5 วิธีเพิ่มโอกาสทำกำไรในหุ้นสำหรับนักลงทุนมือใหม่

กระทู้สนทนา
วันหยุดดีๆ แบบนี้มีบทความสำหรับนักลงทุนมือใหม่มาฝากกันค่ะ ^^
..........................................................................................................................................................................
นักลงทุนมือใหม่หลายคนนั้นเข้ามาในตลาดหุ้นเพื่อมาทำกำไรในตลาดหุ้นนั้นบางคนอาจไม่ได้พกความรู้ติดตัวมาเท่าที่ควร หรือ พกความรู้ที่ไม่ตรงกับสิ่งที่เราต้องการ (อาจมีทัศนคติที่ไม่ถูกต้องหรือยังมีวิธีการลงทุนที่ผิด) นั่นก็คือ กำไร จึงทำให้ใครหลายๆ คนนั้นขาดทุนในตลาดหุ้น ถึงแม้ว่าตลาดจะยังคงเป็นขาขึ้นอย่างต่อเนื่องก็ตาม บทความ 5 วิธีเพิ่มโอกาสทำกำไรในหุ้นสำหรับมือใหม่ จะช่วยให้นักลงทุนมือใหม่ที่ใหม่จริงๆหรือกำลังศึกษาการลงทุนนั้นพอมีหลักการ หรือมีความรู้ติดตัวในสิ่งที่ควรทำในการลงทุน  เพื่อนำไปต่อยอดความรู้ต่อไปในอนาคต ไปดูกันเลยดีกว่า

1.ศึกษาข้อมูลของกิจการก่อนซื้อหุ้น : ก่อนที่จะลงทุนในหุ้นควรศึกษาภาพรวมของเศรษฐกิจ ปัจจัยบวกและลบของอุตสาหกรรม และ สิ่งที่สำคัญคือ ต้องศึกษาถึงตัวกิจการของหุ้น ที่จะเลือกซื้อมาเข้าพอร์ตลงทุน สิ่งที่ควรศึกษาเช่น ปัจจัยความเสี่ยงของธุรกิจ (เพื่อดูว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งผลทางลบต่อผลประกอบการกิจการที่ดำเนินการอยู่ในธุรกิจนั้น) ลักษณะการประกอบธุรกิจ (เพื่อดูว่าบริษัทนั้นเขาทำธุรกิจอะไร) แผนงานในอนาคต (เพื่อดูโอกาสการเติบโตของบริษัทในอนาคต)  ผลการดำเนินงานในอดีต (เพื่อดูแนวโน้มที่ผ่านมาของบริษัทว่าเป็นอย่างไร) ข้อมูลต่างๆ เหล่านี้หาดูได้ในแบบรายงาน 56-1 หรือ รายงานประจำปี
ตัวอย่าง 56-1 และ สรุปสารสนเทศบริษัท ใน www.settrade.com

ค้นหาชื่อบริษัท ---> บริษัท/หลักทรัพย์

ตัวอย่าง ผลการดำเนินงานในอดีตแบบ Financial Ratio (อัตราส่วนทางการเงิน)

ค้นหาชื่อบริษัท ---> บริษัท/หลักทรัพย์


2.สำหรับมือใหม่ไม่ควรซื้อขายหุ้นบ่อยๆ : การลงทุนในหุ้นแต่ละครั้ง จะมีค่าธรรมเนียมในการซื้อหรือขายหุ้น ซึ่งจะอยู่ในช่วง 0.169% (สำหรับซื้อผ่านทาง Internet) และ 0.276% (สำหรับซื้อขายผ่าน เจ้าหน้าที่) อัตรานี้รวมค่าธรรมเนียมและภาษีทุกอย่างแล้ว ของมูลค่าการซื้อขาย ดังนั้นในแต่ละวันควรจะต้องซื้อขายอย่างน้อย 20,000-33,350 บาท จึงจะคุ้มค่าธรรมเนียม (สำหรับโบรคเกอร์ที่มีค่าธรรมเนียมขั้นต่ำ 50 บาทต่อวัน) กรณีที่ซื้อขายเพียงสัปดาห์ละ 1 รอบ (ซื้อ + ขาย) 1 ปีจะเสียค่าธรรมเนียมให้กับโบรคเกอร์สูงถึงประมาณ 17.56% (สำหรับสั่งทาง Internet) และ 28.69% (สำหรับสั่งผ่านเจ้าหน้าที่) ของมูลค่าเงินลงทุน   (ถ้ากำไรก็ดีไปเพราะ กำไรที่ได้จะมาหักกับค่าธรรมเนียม แต่ถ้าขาดทุนจะยิ่งทำให้ขาดทุนหนักไปอีก) ถ้าเลือกหุ้นที่มีการเติบโตในระยะยาวจะทำให้ประหยัดค่าธรรมเนียมในส่วนนี้ได้ และไม่ต้องเสียเวลามาติดตามราคาขึ้นลงบ่อยเกินไปอีกด้วย

3.อย่ายึดมั่นถือมั่นกับราคาในอดีตมากเกินไป : นักลงทุนทั้งมือใหม่และมือเก่าหลายคนชอบใช้ราคาหุ้นในอดีตเป็นราคาเป้าหมายว่าราคาจะต้องขึ้นไปถึงจุดนั้นอีกครั้งหนึ่ง การขึ้นลงของราคาหุ้นจะขึ้นกับปัจจัยพื้นฐานและความคาดหวังของนักลงทุนในตลาด นักลงทุนจึงควรพิจารณาจากมูลค่าที่เหมาะสมในขณะนั้น รวมทั้งความคาดหวังจากกำไรของบริษัทในอนาคตเป็นหลัก (อาจใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคแบบง่ายๆ ในการดูแนวโน้มของหุ้นนั้นช่วยได้ จะกล่าวถึงในข้อที่ 5)

4.สร้างระบบบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ

          - กระจายความเสี่ยงโดยถือหุ้นหลายตัว (หลายตัวในที่นี้หมายถึง หลายอุตสาหกรรม ไม่ใช่หลายตัวแต่อุตสาหกรรมเดียวกัน) และควรเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานดี (ดูวิธีค้นหาหุ้นพื้นฐานดีได้จากข้อ 1) รวมไปถึงจำนวนหุ้นในพอร์ตไม่ควรมากจนเกินไป จนดูแลไม่ไหว
          - แบ่งลงทุนเป็นชุดๆ (หรือ ภาษาทั่วไปเรียกว่า แบ่งเป็นไม้) โดยอาจแบ่งเป็น 3-5 ไม้ และทยอยลงทุนตามแนวรับ หรือสัญญาณทางเทคนิค ไม่ควรซื้อทีเดียวหมด
         - เน้นลงทุนในหุ้นที่มีการเติบโตของกำไรสูง (Growth Stock) ผู้ลงทุนในหุ้นประเภทนี้จะเน้นได้ผลตอบแทนจากส่วนต่างราคา หรือ มีอัตราจ่ายเงินปันผลสูงสม่ำเสมอ (Dividend Stock) ผู้ลงทุนในหุ้นประเภทนี้จะเน้นได้ผลตอบแทนจากเงินปันผล  และ สามารถนำไปเครดิตภาษีเงินปันผลคืนได้อีกด้วย

5.ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคง่ายๆ ในการหาแนวรับ เพื่อทยอยซื้อ และดูแนวโน้มของราคาหุ้น

เนื่องจากเราไม่ได้ทำการซื้อขายบ่อยๆ อยู่แล้ว ดังนั้นแนวรับที่เราใช้นั้นไม่ควรเป็นแนวโน้มในระยะสั้น ควรใช้เป็นแนวรับในระยะกลางจะดีกว่า ซึ่เราจะใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ในการดูแนวรับของหุ้นอย่างง่ายๆ โดยทั่วไปค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ในแนวโน้มระยะสั้นจะใช้ 5-20 วัน ระยะกลาง 50-70 วัน และระยะยาวจะใช้ 100-200 วัน ดังนั้นหากเราเน้นลงทุนระยะกลางก็ควรใช้ค่าเฉลี่ย 50 วันในการดูแนวรับและแนวโน้มของหุ้นตัวนั้นๆ ซึ่งทำได้ง่ายๆ ดังนี้
        การดูแนวโน้ม : ใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน 1 เส้น โดยหากความชัน (Slope) ของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เป็น + (ชี้ขึ้นอย่างต่อเนื่อง) และ แท่งเทียนนั้นอยู่ด้านบนของเส้นค่าเฉลี่ย จะแสดงถึงหุ้นตัวนั้นมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น ในทางกลับกัน ถ้าความชัน (Slope) ของค่าเฉลี่ยนเคลื่อนที่เป็น - (ชี้ลงอย่างต่อเนื่อง) และ แท่งเทียน อยู่ใต้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ จะแสดงถึงหุ้นตัวนั้นมีแนวโน้มขาลง
       การดูแนวรับ - แนวต้าน : ในหุ้นขาขึ้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่จะทำหน้าที่เป็นแนวรับ (แนวรับรับไว้ไม่ให้ร่วง) ซึ่งหากราคาไม่หลุดแนวรับนักลงทุนสามารถทยอยซื้อตามแนวรับระยะกลางนี้ได้ ในทางตรงกันข้าม ในหุ้นขาลงค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่จะทำหน้าที่เป็นแนวต้านแทน (ในขาลงเราไม่ควรเข้าไปลงทุนเพราะราคาจะไหลลงอย่างต่อเนื่อง)
หมายเหตุ : การปรับจำนวนวันของเส้นค่าเฉลี่ยขึ้นอยู่กับระยะเวลาการลงทุนนักลงทุนแต่ละคน ซึ่งจะไม่เท่ากัน รวมไปถึงภาวะตลาดในช่วงเวลานั้นๆ ด้วยจึงไม่มีค่าที่ตายตัว
       นักลงทุนรู้หลักการพื้นฐานเบื้องต้นในการเข้ามาลงทุนแล้ว และเมื่อมีประสบการณ์มากขึ้นมีกำไรเพิ่มขึ้น นักลงทุนก็สามารถปรับเปลี่ยนวิธีการด้วยตนเอง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำกำไร และ ลดความเสี่ยงให้กับตนเองได้ เพราะ การลงทุนนั้นไม่มีหลักการที่ตายตัวว่าจะต้องทำแบบนั้นแบบนี้ สถานการณ์และสภาวะแวดล้อมเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเราก็ควรศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเพื่อต่อยอดความรู้ขึ้นไปด้วยเช่นกัน
Credit : www.investmentory.com
..................................................................................................................................................................................
ร่วมพูดคุยกับเราได้ที่ Facebook : http://www.facebook.com/I2invest
เม่าดี๊ด๊าเม่าดี๊ด๊า

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่