เล่าต่อจากกระทู้ที่แล้วนะคะ
ประสบการณ์หลังผ่าตัดที่จำรู้ลืม
สูตรยาที่ฉันได้มี 8 เข็ม ตามโครงการวิจัยฉันต้องผ่าตัดภายใน 2 อาทิตย์หลังจากได้ยาเข็มสุดท้าย
ก่อนผ่าตัดอาจารย์หมอถามว่า ฉันต้องการทำแบบแบบไหน จะเอาแต่ก้อนออก หรือจะให้ตัดทั้งเต้าฉันตอบว่า
ฉันกลัวที่สุดคือกลัวเจ็บหลายครั้ง ถ้าว่าอะไรดีที่สุดสำหรับตัวฉัน ฉันยินดีให้คุณหมอทำได้ทุกอย่าง ร่วมทั้งให้ตัด
ต่อมน้ำเหลืองทิ้งไปด้วย (ฉันกลัวเฮอร์ทูบวกมาก) ท่านก็ดีจะได้เลาะเอาก้อนเนื้อทิ้งทั้งหมด เมื่อต้องทำแมมโมแกรม
ครั้งต่อไปจะทำได้ง่าย (ท่านบอกกับฉัน)
วันผ่าตัดวันที่ 29 มค. 54 ต้องนอน รพ.ก่อนหนึ่งคืน เตรียมพร้อมสำหรับการผ่าตัด
ในเช้าวันที่ 29 ฉันเข้าห้องผาตัดตอน 2 โมงเช้าพอดี (นาฬิกาที่ห้องผ่าตัดอยู่ตรงปลายเท้าพอดี)
มารู้สึกตัวที่ห้องพักตอนบ่าย 3 โมง แผลที่ผ่าตัดถูกปิดผนึก มีสายน้ำเกลือห้อยอยู่ข้างบน มีสายน้ำเหลืองและเลือด
ห้อยอยู่ 2 สาย (ขอโทษเรียกภาษาหมอไม่ถูก) ฉันไม่ต้องทำแผล อีก 7 วันจึงจะเปิดแผล ขอชื่นชมและขอขอบคุณ
คุณพยาบาลที่ดูแลเอาใจใส่คนไข้ คอยถามถึงอาการเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลา
เช้าวันที่ 30 คุณหมอผู้ช่วยอาจารย์ที่ผ่าตัด มาดูและสอบถามอาการฉันตั้งแต่ยังไม่ 6 โมงเช้า ให้ฉันลุกเดินเพื่อเคลื่อนไหวร่างกาย
และยกแขนข้างที่ผ่าตัด หลังผ่าตัดจะเกิดผังเผือดจะทำให้ไหล่ติด
ฉันนึกในใจเพิ่งจะผ่าตัดมาหยกๆ เจ็บก็เจ็บ กลัวก็กล้วว่าแผลจะฉีกต้องเย็บแผลใหม่ คุณหมอยังมาบอกให้ยกแขนข้างที่เจ็บอีก
เมื่อหมอสั่งฉันก็ต้องทำ ยกได้นิดนึงพอเจ็บก็หยุด ทำอยู่ 2-3 ครั้งก็เลิกทำ ไม่ไหวรู้สึกเจ็บ
ประมาณ 5 โมงเช้าอาจารย์หมอมาเยี่ยม ท่านทักว่าคนไข้น่าตาสดใสดี ไหนลองยกแขนข้างผ่าตัดให้หมอดูหน่อยซิ
(คิดในใจว่าฉันจะยกให้ดูได้ยังไง ฉันยังไม่ได้ทำเลย) อาจารย์หมอคงพอเดาได้ ท่านว่าฉันต้องทำนะไม่งั้นแขนจะยกไม่ขึ้นและจะปวด
ว่าแล้วท่านก็พูดว่า มานี้หมอจะทำให้ดู ท่านก็จับแขนข้างที่เจ็บ ค่อยๆ ยกสูงขึ้นไปเรื่อยที่ละนิด จนฉันรู้สึกเจ็บทนไม่ไหวท่านก็หยุด
แล้วบอกว่าให้ทำอย่างนี้พรุ่งนี้จะมาดู แล้วให้คุณหมอผู้ช่วยให้สอนท่าบริหารแขน
ฉันขอเรียกท่านี้ว่า “ท่าปูไต่ตะกายข้างฝา” คือไปยืนชิดให้ตัวติดผนังห้อง แล้วค่อยๆ ยกแขนข้างผ่าตัดขยับให้แขนยกได้สูงขึ้น
จนสามารถชูแขนทั้งสองข้างได้เท่ากันหรือใกล้เคียงข้างที่ดี
โอโห! มันสุดยอดเลย (เจ็บมากค่ะ ความอดทนมีน้อยมาก) คิดหาทางที่จะยกแขนให้ได้โดยไม่ต้องทำท่าปูไต่ตะกายข้างฝา
คิดไปคิดมาหลายตลบ ลองลุกไปทำที่ข้างฝาก็ทำไม่ได้ กลับมาที่เตียงลองทำก็ยังทำไม่ได้ จนเหนื่อยแล้วหลับไป
พอตื่นขึ้นมาก็คิดอีกแต่ก็ยังติดไม่ตก ตอนนั้นจำได้ว่าลูกเปิดไปเจอหนังเกาหลี ฉันนึกถึงเรื่องแดจังกึมขึ้นมา(ชอบเรื่องนี้มาก)
ท่าที่นางเอกทำความเคารพฮ่องเต้ ฉันจึงลองทำดู ขอเรียกว่า “ท่าแดงจังกึม” คือเอาแขนข้างดีไว้ข้างล่าง เอาแขนข้างผ่าตัดไว้ข้างบน
แล้วทำท่าอย่างที่นางเอกทำ (คิดว่าตัวเองเป็นนางเอก) ฉันค่อยๆ ใช้แขนข้างดีช่วยพยุงแขนข้างที่เจ็บให้ยกได้สูงขึ้น จนรู้สึกตึง
และเจ็บก็หยุด (ถ้าใช้แขนข้างเจ็บยกข้างเดียว เมื่อรู้สึกตึงหรือเจ็บเราจะหยุดทันที แล้วเอาแขนลง แต่ถ้าทำท่าแดงจังกึมนี้แล้ว
เมื่อรู้สึกตึงหรือเจ็บแขนข้างที่ดีก็จะช่วยพยุงและผ่อนแรงข้างที่เจ็บไว้ โดยไม่ต้องเอาแขนลง)
ในที่สุดฉันก็สามารถยกแขนได้สูงจนน่าพอใจ แต่ไม่ทราบว่าอาจารย์หมอจะพอใจเหมือนฉันหรือเปล่า ประมาณ 5 โมงเช้า
(สงสัยว่าจะเป็นเวลาที่อาจารย์ชอบเยี่ยมคนไข้ เพราะท่านจะมาเวลานี้เกือบทุกวัน ยกเว้นวันจันทร์เพราะเป็นวันที่ท่านต้องผ่าตัดคนไข้)
เข้ามาถึงท่านให้กำลังใจว่าหายแล้ว ยกแขนให้หมอดูหน่อย พอฉันยกได้สูงกว่าเมื่อวานที่ท่านช่วย ท่านให้ทำท่านี้ต่อไป
จนกว่าจะยกแขนขึ้นได้เองโดยไม่ต้องพึ่งข้างฝา ฉันบอกว่าฉันทำท่าที่คุณหมอสอนไม่ได้เพราะมันเจ็บ ฉันทำท่าใหม่
ท่านให้ฉันทำให้ดูแล้วก็หัวเราะ บอกว่าเข้าใจคิดนะ ท่านยังหันไปแซวกับคุณหมอผู้ช่วยว่า เราได้ท่าใหม่ไปให้คนไข้เลือกทำแล้ว
และให้ฉันทำต่อจนกว่ายกแขนได้สูงเหมือนคนปกติ
อาจารย์และคุณหมอจะเข้ามาเยี่ยมทุกวัน หลังจากถามอาการแล้วสิ่งที่ท่านไม่ลืม คือให้ฉันยกแขนให้ดูทุกครั้ง มันคงเป็นสิ่งสำคัญ
เพราะท่านไม่เคยลืมดูเลยแม้แต่ครั้งเดียว ก่อนกลับออกไปท่านยังกำชับให้ทำต่อทุกครั้ง ผลดีของมันคือฉันไม่เป็นไหล่ติด
วันที่ 6 กพ.54 เป็นวันที่ต้องเปิดแผล คุณหมอผู้ช่วยมาแต่เช้าเป็นคนมาเปิดและทำแผลให้ฉัน แล้วบอกว่าแผลฉันแห้งดีกลับบ้านได้
แต่ให้ฉันรอพบอาจารย์หมอก่อนกลับ ห้ามยกของหนักและให้บริหารแขนอย่างที่เคยทำต่อไป
ฉันรอพบอาจารย์ ท่านมาถึงตอนเลยเที่ยงไปเล็กน้อยและขอโทษที่มาช้า (ท่านเป็นอาจารย์หมอที่น่ารักมากๆ ฉันประทับใจท่านจริงๆ)
ท่านขอดูแผลก่อนฉันกลับบ้าน และพอใจกับผลงาน และให้คุณหมอผู้ช่วยปิดผนึกแผลฉัน นัดอีก 1 อาทิตย์ให้มาพบเพื่อดูแผลอีกครั้ง
1 อาทิตย์ผ่านไปฉับไปพบอาจารย์ตามนัด ท่านดูแผลแล้วบอกดีมาก ให้กลับไปล้างแผลที่ รพ.หรือสถานีอนามัยใกล้บ้าน จนกว่าแผล
จะหายสนิท ถ้ามีอะไรให้รีบมาพบท่านได้ทันที
ฉันไปล้างแผลที่ รพ.(ขอไม่ชื่อนะคะ) ทุกวันตอนเย็นไม่เคยขาด แผลดีขึ้นเรื่อยๆ จนผ่านไป 5 วัน เนื่องจากมีคราบของแถมเทป
ที่ใช้ติดยึดผ้าปิดแผล ที่ถูออกไม่หมดของครั้งก่อนๆ ติดอยู่ จนท.จึงออกแรงถูและเช็ดทำความสะอาดแผล ทำให้สะเก็ดที่เหลืออยู่
ความยาวประมาณ 1.5 ซม ตรงบริเวณที่เคยเป็นหัวนมหลุดออก หลังทำความสะอาดเสร็จก็ใช้ผ้าปิดแผลตามด้วยแถบเทปเหมือนเดิม
ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไร คิดว่ามันหลุดก็ดีแล้ว
วันต่อมาฉันสังเกตเห็นว่ามีน้ำเหลืองซึมนิดๆ เมื่อเปิดแผลดูปรากฎว่า ตรงรอยที่สะเก็ดหลุดเมื่อวานมันแดง และมีน้ำเหลืองซึม
จนท.ก็ทำความสะอาดแผลและปิดไว้เหมือนเดิม
วันรุ่งขึ้นที่ผ้าปิดแผลมีน้ำเหลืองซึมมากกว่าเดิม บ่ายวันนั้นฉันรีบเข้า กทม.ทันที ฉันไปรออาจารย์หมอแต่เช้าของอีกวัน
เพราะท่านไม่เปิดคลินิกและไม่ทำงานนอกเวลา ท่านมาถึงห้องทำงานตอน 7 โมงครึ่ ฉันเข้าไปหาและฉันเล่าอาการให้ฟัง
ท่านให้ไปที่ห้องตรวจ พอท่านเปิดดูแผล ท่านถามว่าไปทำอะไรมาแผลถึงเปิดอย่างนี้ เมื่ออาทิตย์ก่อนมันยังดีอยู่เลยใกล้จะหายอยู่แล้ว
วันนั้นฉันไม่ได้เล่ารายละเอียดถึงวิธีการที่ จนท.ล้างแผลให้ท่านฟัง เพราะคิดว่าไม่สำคัญ ฉันคิดว่าฉันไปทำแผลกับ รพ.ของรัฐ
ซึ่งคงไม่มีที่ไหนสะอาดและปลอดภัยกว่านี้อีกแล้ว ฉันจึงบอกท่านแต่เพียงว่าไปล้างแผลที่ รพ. ทุกวัน และไม่เคยยกของหนักด้วย
ตอนนั้นท่านยังคิดว่าเพราะฉันผอม หน้าอกฉันเล็ก ไม่ค่อยมีเนื้อ ทำให้แผลมันตึงและเกิดแผลแยกได้ ท่านบอกว่าต้องเย็บแผลใหม่
ซึ่งท่านก็สละเวลาเย็บแผลให้ฉันใหม่ในตอนเช้าวันนั้น เสร็จแล้วใช้ผ้าปิดแผลและให้ฉันไปล้างแผลที่ รพ.ทุกวัน อีก 7 วันมาพบท่าน
เพื่อตัดไหม
ฉันทำตามที่ท่านบอก ครบ 7 วันฉันไปตามนัด ท่านเห็นแล้ว บอกว่าแผลดีตัดไหมได้ ให้ฉันไปล้างแผลต่อที่ รพ.จนกว่าจะหายดี
เพื่อป้องกันการติดเชื้อ อีก 6 เดือนมาพบท่านใหม่
กลับมาอยู่บ้านฉันได้รับการปฏิบัติจาก จนท.เหมือนเดิม(จนท.มีหลายคน แล้วแต่จะไปโดยเวรใคร) พอฉันบอกให้ทำแผลค่อยๆ
(เขาทำหน้าเหมือนว่าฉันรู้ดี) แค่ 3 วัน แผลฉันก็แยกเหมือนเดิม ต้องวิ่งแจ้นไปหาอาจารย์หมออีก พอเห็นหน้าฉันแล้วรู้ว่าแผลแยกอีก
ท่านรีบดึงพาฉันไปที่ห้องตรวจ เปิดดูแผลทันที พอเห็นท่านก็ส่ายหน้า ฉันเจอคำถามเดิมอีก ว่าไปทำอะไรมา คราวที่แล้วหมอเย็บดี
แล้วนะ ทำไมยังเป็นอีก หมอผ่าตัดเต้านมมาเป็นพันๆ ครั้ง บางคนผอมกว่าฉันอีก ยังไม่เคยเจอแบบฉันเลย
คราวนี้ท่านให้ฉันเล่าเรื่องการดูแลแผลให้ท่านฟัง ฉันเล่าอย่างละเอียด ท่านฟังจบก็ร้อง อ๋อ! อย่างนี้นี่เอง ท่านบอกรู้แล้วว่าเป็นเพรา
ะอะไร แผลฉันที่ท่านเห็นว่าต้องหายแน่ๆ ทำไมถึงไม่ยอมหายสักที แล้วท่านก็บ่นเป็น จนท.ต้องรู้วิธีทำแผล ว่าแผลลักษณะไหน
ต้องทำแผลอย่างไร โดยเฉพาะแผลผ่าตัดที่หน้าอกมันจะตึงมาก ต้องทำแผลอย่างเบามือ ห้ามถูที่แผลหรือบริเวณรอบๆ ใกล้ๆ แผล
ให้ใช้น้ำเกลือลากผ่านแผลเบาๆ แล้วซับให้แห้ง ปิดด้วยผ้าปิดแผลบางๆ กันการเสียดสีเท่านั้น
แล้วกรรมแต่ชาติปางไหนก็ไม่รู้ ทำให้ฉันต้องเข้าห้องผ่าตัดใหญ่อีกครั้ง (ฉันไม่น่าไปบอกอาจารย์เลยว่า กลัวเจ็บหลายครั้ง
ฉันได้เจ็บหลายครั้งอย่างที่กลัวจริงๆ) และท่านก็หาตารางวันว่างเพื่อจัดการกับฉันอีกรอบ ท่านพูดติดตลกว่า คนอื่นเขากลัวว่า
มันจะไปโผล่ที่อื่น แต่เธอกลับกลัวแผลไม่ติด แต่ก็ดีนะมีช่องให้น้ำเหลืองมันออก เธอไม่ต้องมาเจ็บตัวเพราะตัดต่อมน้ำเหลืองทิ้ง
ไปแล้ว ถ้ามันคั่งและบวมก็ต้องมาเจาะเอาออก ต้องเจ็บตัวอีกรอบ
ฉันไม่รู้จะโทษใครจริงๆ ขอโทษเวรกรรมแล้วกัน แล้วการเข้าห้องผ่าตัดใหญ่ก็เริ่มอีกครั้ง คราวนี้มันกะทันหัน ไม่มีห้องพิเศษ
เหลืออยู่เลย (ไม่ว่าจะใช้เส้นเล็กๆ ที่พอมีอยู่บ้างก็ไม่ได้) ต้องนอนห้องรวมแถมเป็นแบบห้องรวมธรรมดาอีกต่างหาก
ก่อนวันผ่าตัด ฉันต้องไปนอน รพ.ก่อนหนึ่งคืนตามสูตร วันนั้นฉันไปถึงห้องประมาณเที่ยง ฉันตื่นเต้นมาก เพราะเพื่อนๆ พี่ๆ
ที่อยู่ในห้องก่อนฉัน บอกน้องใหม่อย่างฉันว่า คุณมีมุ้งกางหรือยัง
อะไรกันนี่ ฉันเป็นผู้ป่วยที่มานอน รพ. ไม่ใช่ญาติผู้ป่วยที่มาขอนอนเฝ้าโดยไม่มีเตียงนะ จะได้มีมุ้งไว้กางกันยุง ฉันไม่เข้าใจที่เขาพูด
เขาเห็นฉันสงสัยก็เลยพากันให้ฉันดูตัวอย่างมุ้ง มีทั้งแบบครอบ แบบผูกโยงกับที่แขวนน้ำเกลือ และบรรยายสรรพคุณข้อดีข้อเสีย
ของมุ้งแต่ละแบบ
ฉันยังเซ่ออยู่ดี ถามไปว่าทำไมต้องกางมุ้งด้วย เขาตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ถ้าใครไม่มีมุ้งจะถูกรุมประชาทันฑ์ด้วยฝูงยุง รับรองว่า
ไม่ได้หลับได้นอน เพราะมันมีเป็นฝูงและกัดเจ็บมาก
ฉันยังงงๆ อยู่ ลูกสาวรีบจัดการถ่ายรูปและไปหาซื้อทันที โดยมีเพื่อร่วมชะตากรรมใหม่อีกคนฝากซื้อด้วย (มันเป็นมุ้งที่ฉันใฝ่ฝัน
มานานแล้วว่าอยากนอน มันเหมือนมุ้งในละครย้อนยุคสมัยเก่า ดูสวยน่านอน แต่ฉันไม่เคยคิดเลยว่าจะได้นอนมุ้งแบบนั้นที่ รพ.)
เวลาประมาณ 6 โมงเย็นทุกเตียงต้องรีบกางมุ้งแล้ว มิฉะนั้นจะถูกรุม ถ้าคิดในมุมบวกมันเป็นภาพที่สวยงามดี มีหลายสีหลายแบบ
แล้วแต่ความชอบ (แบบไม่เต็มใจ) มีแต่สีหวานๆ (สามีและลูกยังถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก บอกว่าไว้ดูแก้เครียด ฉันตลกไม่ออกเลย)
ตีห้าคุณพยาบาลจะมาปลุกให้เก็บมุ้ง เพราะคุณหมอจะตรวจ คนไข้อย่างเราก็ต้องเก็บเพื่อไม่ให้คุณพยาบาลทั้งหลายถูกคุณหมอดุ
(ไม่รู้ว่าพวกคุณหมอจะรู้หรือเปล่าว่าพวกเรามีชะตากรรมกันอย่างนี้) ดังนั้นที่ขาดไม่ได้คือ ไม้ช๊อตยุงทุกเตียงต้องมี ลองคิดดูซิว่า
เสียงมันจะดังไพเราะขนาดไหน เวลาที่ยุงมันเซ่อซ่าบินมาชนไม้ (ในห้องมี 15 เตียง)
ตอนเช้าการผ่าตัดผ่านพ้นไปด้วยดี ฉันนอนอยู่ 3 คืน อาจารย์หมอมาเยี่ยม 1 ครั้ง ท่านบอกว่าคราวนี้ไม่มีพลาดหมอมัดไว้แน่นหนา
หลายชั้น (ไม่รู้ว่าท่านพูดจริงหรือเล่น) ฉันขออยู่ 5 – 7 วัน เพื่ออยู่ในความดูแลของหมอ แต่คุณหมอซึ่งเคยเป็นผู้ช่วยอาจารย์ตอน
ผ่าตัดครั้งแรก มาดูแผลแล้วบอกว่า ฉันเข็งแรงดีกลับบ้านได้ พอฉันขออยู่ต่อ คุณหมอก็บอกว่าตอนนี้มีคนไข้หายรายที่รอเตียงว่าง
ฉันเลยจำเป็นต้องเสียสละออกมาทั้งๆ ที่ไม่เต็มใจ
ฉันไปล้างแผลที่ รพ.ที่รักษาทุกวัน จนแผลแห้งดีแล้ว แต่ยังไม่ได้ตัดไหม เพราะอาจารย์บอกว่าท่านจะมัดฉัน 6 อาทิตย์ เพื่อความแน่ใจ
ว่าจะไม่แยกอีก ท่านบอกวิธีทำความสะอาดแผลด้วยตัวเอง และกำชับว่าถึงแผลจะดูเหมือนหาย ก็ต้องระวังตรงรูที่มีเส้นไหมร้อยคาอยู่
มันอาจติดเชื้อได้เพราะยังไม่ได้ตัดไหม
แล้วเคราะห์กรรมของฉันก็ผ่านไปด้วยดี เรื่องที่เล่าให้ฟังทั้งหมดเป็นเรื่องที่จริง และไม่คิดจะไปใส่ร้ายหรือว่าใคร
เพียงแต่อยากให้เป็นอุธาหรณ์เท่านั้นเอง
อ่านกระทู้เก่าได้ที่...
ฉันรู้ทันเธอนะคุณมะ(เร็ง) ตอนที่ 1 >>
http://ppantip.com/topic/30414596
ฉันรู้ทันเธอนะคุณมะ(เร็ง) ตอนท่ี 2 >>
http://ppantip.com/topic/30418215
ฉันรู้ทันเธอนะคุณมะ(เร็ง) ตอนที่ 3 >>
http://ppantip.com/topic/30426153
ฉันรู้ทันเธอนะคุณมะ(เร็ง) ตอนทั้ 4 >>
http://ppantip.com/topic/30430450
ฉันรู้ทันเธอนะคุณมะ(เร็ง) ตอนที่ 5
ประสบการณ์หลังผ่าตัดที่จำรู้ลืม
สูตรยาที่ฉันได้มี 8 เข็ม ตามโครงการวิจัยฉันต้องผ่าตัดภายใน 2 อาทิตย์หลังจากได้ยาเข็มสุดท้าย
ก่อนผ่าตัดอาจารย์หมอถามว่า ฉันต้องการทำแบบแบบไหน จะเอาแต่ก้อนออก หรือจะให้ตัดทั้งเต้าฉันตอบว่า
ฉันกลัวที่สุดคือกลัวเจ็บหลายครั้ง ถ้าว่าอะไรดีที่สุดสำหรับตัวฉัน ฉันยินดีให้คุณหมอทำได้ทุกอย่าง ร่วมทั้งให้ตัด
ต่อมน้ำเหลืองทิ้งไปด้วย (ฉันกลัวเฮอร์ทูบวกมาก) ท่านก็ดีจะได้เลาะเอาก้อนเนื้อทิ้งทั้งหมด เมื่อต้องทำแมมโมแกรม
ครั้งต่อไปจะทำได้ง่าย (ท่านบอกกับฉัน)
วันผ่าตัดวันที่ 29 มค. 54 ต้องนอน รพ.ก่อนหนึ่งคืน เตรียมพร้อมสำหรับการผ่าตัด
ในเช้าวันที่ 29 ฉันเข้าห้องผาตัดตอน 2 โมงเช้าพอดี (นาฬิกาที่ห้องผ่าตัดอยู่ตรงปลายเท้าพอดี)
มารู้สึกตัวที่ห้องพักตอนบ่าย 3 โมง แผลที่ผ่าตัดถูกปิดผนึก มีสายน้ำเกลือห้อยอยู่ข้างบน มีสายน้ำเหลืองและเลือด
ห้อยอยู่ 2 สาย (ขอโทษเรียกภาษาหมอไม่ถูก) ฉันไม่ต้องทำแผล อีก 7 วันจึงจะเปิดแผล ขอชื่นชมและขอขอบคุณ
คุณพยาบาลที่ดูแลเอาใจใส่คนไข้ คอยถามถึงอาการเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลา
เช้าวันที่ 30 คุณหมอผู้ช่วยอาจารย์ที่ผ่าตัด มาดูและสอบถามอาการฉันตั้งแต่ยังไม่ 6 โมงเช้า ให้ฉันลุกเดินเพื่อเคลื่อนไหวร่างกาย
และยกแขนข้างที่ผ่าตัด หลังผ่าตัดจะเกิดผังเผือดจะทำให้ไหล่ติด
ฉันนึกในใจเพิ่งจะผ่าตัดมาหยกๆ เจ็บก็เจ็บ กลัวก็กล้วว่าแผลจะฉีกต้องเย็บแผลใหม่ คุณหมอยังมาบอกให้ยกแขนข้างที่เจ็บอีก
เมื่อหมอสั่งฉันก็ต้องทำ ยกได้นิดนึงพอเจ็บก็หยุด ทำอยู่ 2-3 ครั้งก็เลิกทำ ไม่ไหวรู้สึกเจ็บ
ประมาณ 5 โมงเช้าอาจารย์หมอมาเยี่ยม ท่านทักว่าคนไข้น่าตาสดใสดี ไหนลองยกแขนข้างผ่าตัดให้หมอดูหน่อยซิ
(คิดในใจว่าฉันจะยกให้ดูได้ยังไง ฉันยังไม่ได้ทำเลย) อาจารย์หมอคงพอเดาได้ ท่านว่าฉันต้องทำนะไม่งั้นแขนจะยกไม่ขึ้นและจะปวด
ว่าแล้วท่านก็พูดว่า มานี้หมอจะทำให้ดู ท่านก็จับแขนข้างที่เจ็บ ค่อยๆ ยกสูงขึ้นไปเรื่อยที่ละนิด จนฉันรู้สึกเจ็บทนไม่ไหวท่านก็หยุด
แล้วบอกว่าให้ทำอย่างนี้พรุ่งนี้จะมาดู แล้วให้คุณหมอผู้ช่วยให้สอนท่าบริหารแขน
ฉันขอเรียกท่านี้ว่า “ท่าปูไต่ตะกายข้างฝา” คือไปยืนชิดให้ตัวติดผนังห้อง แล้วค่อยๆ ยกแขนข้างผ่าตัดขยับให้แขนยกได้สูงขึ้น
จนสามารถชูแขนทั้งสองข้างได้เท่ากันหรือใกล้เคียงข้างที่ดี
โอโห! มันสุดยอดเลย (เจ็บมากค่ะ ความอดทนมีน้อยมาก) คิดหาทางที่จะยกแขนให้ได้โดยไม่ต้องทำท่าปูไต่ตะกายข้างฝา
คิดไปคิดมาหลายตลบ ลองลุกไปทำที่ข้างฝาก็ทำไม่ได้ กลับมาที่เตียงลองทำก็ยังทำไม่ได้ จนเหนื่อยแล้วหลับไป
พอตื่นขึ้นมาก็คิดอีกแต่ก็ยังติดไม่ตก ตอนนั้นจำได้ว่าลูกเปิดไปเจอหนังเกาหลี ฉันนึกถึงเรื่องแดจังกึมขึ้นมา(ชอบเรื่องนี้มาก)
ท่าที่นางเอกทำความเคารพฮ่องเต้ ฉันจึงลองทำดู ขอเรียกว่า “ท่าแดงจังกึม” คือเอาแขนข้างดีไว้ข้างล่าง เอาแขนข้างผ่าตัดไว้ข้างบน
แล้วทำท่าอย่างที่นางเอกทำ (คิดว่าตัวเองเป็นนางเอก) ฉันค่อยๆ ใช้แขนข้างดีช่วยพยุงแขนข้างที่เจ็บให้ยกได้สูงขึ้น จนรู้สึกตึง
และเจ็บก็หยุด (ถ้าใช้แขนข้างเจ็บยกข้างเดียว เมื่อรู้สึกตึงหรือเจ็บเราจะหยุดทันที แล้วเอาแขนลง แต่ถ้าทำท่าแดงจังกึมนี้แล้ว
เมื่อรู้สึกตึงหรือเจ็บแขนข้างที่ดีก็จะช่วยพยุงและผ่อนแรงข้างที่เจ็บไว้ โดยไม่ต้องเอาแขนลง)
ในที่สุดฉันก็สามารถยกแขนได้สูงจนน่าพอใจ แต่ไม่ทราบว่าอาจารย์หมอจะพอใจเหมือนฉันหรือเปล่า ประมาณ 5 โมงเช้า
(สงสัยว่าจะเป็นเวลาที่อาจารย์ชอบเยี่ยมคนไข้ เพราะท่านจะมาเวลานี้เกือบทุกวัน ยกเว้นวันจันทร์เพราะเป็นวันที่ท่านต้องผ่าตัดคนไข้)
เข้ามาถึงท่านให้กำลังใจว่าหายแล้ว ยกแขนให้หมอดูหน่อย พอฉันยกได้สูงกว่าเมื่อวานที่ท่านช่วย ท่านให้ทำท่านี้ต่อไป
จนกว่าจะยกแขนขึ้นได้เองโดยไม่ต้องพึ่งข้างฝา ฉันบอกว่าฉันทำท่าที่คุณหมอสอนไม่ได้เพราะมันเจ็บ ฉันทำท่าใหม่
ท่านให้ฉันทำให้ดูแล้วก็หัวเราะ บอกว่าเข้าใจคิดนะ ท่านยังหันไปแซวกับคุณหมอผู้ช่วยว่า เราได้ท่าใหม่ไปให้คนไข้เลือกทำแล้ว
และให้ฉันทำต่อจนกว่ายกแขนได้สูงเหมือนคนปกติ
อาจารย์และคุณหมอจะเข้ามาเยี่ยมทุกวัน หลังจากถามอาการแล้วสิ่งที่ท่านไม่ลืม คือให้ฉันยกแขนให้ดูทุกครั้ง มันคงเป็นสิ่งสำคัญ
เพราะท่านไม่เคยลืมดูเลยแม้แต่ครั้งเดียว ก่อนกลับออกไปท่านยังกำชับให้ทำต่อทุกครั้ง ผลดีของมันคือฉันไม่เป็นไหล่ติด
วันที่ 6 กพ.54 เป็นวันที่ต้องเปิดแผล คุณหมอผู้ช่วยมาแต่เช้าเป็นคนมาเปิดและทำแผลให้ฉัน แล้วบอกว่าแผลฉันแห้งดีกลับบ้านได้
แต่ให้ฉันรอพบอาจารย์หมอก่อนกลับ ห้ามยกของหนักและให้บริหารแขนอย่างที่เคยทำต่อไป
ฉันรอพบอาจารย์ ท่านมาถึงตอนเลยเที่ยงไปเล็กน้อยและขอโทษที่มาช้า (ท่านเป็นอาจารย์หมอที่น่ารักมากๆ ฉันประทับใจท่านจริงๆ)
ท่านขอดูแผลก่อนฉันกลับบ้าน และพอใจกับผลงาน และให้คุณหมอผู้ช่วยปิดผนึกแผลฉัน นัดอีก 1 อาทิตย์ให้มาพบเพื่อดูแผลอีกครั้ง
1 อาทิตย์ผ่านไปฉับไปพบอาจารย์ตามนัด ท่านดูแผลแล้วบอกดีมาก ให้กลับไปล้างแผลที่ รพ.หรือสถานีอนามัยใกล้บ้าน จนกว่าแผล
จะหายสนิท ถ้ามีอะไรให้รีบมาพบท่านได้ทันที
ฉันไปล้างแผลที่ รพ.(ขอไม่ชื่อนะคะ) ทุกวันตอนเย็นไม่เคยขาด แผลดีขึ้นเรื่อยๆ จนผ่านไป 5 วัน เนื่องจากมีคราบของแถมเทป
ที่ใช้ติดยึดผ้าปิดแผล ที่ถูออกไม่หมดของครั้งก่อนๆ ติดอยู่ จนท.จึงออกแรงถูและเช็ดทำความสะอาดแผล ทำให้สะเก็ดที่เหลืออยู่
ความยาวประมาณ 1.5 ซม ตรงบริเวณที่เคยเป็นหัวนมหลุดออก หลังทำความสะอาดเสร็จก็ใช้ผ้าปิดแผลตามด้วยแถบเทปเหมือนเดิม
ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไร คิดว่ามันหลุดก็ดีแล้ว
วันต่อมาฉันสังเกตเห็นว่ามีน้ำเหลืองซึมนิดๆ เมื่อเปิดแผลดูปรากฎว่า ตรงรอยที่สะเก็ดหลุดเมื่อวานมันแดง และมีน้ำเหลืองซึม
จนท.ก็ทำความสะอาดแผลและปิดไว้เหมือนเดิม
วันรุ่งขึ้นที่ผ้าปิดแผลมีน้ำเหลืองซึมมากกว่าเดิม บ่ายวันนั้นฉันรีบเข้า กทม.ทันที ฉันไปรออาจารย์หมอแต่เช้าของอีกวัน
เพราะท่านไม่เปิดคลินิกและไม่ทำงานนอกเวลา ท่านมาถึงห้องทำงานตอน 7 โมงครึ่ ฉันเข้าไปหาและฉันเล่าอาการให้ฟัง
ท่านให้ไปที่ห้องตรวจ พอท่านเปิดดูแผล ท่านถามว่าไปทำอะไรมาแผลถึงเปิดอย่างนี้ เมื่ออาทิตย์ก่อนมันยังดีอยู่เลยใกล้จะหายอยู่แล้ว
วันนั้นฉันไม่ได้เล่ารายละเอียดถึงวิธีการที่ จนท.ล้างแผลให้ท่านฟัง เพราะคิดว่าไม่สำคัญ ฉันคิดว่าฉันไปทำแผลกับ รพ.ของรัฐ
ซึ่งคงไม่มีที่ไหนสะอาดและปลอดภัยกว่านี้อีกแล้ว ฉันจึงบอกท่านแต่เพียงว่าไปล้างแผลที่ รพ. ทุกวัน และไม่เคยยกของหนักด้วย
ตอนนั้นท่านยังคิดว่าเพราะฉันผอม หน้าอกฉันเล็ก ไม่ค่อยมีเนื้อ ทำให้แผลมันตึงและเกิดแผลแยกได้ ท่านบอกว่าต้องเย็บแผลใหม่
ซึ่งท่านก็สละเวลาเย็บแผลให้ฉันใหม่ในตอนเช้าวันนั้น เสร็จแล้วใช้ผ้าปิดแผลและให้ฉันไปล้างแผลที่ รพ.ทุกวัน อีก 7 วันมาพบท่าน
เพื่อตัดไหม
ฉันทำตามที่ท่านบอก ครบ 7 วันฉันไปตามนัด ท่านเห็นแล้ว บอกว่าแผลดีตัดไหมได้ ให้ฉันไปล้างแผลต่อที่ รพ.จนกว่าจะหายดี
เพื่อป้องกันการติดเชื้อ อีก 6 เดือนมาพบท่านใหม่
กลับมาอยู่บ้านฉันได้รับการปฏิบัติจาก จนท.เหมือนเดิม(จนท.มีหลายคน แล้วแต่จะไปโดยเวรใคร) พอฉันบอกให้ทำแผลค่อยๆ
(เขาทำหน้าเหมือนว่าฉันรู้ดี) แค่ 3 วัน แผลฉันก็แยกเหมือนเดิม ต้องวิ่งแจ้นไปหาอาจารย์หมออีก พอเห็นหน้าฉันแล้วรู้ว่าแผลแยกอีก
ท่านรีบดึงพาฉันไปที่ห้องตรวจ เปิดดูแผลทันที พอเห็นท่านก็ส่ายหน้า ฉันเจอคำถามเดิมอีก ว่าไปทำอะไรมา คราวที่แล้วหมอเย็บดี
แล้วนะ ทำไมยังเป็นอีก หมอผ่าตัดเต้านมมาเป็นพันๆ ครั้ง บางคนผอมกว่าฉันอีก ยังไม่เคยเจอแบบฉันเลย
คราวนี้ท่านให้ฉันเล่าเรื่องการดูแลแผลให้ท่านฟัง ฉันเล่าอย่างละเอียด ท่านฟังจบก็ร้อง อ๋อ! อย่างนี้นี่เอง ท่านบอกรู้แล้วว่าเป็นเพรา
ะอะไร แผลฉันที่ท่านเห็นว่าต้องหายแน่ๆ ทำไมถึงไม่ยอมหายสักที แล้วท่านก็บ่นเป็น จนท.ต้องรู้วิธีทำแผล ว่าแผลลักษณะไหน
ต้องทำแผลอย่างไร โดยเฉพาะแผลผ่าตัดที่หน้าอกมันจะตึงมาก ต้องทำแผลอย่างเบามือ ห้ามถูที่แผลหรือบริเวณรอบๆ ใกล้ๆ แผล
ให้ใช้น้ำเกลือลากผ่านแผลเบาๆ แล้วซับให้แห้ง ปิดด้วยผ้าปิดแผลบางๆ กันการเสียดสีเท่านั้น
แล้วกรรมแต่ชาติปางไหนก็ไม่รู้ ทำให้ฉันต้องเข้าห้องผ่าตัดใหญ่อีกครั้ง (ฉันไม่น่าไปบอกอาจารย์เลยว่า กลัวเจ็บหลายครั้ง
ฉันได้เจ็บหลายครั้งอย่างที่กลัวจริงๆ) และท่านก็หาตารางวันว่างเพื่อจัดการกับฉันอีกรอบ ท่านพูดติดตลกว่า คนอื่นเขากลัวว่า
มันจะไปโผล่ที่อื่น แต่เธอกลับกลัวแผลไม่ติด แต่ก็ดีนะมีช่องให้น้ำเหลืองมันออก เธอไม่ต้องมาเจ็บตัวเพราะตัดต่อมน้ำเหลืองทิ้ง
ไปแล้ว ถ้ามันคั่งและบวมก็ต้องมาเจาะเอาออก ต้องเจ็บตัวอีกรอบ
ฉันไม่รู้จะโทษใครจริงๆ ขอโทษเวรกรรมแล้วกัน แล้วการเข้าห้องผ่าตัดใหญ่ก็เริ่มอีกครั้ง คราวนี้มันกะทันหัน ไม่มีห้องพิเศษ
เหลืออยู่เลย (ไม่ว่าจะใช้เส้นเล็กๆ ที่พอมีอยู่บ้างก็ไม่ได้) ต้องนอนห้องรวมแถมเป็นแบบห้องรวมธรรมดาอีกต่างหาก
ก่อนวันผ่าตัด ฉันต้องไปนอน รพ.ก่อนหนึ่งคืนตามสูตร วันนั้นฉันไปถึงห้องประมาณเที่ยง ฉันตื่นเต้นมาก เพราะเพื่อนๆ พี่ๆ
ที่อยู่ในห้องก่อนฉัน บอกน้องใหม่อย่างฉันว่า คุณมีมุ้งกางหรือยัง
อะไรกันนี่ ฉันเป็นผู้ป่วยที่มานอน รพ. ไม่ใช่ญาติผู้ป่วยที่มาขอนอนเฝ้าโดยไม่มีเตียงนะ จะได้มีมุ้งไว้กางกันยุง ฉันไม่เข้าใจที่เขาพูด
เขาเห็นฉันสงสัยก็เลยพากันให้ฉันดูตัวอย่างมุ้ง มีทั้งแบบครอบ แบบผูกโยงกับที่แขวนน้ำเกลือ และบรรยายสรรพคุณข้อดีข้อเสีย
ของมุ้งแต่ละแบบ
ฉันยังเซ่ออยู่ดี ถามไปว่าทำไมต้องกางมุ้งด้วย เขาตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ถ้าใครไม่มีมุ้งจะถูกรุมประชาทันฑ์ด้วยฝูงยุง รับรองว่า
ไม่ได้หลับได้นอน เพราะมันมีเป็นฝูงและกัดเจ็บมาก
ฉันยังงงๆ อยู่ ลูกสาวรีบจัดการถ่ายรูปและไปหาซื้อทันที โดยมีเพื่อร่วมชะตากรรมใหม่อีกคนฝากซื้อด้วย (มันเป็นมุ้งที่ฉันใฝ่ฝัน
มานานแล้วว่าอยากนอน มันเหมือนมุ้งในละครย้อนยุคสมัยเก่า ดูสวยน่านอน แต่ฉันไม่เคยคิดเลยว่าจะได้นอนมุ้งแบบนั้นที่ รพ.)
เวลาประมาณ 6 โมงเย็นทุกเตียงต้องรีบกางมุ้งแล้ว มิฉะนั้นจะถูกรุม ถ้าคิดในมุมบวกมันเป็นภาพที่สวยงามดี มีหลายสีหลายแบบ
แล้วแต่ความชอบ (แบบไม่เต็มใจ) มีแต่สีหวานๆ (สามีและลูกยังถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก บอกว่าไว้ดูแก้เครียด ฉันตลกไม่ออกเลย)
ตีห้าคุณพยาบาลจะมาปลุกให้เก็บมุ้ง เพราะคุณหมอจะตรวจ คนไข้อย่างเราก็ต้องเก็บเพื่อไม่ให้คุณพยาบาลทั้งหลายถูกคุณหมอดุ
(ไม่รู้ว่าพวกคุณหมอจะรู้หรือเปล่าว่าพวกเรามีชะตากรรมกันอย่างนี้) ดังนั้นที่ขาดไม่ได้คือ ไม้ช๊อตยุงทุกเตียงต้องมี ลองคิดดูซิว่า
เสียงมันจะดังไพเราะขนาดไหน เวลาที่ยุงมันเซ่อซ่าบินมาชนไม้ (ในห้องมี 15 เตียง)
ตอนเช้าการผ่าตัดผ่านพ้นไปด้วยดี ฉันนอนอยู่ 3 คืน อาจารย์หมอมาเยี่ยม 1 ครั้ง ท่านบอกว่าคราวนี้ไม่มีพลาดหมอมัดไว้แน่นหนา
หลายชั้น (ไม่รู้ว่าท่านพูดจริงหรือเล่น) ฉันขออยู่ 5 – 7 วัน เพื่ออยู่ในความดูแลของหมอ แต่คุณหมอซึ่งเคยเป็นผู้ช่วยอาจารย์ตอน
ผ่าตัดครั้งแรก มาดูแผลแล้วบอกว่า ฉันเข็งแรงดีกลับบ้านได้ พอฉันขออยู่ต่อ คุณหมอก็บอกว่าตอนนี้มีคนไข้หายรายที่รอเตียงว่าง
ฉันเลยจำเป็นต้องเสียสละออกมาทั้งๆ ที่ไม่เต็มใจ
ฉันไปล้างแผลที่ รพ.ที่รักษาทุกวัน จนแผลแห้งดีแล้ว แต่ยังไม่ได้ตัดไหม เพราะอาจารย์บอกว่าท่านจะมัดฉัน 6 อาทิตย์ เพื่อความแน่ใจ
ว่าจะไม่แยกอีก ท่านบอกวิธีทำความสะอาดแผลด้วยตัวเอง และกำชับว่าถึงแผลจะดูเหมือนหาย ก็ต้องระวังตรงรูที่มีเส้นไหมร้อยคาอยู่
มันอาจติดเชื้อได้เพราะยังไม่ได้ตัดไหม
แล้วเคราะห์กรรมของฉันก็ผ่านไปด้วยดี เรื่องที่เล่าให้ฟังทั้งหมดเป็นเรื่องที่จริง และไม่คิดจะไปใส่ร้ายหรือว่าใคร
เพียงแต่อยากให้เป็นอุธาหรณ์เท่านั้นเอง
อ่านกระทู้เก่าได้ที่...
ฉันรู้ทันเธอนะคุณมะ(เร็ง) ตอนที่ 1 >>http://ppantip.com/topic/30414596
ฉันรู้ทันเธอนะคุณมะ(เร็ง) ตอนท่ี 2 >>http://ppantip.com/topic/30418215
ฉันรู้ทันเธอนะคุณมะ(เร็ง) ตอนที่ 3 >>http://ppantip.com/topic/30426153
ฉันรู้ทันเธอนะคุณมะ(เร็ง) ตอนทั้ 4 >>http://ppantip.com/topic/30430450