าเนื้อดี กลัดกระดุมทั้งสองเม็ดให้เรียบร้อย มือแตะเบาๆ ที่ปมเน็คไทอีกครั้ง
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง จนเขาต้องถอนหายใจ หวังเพียงว่าไม่ใช่สายของคนที่เรียกเข้าเมื่อกี้
และเมื่อเห็นว่าไม่ใช่ เขาจึงรับสาย
“วันนี้ผมมีเรื่องด่วนที่เมืองไทย คงบินไปร่วมงานของลูกค้าคืนนี้ที่สิงค์โปร์ไม่ได้” เสียงของไมค์บอกบอกมาตามสาย “รบกวนคุณไปร่วมงานแทนผมด้วยนะ แต่คุณไม่รู้จักหรอก เป็นลูกค้าใหญ่ที่ผมดีลด้วยโดยตรง คุณโผล่ไปให้เขารู้ว่ามา แล้วก็กลับ”
“แล้วเขาจัดงานที่ไหนครับ” อนรรฆซัก เพราะอย่างน้อยเขาจะได้เตรียมตัว
“ไม่รู้ ผมก็ยังไม่ได้รับบัตรเชิญ แต่เดี๋ยว ลูกค้าเขาจะเอาบัตรเชิญไปส่งให้คุณที่โรงแรมบ่ายนี้”
“ครับ” คำรับคำสั่นๆ ไม่ถามอะไรไปมากกว่านั้น
“ว่าแต่คุณแน่ใจแล้วนะ”
การแน่นใจ…ก็แค่ในเรื่องๆ เดียว ทั้งคนพูดและคนฟังรู้
“ครับ<>”
“ถ้ายังมีห่วง ยังมีเรื่องคิด ก็อย่าเพิ่งเซ็น คุณย้ายภายในคอนโร จะเซ็นวันนี้พรุ่งนี้ก็ได้ อีกอย่างวันนี้…ควรเป็นวันหยุดของคุณ”
“ครับ” คำรับสั้นเช่นเดิม
ไมค์ยังสั่งอีกพัก ก่อนที่จะวาสงสาย หลังจากนั้นก็เป็นคริสโทรฯ เข้ามา แล้วไหนจะ ‘เมียด’ ที่เซ้าซี้ให้เขาเปลี่ยนใจ
ทว่าอนรรฆหัวเราะฝื่นๆ พลางบอกพี่เลี้ยง “คุณนนท์ตัดสินใจแล้วจ้ะ จะไปเซ็นสัญญาวันนี้ เป็นวันอื่นได้ไหมคะ พรุ่งนี้ก็ได้”
“ไม่ได้หรอกจ้ะ คุณนนท์กำลังจะออกจากโรงแรมแล้ว นัดเขาไว้แล้ว”
และกว่าละเมียดจะยอมวางสายได้ก็อีกพักใหญ่ เมื่อนั้นชายหนุ่มจึงคว้ากระเป๋าเอกสาร ก้าวออกจากห้องพัก
ระยะการเดินจากห้องไปยังลิฟท์โดยสารนั้นไม่ไกล แต่ก็ทำให้เขา…คิด
ดวงหน้าคมยิ้มเล็กน้อย ด้วยความคิดที่ว่า พวกผู้ใหญ่ล้วนต่างพร้อมใจรั้งเขาไว้เสียจริง
เพราะความคิดทำให้ไม่ได้ยินเสียงเรียกจากบริเวณโถงทางเข้าของโรงแรม อาจเพราะเขาไม่คิดว่าจะได้ยินเสียงนี้อีก
“นนท์…” เสียงเรียกครั้งนี้พร้อมการรั้งที่แขนของเขา จับเพื่อให้เขาหยุดเดิน
สีหน้าของอนรรฆที่หันมามีแววประหลาดใจไม่คาดคิด…ไม่คิดว่าจะเจอ
“Happy birthday จ้ะนนท์” พรพิมลพยายามยิ้มอย่างแจ่มใส เพื่อให้มันกลบรอยวิตกกังวลหมองเศร้าบนใบหน้า
“แพทสบายดีเหรอ แล้วมาทำอะไรที่นี่” คำถามนั้นตามมารยาท มากกว่าใคร่อยากรู้จริงจัง
“ก็มาหานนท์ รอตั้งแต่เช้า เมื่อกี้โทรฯ เข้ามือถือ แต่นนท์ไม่รับสาย นนท์ยังโกรธแพทเหรอ”
“ไม่…” อนรรฆปฏิเสธ
ไม่โกรธ แต่ก็ไม่อยากใกล้
ไม่อีกแล้ว เพราะยากที่จะทำใจเหลือให้แม้แต่ความเป็นเพื่อนเช่นเคย
เขาเลือกที่จะไม่รับสายของพรพิมลที่มักโทรฯ เข้ามา และถ้าเป็นไปได้ก็เลือกที่จะหลีกหน้า
“มีเวลาให้แพทไหม แพทอยากคุยกับนนท์ เราไม่ได้คุยกันนานแล้ว”
“ผมต้องเข้าออฟฟิศ”
คำบอกนี่เป็นสิ่งที่คนฟังไม่ชิน เพราะเมื่อก่อนอนรรฆมีเวลาให้เธอเสมอ
ถ้าไม่ใช่ในฐานะคนรัก
ก็ในฐานะเพื่อน หรือคนรู้ใจ
“แค่ห้านาที แพทขอนนท์เท่านี้”
หางเสียงสุดท้ายว้าเหว่ จนคนฟังใจอ่อนพยักหน้าตกลง เดินนำไปยังชุดโซฟานั่ง
ชายหนุ่มนั่งนิ่งเงียบราวรอให้อีกฝ่ายพูด
ความเงียบระหว่างคนทั้งสองนั้นเนิ่นนาน คล้ายให้มันช่วยกลบเสียงของผู้คนพลุกพล่านที่เดินไปมา หรือสายตาของใครอื่นที่ปรายมอง
คนสองคนที่เคยมีความเหมาะสมควรคู่กัน บัดนี้นั่งเงียบราวคนแปลกหน้า จนพรพิมลตัดสินใจเอ่ย
“นี่แพทย้ายกลับมาอยู่สิงคโปร์ถาวรแล้ว”
“ก็ดี”
“นนท์จะไม่ถามเหรอว่าเพราะอะไร” แววเสียงน้อยใจอย่างไม่ปิดบัง
“ไม่จำเป็น…”
“ริชาร์ดตายแล้ว” พรพิมลสวนขึ้นทันที พยายามสะกดเสียงที่สั่น
“ผมรู้ ได้ข่าวว่าแขวนคอตาย”
“นนท์เชื่ออย่างนั้นเหรอ” เสียงของหญิงสาวคล้ายสำลัก เปี่ยมด้วยอารมณ์ เศร้า…หวาดกลัว “ริชาร์ดไม่มีทางฆ่าตัวตาย นิสัยเขาเป็นยังไงนนท์ก็รู้”
“จะยังไงก็ช่าง แต่ผมอโหสิกรรมให้”
“แล้วแพทจะเป็นยังไงล่ะนนท์ คนที่จัดการริชาร์ด…คอนโร หรือพม่า หรือไอ้กัน พวกนั้น…”
“แพทคิดมาก” รอยยิ้มบางๆ คลี่ออกเพื่อปลอบใจอีกฝ่าย หากเขายังคงนั่งในอิริยาบถเดิม ไขว่ห้าง มือประสานกันวางบนเข่า ราวว่าคุยเรื่องธุรกิจมากกว่าเรื่องส่วนตัว
“นนท์…”
พรพิมลเอื้อมมือวางเบาๆ บนมือใหญ่ที่คุ้นเคย เพียงแต่ว่าอีกฝ่ายชักมือออก ราวว่าเขาไม่ใช่อนรรฆคนเดิมที่เธอเคยรู้จัก และรู้ที่จะรัก
“ผมมีธุระ ต้องรีบไปแล้ว” ร่างสูงในสูทเนี๊ยบลุกขึ้น และแม้จะยังคงยิ้มบางๆ แต่ดวงตาของเขานิ่งคมเฉียบ เยือกเย็น “ยังไงก็ขอให้แพทโชคดี และมีความสุขอย่างเช่นที่แพทหวังว่าจะมี”
“แพทจะมีความสุขได้อย่างไรถ้าไม่มีนนท์”
“มีซิ”
“นนท์” เสียงเรียกหวังเพียงให้คนที่เตรียมเดินไปหันกลับมา “แพทรักนนท์ ที่ทำไป ให้เงินริชาร์ด ให้ธาริต ก็เพื่อช่วย…อยากทำทุกอย่างให้ดี ไม่เคยคิดว่าพวกนั้นจะเอาเงินที่แพทให้ไปทำอะไรเลวร้ายเช่นนั้น”
“แค่แพทให้เงินพวกเขาก็เลวร้ายแล้วล่ะ ลาก่อน”
ว่าแล้วเขาก็ก้าวออกไป ไม่หันหลังมองกลับมาอีกเลย
(ต่อ)