เนื่องจากมีหลายตอน ขอใช้แท็กเป็น นิยาย แทนนะครับ
เป็นเรื่องรายสะดวก ไม่ขอกำหนดวันลงอย่างเป็นทางการ
คำเตือน เรื่องนี้ผมอาจเขียนไม่จบ หรือจบเห่กลางทางก็เป็นได้
1. พบเจอ
คันธา เป็นดาวเคราะห์เล็กๆ ดวงหนึ่งในระบบอิเดีย ระดับความเจริญยังคงล้าหลัง เป็นสังคมแรงงานเกษตรกรรม จึงไม่เคยได้รับความสนใจจาก สหดวงดาวแห่งจักรวาล เรื่องราวของเราเริ่มต้นขึ้นบนสถานที่แห่งนี้ ที่ที่ผู้คนก้มหน้าออกแรงทำงานในไร่นายามกลางวัน และหลับพักผ่อนอย่างอ่อนล้าในยามค่ำคืน
ชีวิตไม่ใช่สิ่งซับซ้อนที่ต้องทำความเข้าใจ จักรวาลไม่ได้ลึกลับมากไปกว่าผืนฟ้ากว้าง และดวงดาวต่างๆ เป็นเพียงอัญมณีที่ประดับประดาอยู่บนนั้น
เด็กชายวัยสิบสี่ปีมีนามว่า โธพิ ตื่นขึ้นแต่เช้าตรู่ เดินย่ำไปตามทางดิน บนบ่าของเขาแบกไว้ด้วยไม้คาน ทั้งสองด้านคือถุงหนังใส่น้ำเต็ม เขาก้มหน้ามองพื้น และพบว่ารอยเท้าของตนในขากลับนั้นลึกลงกว่าในตอนที่เดินแบกถุงเปล่าไปยังบ่อน้ำของหมู่บ้านมากนัก ร่างกายเขาขยับปรับเปลี่ยนท่วงท่า และจังหวะการเดินให้เหมาะสมกับน้ำหนักที่แบกไว้โดยไม่รู้ตัว
ในทุกการเคลื่อนไหวย่อมต้องมีทั้งสมดุล และจังหวะ ในยามที่เขาเหวี่ยงจอบลงสู่ผืนดิน ร่างกายจะเลือกเส้นทางที่ง่ายที่สุด เมื่อเขามองดูผู้อื่นทำงาน เขารู้ว่าควรจะปรับแก้ท่าทางอย่างไรเพื่อให้ง่ายดายยิ่งขึ้น แต่เขาเพียงเก็บสิ่งเหล่านั้นเอาไว้ภายในใจ
เขาเรียนรู้ว่า ไม่มีใครชอบเด็กอวดรู้
ในฉับพลันที่เกิดแรงสั่นสะเทือนขึ้น แม้เพียงเล็กน้อย แต่เขาก็ปรับเปลี่ยนท่วงท่าเพื่อเพิ่มความสมดุล ก่อนหยุดหันมองไปยังที่มาของสิ่งผิดปกติดังกล่าว
ที่เขาพบเห็นเป็นเพียงชายแก่ท่าทางประหลาดในชุดเก่าขาด พร้อมกับไม้เท้าเดินทางในมือขวา เขาแน่ใจว่าชายชราไม่ใช่คนภายในหมู่บ้าน
“เราชื่อ ตาระ เป็นนักเดินทาง”
ชายชรากล่าวทักทายอย่างอารมณ์ดี ที่มุมปากมีรอยยิ้ม พร้อมกับเดินเข้ามา แต่ในทุกทุกไม้เท้าที่กระแทกลงบนผืนดินกลับก่อกวนให้เกิดคลื่นความสั่นสะเทือนมุ่งตรงเข้าใส่เขา
เด็กชาย มองเห็นทุกความเคลื่อนไหวอย่างชัดเจน ร่างกายพยายามปรับสมดุลในตอนแรก แต่ไม่นานเขาก็ตระหนักว่าคงไม่อาจยืนอยู่ได้สืบไป
ชายชราก็คล้ายเข้าใจ รอยยิ้มจืดจางลง แต่ไม้เท้าในมือยังคงจู่โจมไม่หยุดยั้ง
โธพิ พลันใช้ท่วงท่าพิลึกวางถุงหนังใส่น้ำทั้งสองลง ก่อนจับไม้คานเลียนแบบท่าทางการเคาะไม้ของชายชรา สร้างคลื่นสั่นสะเทือนออกบ้างเพื่อต้านทานไว้
คลื่นที่เท่ากันจากทิศทางตรงกันข้ามหักล้างให้พลังอ่อนลง
ชายชราพลันเงยหน้าหัวเราะร่า เคาะไม้เท้าติดตามกันไม่หยุด เด็กชายยังไม่ย่อท้อ พยายามฝืนต้านไว้จนสุดกำลัง แต่สุดท้ายไม้คานเก่าแก่ในมือหักสะบั้น คนก็ล้มลง น้ำในถุงหนังหกกระจายเปียกเต็มทั่วพื้น
“เหตุใดท่านถึงทำอย่างนี้” เด็กชายร้องถามด้วยความโกรธ
“เหตุใดเจ้าจึงเอาแต่ป้องกัน ไม่ตีโต้กลับมา” ชายชราหยุดยืนลูบเคราขาว ถามกลับไป
เด็กชายค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
“ป้องกันคืออะไร ตีโต้คืออะไร ข้าแค่พยายามจะไม่ล้มลงไปเท่านั้น”
มือของชายชราชะงักค้าง แววตาเปลี่ยนเป็นสาดประกายเจิดจ้า
“เจ้าเรียนรู้วิชาเหล่านี้มาจากผู้ใด”
“วิชาอะไรข้าไม่เข้าใจ ข้าแค่เลียนแบบที่ท่านเคาะไม้เท้าลงบนพื้นก็เท่านั้น”
“เจ้าจะบอกว่าไม่รู้จักวิชาฝีมือ”
“ข้ารู้จักแต่ทำไรทำนา หาบน้ำ ยิงนกตกปลาเท่านั้น”
ชายชราตาเป็นประกาย ไม้เท้าในมือพุ่งวกวนจู่โจมเข้าใส่ราวกับเป็นสิ่งมีชีวิต เด็กชายมองดูเส้นทาง คาดเดาจากท่วงท่า ก่อนเคลื่อนไหวทีหลังถึงก่อน เศษไม้คานในมือพอดีกระแทกปัดไม้เท้าให้เบี่ยงเบนไปได้อย่างฉิวเฉียด
‘หากในไม้คานแฝงพลังเอาไว้ บางทีแม้แต่เราเองก็อาจพลาดพลั้งได้’ ชายชราบังเกิดความสงสัยขึ้นไม่จบสิ้น ‘หรือว่าคำทำนายจะเป็นจริง’ แม้จะเป็นผู้รับหน้าที่ออกเดินทางค้นหา แต่ชายชรากลับไม่เคยมั่นใจ
‘ผู้นำมาซึ่งสมดุล’
พิกัดที่แก้ได้จากสมการในบันทึกโบราณบ่งบอกถึงดวงดาวล้าหลังแห่งนี้ ซึ่งไม่มีวี่แววของวิชาการต่อสู้เลยสักนิด แต่เด็กคนนี้ราวกับเป็นตัวประหลาด ความสงสัยตั้งแต่แรกเห็นของชายชรานั้นไม่ผิดพลาด ทั้งท่วงท่าการเคลื่อนไหว ความสมดุลแม่นยำ จะขาดไปก็เพียงพลัง ซาโต ภายในกายเท่านั้น
ชายชราตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ‘ไม่มีเวลาให้เสียอีกต่อไป คงต้องเสี่ยงเชื่อคำทำนายดูสักครั้ง’
“เจ้าชื่ออะไร”
“โธพิ” เด็กชายตอบไปตามตรง
“เจ้าอยากเรียนรู้วิชาการต่อสู้หรือไม่”
“ไม่” เด็กชายตอบโดยไม่ลังเล ชายชราหัวเราะอีกครั้ง ไม้เท้าในมือพุ่งวูบวาบ หลอกซ้าย จู่โจมขวา เด็กชายไม่ทันระวังจึงหลงกลถูกตีไปสองทีซ้อน จนร้องโอดโอย
“ไม่ วิชาการต่อสู้ของท่านไร้ประโยชน์ การทำร้ายผู้อื่นนั้นเป็นสิ่งไม่ดี”
“อย่างนั้นหรือ” ชายชรายกมือขึ้นเกาหัว ก่อนตวัดไม้เท้าผนึกพลังซาโตไว้ในกาย แล้วกระแทกใส่พื้นดินจนเป็นรอยแยกราวกับโดนไถด้วยคราด “หากทำแบบนี้ได้จะมีประโยชน์ยิ่งยวดใช่หรือไม่”
เด็กชายตาวาวนึกถึงผืนนากว้างไกลที่ต้องไถ ก่อนพยักหน้ายอมรับพร้อมกล่าวเบาๆ “เช่นนี้จึงนับว่ามีประโยชน์”
ชายชรานึกขัน วิชาการต่อสู้ พลังซาโตอันไร้ที่สุดแห่งจักรวาล ในสายตาของเด็กน้อยผู้นี้กลับมีประโยชน์เพียงเพื่อใช้นำไปไถพรวนผืนดินเท่านั้น แต่เพียงชายชราเดินย่ำอยู่บนดาวดวงนี้ไม่นาน พบเห็นวิถีชีวิตที่ไม่ต้องทะเยอทะยาน ไม่นำพาในเรื่องใด ชายชรากลับเกิดความคิดว่า ความเห็นของเด็กชายอาจถูกต้องก็เป็นได้
น่าเสียดายที่ชายชราไม่อาจลืมทุกสิ่ง ทอดทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง เพื่อใช้ชีวิตที่เหลืออย่างสงบ
พลังซาโตจำเป็นต้องมีผู้สืบทอด และหากเด็กชายผู้นี้ คือผู้ถือลิขิตแห่งคำทำนายจริง เขาก็มีหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่รอคอยอยู่ เป็นชะตาที่ไม่อาจปฏิเสธได้
“หากต้องการให้เราสอนสั่ง เจ้าเพียงคุกเข่าลง กราบเราเป็นอาจารย์ นับแต่นี้ทำตามคำสั่งเราอย่างเคร่งครัดทุกประการ”
เด็กชายกรอกตารอบหนึ่งพลันกล่าว
“ท่านอยากรับข้าเป็นศิษย์ ข้าอยากเรียนวิชาไถนาของท่าน พวกเราพบกันครึ่งทาง ข้ากราบท่านเป็นอาจารย์ คำสั่งของท่านหากข้าไม่ต้องการ ของดไม่กระทำจะได้หรือไม่”
“เจ้า” ชายชราอ้าปากค้าง ไม่นึกว่าเด็กชายผู้นี้จะกล้าต่อรอง และนึกไม่ถึงว่าจะมีใครกล้าเรียก หมัดสายฟ้า ว่าเป็น วิชาไถนา เยี่ยงนี้ แต่มันก็ทำให้รู้สึกถูกใจขึ้นมา มากกว่าท่าทางเรียบเรียบร้อยร้อยที่เห็นในตอนแรก
“ได้” ชายชราแสร้งทำท่าทางขึงขัง “แต่ตามกฏของสำนักเรา คำสั่งเสียของอาจารย์ถือเป็นเด็ดขาด เจ้ายอมรับหรือไม่”
เด็กชายนึกถึงตอนที่ปู่ของเขากำลังจะสิ้นลม สิ่งเดียวที่ปู่ต้องการ และเขายังคงจำได้ขึ้นใจก็คือน้ำ พอได้จิบลงไปสองสามคำปู่ก็สิ้นใจอย่างสงบ คงไม่มีใครมีความต้องการที่มากมายในยามสุดท้ายของชีวิต
เพราะในเวลาเช่นนั้นทุกสิ่งย่อมไม่สำคัญอีกแล้ว
เด็กชายพยักหน้า พร้อมกับคุกเข่าลงแล้วก้มคำนับสามครั้งจรดพื้น
“ข้า โธพิ ขอกราบท่าน ตาระ เป็นอาจารย์ หากแม้นท่านมีคำสั่ง หากข้าเห็นด้วยย่อมปฏิบัติตาม และคำสั่งเสียสุดท้ายของท่านอาจารย์ถือเป็นเด็ดขาด ข้าต้องทำให้ลุล่วงจนได้”
“ดี” ชายชราช่วยพยุงเด็กชายให้ลุกขึ้นยืน
“คำสั่งแรกของเราคือ ห้ามเจ้าบอกใครเกี่ยวกับเรา ทุกวันเจ้าต้องนำอาหาร น้ำดื่มมา และฝึกวิชากับเราอย่าได้ขาด เจ้าทำได้หรือไม่”
“ย่อมได้” เด็กชายลังเล “แต่ท่านจะหลับนอนที่ใด และข้าคงแบ่งอาหารมาให้ท่านได้ไม่มาก ไม่อย่างนั้นคนอื่นก็จะสงสัย”
“ข้ากินเพียงวันละมื้อ และป่าแถบนั้นก็ดูร่มรื่นย์ดี” ชายชราชี้ไปทางแนวป่าที่ไม่ไกลจากหมู่บ้านนัก แต่กลับดูรกร้าง เหมือนกับไม่มีผู้ใดเฉียดผ่านเข้าไปเนิ่นนานแล้ว
“ไม่ได้ ในนั้นมีตัว กิเลน อาศัยอยู่ มันเป็นสัตว์ประหลาดดุร้าย แต่จะไม่ออกมาหากินนอกเขตแดน ทุกคนต่างรู้ดีว่าหากเข้าไปแล้วย่อมไม่อาจกลับออกมาได้อีก”
ชายชรามองไป ในสายลมที่พัดมาจากทิศทางด้านนั้นคล้ายได้ยินเสียงคำรามฟังดูเหมือนกับลมพายุคลั่ง
“นั่นก็ยิ่งดี แสดงว่าจะไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปรบกวนเรา”
เด็กชายมองหน้าชายชราก่อนพยักหน้าช้าๆ “ใช่ ย่อมไม่มีใคร นอกจากกิเลนตัวนั้น”
“เจ้านั่นปล่อยให้เป็นธุระของเราเอง”
“ท่านแน่ใจ” มีความเป็นห่วงเจืออยู่อย่างชัดเจน
“เราย่อมแน่ใจ” ชายชรารู้สึกดีกับเด็กชายผู้นี้ นอกจากดูฉลาดเฉลียวผิดกับท่าทางภายนอกแล้ว ก็ยังมีความโอบอ้อมอารีย์ นับเป็นคุณสมบัติที่ดี
‘ผิดกับ เสินกวง’ ชายชรารีบปัดความคิดคำนึงนั้นทิ้งไป ก่อนเริ่มออกก้าวเดิน
“เอาล่ะ เจ้ารีบหาบน้ำให้เสร็จ แล้วติดตามไปอย่าได้ช้า” กลุ่มเมฆดำที่เบื้องบนคล้ายรับรู้ถึงการมาเยือนของผู้รุกราน พวกมันพากันลอยวนอยู่เหนือแนวป่า
“ท่านอาจารย์” เด็กชายเรียกหาอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง
“เราไม่เป็นไร”
เด็กชายเห็นชายชราก้าวเดินไปอย่างช้าๆ แต่ร่างกายกลับเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าระยะทางทั้งหมดถูกย่นย่อลงอย่างประหลาด
ชายชราจงใจแสดงฝีมือเพื่อให้เด็กชายสบายใจ และเพื่อเป็นการเคาะสนิมของตนเนื่องจากห่างหายจากการต่อสู้เสี่ยงชีวิตมาพักใหญ่ เลือดในกายเริ่มร้อน พลังซาโตไหลเวียนไปอย่างไม่ติดขัด ระบบประสาท และกล้ามเนื้อทั่วร่างถูกปรับแต่งเร่งเร้าขึ้นเรื่อยๆ
ตาระ ยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็น ในมุมหนึ่งมันดูสงบนิ่ง แต่ในอีกมุมหนึ่งนั้นกลับดูน่ากลัวอย่างประหลาด
โธพิ ตอน 1 (เรื่องสั้นขนาดยาว แฟนตาซีสำนวนกำลังภายใน)
เป็นเรื่องรายสะดวก ไม่ขอกำหนดวันลงอย่างเป็นทางการ
คำเตือน เรื่องนี้ผมอาจเขียนไม่จบ หรือจบเห่กลางทางก็เป็นได้
1. พบเจอ
คันธา เป็นดาวเคราะห์เล็กๆ ดวงหนึ่งในระบบอิเดีย ระดับความเจริญยังคงล้าหลัง เป็นสังคมแรงงานเกษตรกรรม จึงไม่เคยได้รับความสนใจจาก สหดวงดาวแห่งจักรวาล เรื่องราวของเราเริ่มต้นขึ้นบนสถานที่แห่งนี้ ที่ที่ผู้คนก้มหน้าออกแรงทำงานในไร่นายามกลางวัน และหลับพักผ่อนอย่างอ่อนล้าในยามค่ำคืน
ชีวิตไม่ใช่สิ่งซับซ้อนที่ต้องทำความเข้าใจ จักรวาลไม่ได้ลึกลับมากไปกว่าผืนฟ้ากว้าง และดวงดาวต่างๆ เป็นเพียงอัญมณีที่ประดับประดาอยู่บนนั้น
เด็กชายวัยสิบสี่ปีมีนามว่า โธพิ ตื่นขึ้นแต่เช้าตรู่ เดินย่ำไปตามทางดิน บนบ่าของเขาแบกไว้ด้วยไม้คาน ทั้งสองด้านคือถุงหนังใส่น้ำเต็ม เขาก้มหน้ามองพื้น และพบว่ารอยเท้าของตนในขากลับนั้นลึกลงกว่าในตอนที่เดินแบกถุงเปล่าไปยังบ่อน้ำของหมู่บ้านมากนัก ร่างกายเขาขยับปรับเปลี่ยนท่วงท่า และจังหวะการเดินให้เหมาะสมกับน้ำหนักที่แบกไว้โดยไม่รู้ตัว
ในทุกการเคลื่อนไหวย่อมต้องมีทั้งสมดุล และจังหวะ ในยามที่เขาเหวี่ยงจอบลงสู่ผืนดิน ร่างกายจะเลือกเส้นทางที่ง่ายที่สุด เมื่อเขามองดูผู้อื่นทำงาน เขารู้ว่าควรจะปรับแก้ท่าทางอย่างไรเพื่อให้ง่ายดายยิ่งขึ้น แต่เขาเพียงเก็บสิ่งเหล่านั้นเอาไว้ภายในใจ
เขาเรียนรู้ว่า ไม่มีใครชอบเด็กอวดรู้
ในฉับพลันที่เกิดแรงสั่นสะเทือนขึ้น แม้เพียงเล็กน้อย แต่เขาก็ปรับเปลี่ยนท่วงท่าเพื่อเพิ่มความสมดุล ก่อนหยุดหันมองไปยังที่มาของสิ่งผิดปกติดังกล่าว
ที่เขาพบเห็นเป็นเพียงชายแก่ท่าทางประหลาดในชุดเก่าขาด พร้อมกับไม้เท้าเดินทางในมือขวา เขาแน่ใจว่าชายชราไม่ใช่คนภายในหมู่บ้าน
“เราชื่อ ตาระ เป็นนักเดินทาง”
ชายชรากล่าวทักทายอย่างอารมณ์ดี ที่มุมปากมีรอยยิ้ม พร้อมกับเดินเข้ามา แต่ในทุกทุกไม้เท้าที่กระแทกลงบนผืนดินกลับก่อกวนให้เกิดคลื่นความสั่นสะเทือนมุ่งตรงเข้าใส่เขา
เด็กชาย มองเห็นทุกความเคลื่อนไหวอย่างชัดเจน ร่างกายพยายามปรับสมดุลในตอนแรก แต่ไม่นานเขาก็ตระหนักว่าคงไม่อาจยืนอยู่ได้สืบไป
ชายชราก็คล้ายเข้าใจ รอยยิ้มจืดจางลง แต่ไม้เท้าในมือยังคงจู่โจมไม่หยุดยั้ง
โธพิ พลันใช้ท่วงท่าพิลึกวางถุงหนังใส่น้ำทั้งสองลง ก่อนจับไม้คานเลียนแบบท่าทางการเคาะไม้ของชายชรา สร้างคลื่นสั่นสะเทือนออกบ้างเพื่อต้านทานไว้
คลื่นที่เท่ากันจากทิศทางตรงกันข้ามหักล้างให้พลังอ่อนลง
ชายชราพลันเงยหน้าหัวเราะร่า เคาะไม้เท้าติดตามกันไม่หยุด เด็กชายยังไม่ย่อท้อ พยายามฝืนต้านไว้จนสุดกำลัง แต่สุดท้ายไม้คานเก่าแก่ในมือหักสะบั้น คนก็ล้มลง น้ำในถุงหนังหกกระจายเปียกเต็มทั่วพื้น
“เหตุใดท่านถึงทำอย่างนี้” เด็กชายร้องถามด้วยความโกรธ
“เหตุใดเจ้าจึงเอาแต่ป้องกัน ไม่ตีโต้กลับมา” ชายชราหยุดยืนลูบเคราขาว ถามกลับไป
เด็กชายค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
“ป้องกันคืออะไร ตีโต้คืออะไร ข้าแค่พยายามจะไม่ล้มลงไปเท่านั้น”
มือของชายชราชะงักค้าง แววตาเปลี่ยนเป็นสาดประกายเจิดจ้า
“เจ้าเรียนรู้วิชาเหล่านี้มาจากผู้ใด”
“วิชาอะไรข้าไม่เข้าใจ ข้าแค่เลียนแบบที่ท่านเคาะไม้เท้าลงบนพื้นก็เท่านั้น”
“เจ้าจะบอกว่าไม่รู้จักวิชาฝีมือ”
“ข้ารู้จักแต่ทำไรทำนา หาบน้ำ ยิงนกตกปลาเท่านั้น”
ชายชราตาเป็นประกาย ไม้เท้าในมือพุ่งวกวนจู่โจมเข้าใส่ราวกับเป็นสิ่งมีชีวิต เด็กชายมองดูเส้นทาง คาดเดาจากท่วงท่า ก่อนเคลื่อนไหวทีหลังถึงก่อน เศษไม้คานในมือพอดีกระแทกปัดไม้เท้าให้เบี่ยงเบนไปได้อย่างฉิวเฉียด
‘หากในไม้คานแฝงพลังเอาไว้ บางทีแม้แต่เราเองก็อาจพลาดพลั้งได้’ ชายชราบังเกิดความสงสัยขึ้นไม่จบสิ้น ‘หรือว่าคำทำนายจะเป็นจริง’ แม้จะเป็นผู้รับหน้าที่ออกเดินทางค้นหา แต่ชายชรากลับไม่เคยมั่นใจ
‘ผู้นำมาซึ่งสมดุล’
พิกัดที่แก้ได้จากสมการในบันทึกโบราณบ่งบอกถึงดวงดาวล้าหลังแห่งนี้ ซึ่งไม่มีวี่แววของวิชาการต่อสู้เลยสักนิด แต่เด็กคนนี้ราวกับเป็นตัวประหลาด ความสงสัยตั้งแต่แรกเห็นของชายชรานั้นไม่ผิดพลาด ทั้งท่วงท่าการเคลื่อนไหว ความสมดุลแม่นยำ จะขาดไปก็เพียงพลัง ซาโต ภายในกายเท่านั้น
ชายชราตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ‘ไม่มีเวลาให้เสียอีกต่อไป คงต้องเสี่ยงเชื่อคำทำนายดูสักครั้ง’
“เจ้าชื่ออะไร”
“โธพิ” เด็กชายตอบไปตามตรง
“เจ้าอยากเรียนรู้วิชาการต่อสู้หรือไม่”
“ไม่” เด็กชายตอบโดยไม่ลังเล ชายชราหัวเราะอีกครั้ง ไม้เท้าในมือพุ่งวูบวาบ หลอกซ้าย จู่โจมขวา เด็กชายไม่ทันระวังจึงหลงกลถูกตีไปสองทีซ้อน จนร้องโอดโอย
“ไม่ วิชาการต่อสู้ของท่านไร้ประโยชน์ การทำร้ายผู้อื่นนั้นเป็นสิ่งไม่ดี”
“อย่างนั้นหรือ” ชายชรายกมือขึ้นเกาหัว ก่อนตวัดไม้เท้าผนึกพลังซาโตไว้ในกาย แล้วกระแทกใส่พื้นดินจนเป็นรอยแยกราวกับโดนไถด้วยคราด “หากทำแบบนี้ได้จะมีประโยชน์ยิ่งยวดใช่หรือไม่”
เด็กชายตาวาวนึกถึงผืนนากว้างไกลที่ต้องไถ ก่อนพยักหน้ายอมรับพร้อมกล่าวเบาๆ “เช่นนี้จึงนับว่ามีประโยชน์”
ชายชรานึกขัน วิชาการต่อสู้ พลังซาโตอันไร้ที่สุดแห่งจักรวาล ในสายตาของเด็กน้อยผู้นี้กลับมีประโยชน์เพียงเพื่อใช้นำไปไถพรวนผืนดินเท่านั้น แต่เพียงชายชราเดินย่ำอยู่บนดาวดวงนี้ไม่นาน พบเห็นวิถีชีวิตที่ไม่ต้องทะเยอทะยาน ไม่นำพาในเรื่องใด ชายชรากลับเกิดความคิดว่า ความเห็นของเด็กชายอาจถูกต้องก็เป็นได้
น่าเสียดายที่ชายชราไม่อาจลืมทุกสิ่ง ทอดทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง เพื่อใช้ชีวิตที่เหลืออย่างสงบ
พลังซาโตจำเป็นต้องมีผู้สืบทอด และหากเด็กชายผู้นี้ คือผู้ถือลิขิตแห่งคำทำนายจริง เขาก็มีหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่รอคอยอยู่ เป็นชะตาที่ไม่อาจปฏิเสธได้
“หากต้องการให้เราสอนสั่ง เจ้าเพียงคุกเข่าลง กราบเราเป็นอาจารย์ นับแต่นี้ทำตามคำสั่งเราอย่างเคร่งครัดทุกประการ”
เด็กชายกรอกตารอบหนึ่งพลันกล่าว
“ท่านอยากรับข้าเป็นศิษย์ ข้าอยากเรียนวิชาไถนาของท่าน พวกเราพบกันครึ่งทาง ข้ากราบท่านเป็นอาจารย์ คำสั่งของท่านหากข้าไม่ต้องการ ของดไม่กระทำจะได้หรือไม่”
“เจ้า” ชายชราอ้าปากค้าง ไม่นึกว่าเด็กชายผู้นี้จะกล้าต่อรอง และนึกไม่ถึงว่าจะมีใครกล้าเรียก หมัดสายฟ้า ว่าเป็น วิชาไถนา เยี่ยงนี้ แต่มันก็ทำให้รู้สึกถูกใจขึ้นมา มากกว่าท่าทางเรียบเรียบร้อยร้อยที่เห็นในตอนแรก
“ได้” ชายชราแสร้งทำท่าทางขึงขัง “แต่ตามกฏของสำนักเรา คำสั่งเสียของอาจารย์ถือเป็นเด็ดขาด เจ้ายอมรับหรือไม่”
เด็กชายนึกถึงตอนที่ปู่ของเขากำลังจะสิ้นลม สิ่งเดียวที่ปู่ต้องการ และเขายังคงจำได้ขึ้นใจก็คือน้ำ พอได้จิบลงไปสองสามคำปู่ก็สิ้นใจอย่างสงบ คงไม่มีใครมีความต้องการที่มากมายในยามสุดท้ายของชีวิต
เพราะในเวลาเช่นนั้นทุกสิ่งย่อมไม่สำคัญอีกแล้ว
เด็กชายพยักหน้า พร้อมกับคุกเข่าลงแล้วก้มคำนับสามครั้งจรดพื้น
“ข้า โธพิ ขอกราบท่าน ตาระ เป็นอาจารย์ หากแม้นท่านมีคำสั่ง หากข้าเห็นด้วยย่อมปฏิบัติตาม และคำสั่งเสียสุดท้ายของท่านอาจารย์ถือเป็นเด็ดขาด ข้าต้องทำให้ลุล่วงจนได้”
“ดี” ชายชราช่วยพยุงเด็กชายให้ลุกขึ้นยืน
“คำสั่งแรกของเราคือ ห้ามเจ้าบอกใครเกี่ยวกับเรา ทุกวันเจ้าต้องนำอาหาร น้ำดื่มมา และฝึกวิชากับเราอย่าได้ขาด เจ้าทำได้หรือไม่”
“ย่อมได้” เด็กชายลังเล “แต่ท่านจะหลับนอนที่ใด และข้าคงแบ่งอาหารมาให้ท่านได้ไม่มาก ไม่อย่างนั้นคนอื่นก็จะสงสัย”
“ข้ากินเพียงวันละมื้อ และป่าแถบนั้นก็ดูร่มรื่นย์ดี” ชายชราชี้ไปทางแนวป่าที่ไม่ไกลจากหมู่บ้านนัก แต่กลับดูรกร้าง เหมือนกับไม่มีผู้ใดเฉียดผ่านเข้าไปเนิ่นนานแล้ว
“ไม่ได้ ในนั้นมีตัว กิเลน อาศัยอยู่ มันเป็นสัตว์ประหลาดดุร้าย แต่จะไม่ออกมาหากินนอกเขตแดน ทุกคนต่างรู้ดีว่าหากเข้าไปแล้วย่อมไม่อาจกลับออกมาได้อีก”
ชายชรามองไป ในสายลมที่พัดมาจากทิศทางด้านนั้นคล้ายได้ยินเสียงคำรามฟังดูเหมือนกับลมพายุคลั่ง
“นั่นก็ยิ่งดี แสดงว่าจะไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปรบกวนเรา”
เด็กชายมองหน้าชายชราก่อนพยักหน้าช้าๆ “ใช่ ย่อมไม่มีใคร นอกจากกิเลนตัวนั้น”
“เจ้านั่นปล่อยให้เป็นธุระของเราเอง”
“ท่านแน่ใจ” มีความเป็นห่วงเจืออยู่อย่างชัดเจน
“เราย่อมแน่ใจ” ชายชรารู้สึกดีกับเด็กชายผู้นี้ นอกจากดูฉลาดเฉลียวผิดกับท่าทางภายนอกแล้ว ก็ยังมีความโอบอ้อมอารีย์ นับเป็นคุณสมบัติที่ดี
‘ผิดกับ เสินกวง’ ชายชรารีบปัดความคิดคำนึงนั้นทิ้งไป ก่อนเริ่มออกก้าวเดิน
“เอาล่ะ เจ้ารีบหาบน้ำให้เสร็จ แล้วติดตามไปอย่าได้ช้า” กลุ่มเมฆดำที่เบื้องบนคล้ายรับรู้ถึงการมาเยือนของผู้รุกราน พวกมันพากันลอยวนอยู่เหนือแนวป่า
“ท่านอาจารย์” เด็กชายเรียกหาอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง
“เราไม่เป็นไร”
เด็กชายเห็นชายชราก้าวเดินไปอย่างช้าๆ แต่ร่างกายกลับเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าระยะทางทั้งหมดถูกย่นย่อลงอย่างประหลาด
ชายชราจงใจแสดงฝีมือเพื่อให้เด็กชายสบายใจ และเพื่อเป็นการเคาะสนิมของตนเนื่องจากห่างหายจากการต่อสู้เสี่ยงชีวิตมาพักใหญ่ เลือดในกายเริ่มร้อน พลังซาโตไหลเวียนไปอย่างไม่ติดขัด ระบบประสาท และกล้ามเนื้อทั่วร่างถูกปรับแต่งเร่งเร้าขึ้นเรื่อยๆ
ตาระ ยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็น ในมุมหนึ่งมันดูสงบนิ่ง แต่ในอีกมุมหนึ่งนั้นกลับดูน่ากลัวอย่างประหลาด