น้องใหม่ ขอแนะนำตัวด้วยทริปสั้นๆ ช่วงสงกรานต์ครับ ... วัดสุทัศน์ วัดโพธิ์ CTW เอเชียทีค วัดกัลยา วัดอรุณ วัดระฆัง


กระทู้แรกในพันทิปครับ ขอแนะนำตัว และทดสอบโพสต์ไปในตัวนะครับ
สงกรานต์ปีนี้อยู่เฝ้ากรุงครับ ผมเลือกที่จะไปตามวัดต่างๆใจกลางเกาะรัตนโกสินทร์ตั้งแต่สองวันก่อนสงกรานต์ เพื่อเลี่ยงคลื่นมหาชน ถือว่าถ้าเราว่างก่อนก็ควรไปก่อนเฉลี่ยๆมวลชนกันไป วัดดังแห่งแรกที่ผมไปสักการะพร้อมทั้งได้โอกาสฝึกฝนการถ่ายภาพคือ วัดสุทัศน์ ซึ่งปกติก็ผ่านเป็นประจำ แต่ก็จะผ่านแล้วผ่านเลยไปเสมอ พอได้ตั้งใจมา ใช้เวลาเดินเล่นรอบๆ และมองหามุมสวยๆผ่านเลนส์แล้ว ทำให้รู้ว่าวัดสุทัศน์มีมุมสวยๆ ที่เราไม่เคยสังเกตเห็นอยู่มากมาย

อย่างพระพุทธรูปสีดำองค์นี้ ประดิษฐานอยู่รอบกำแพงล้อมอุโบสถ พระพุทธรูปสีดำขลับ กับฉากหลังที่เป็นกำแพงเก่าๆ มีร่องรอยสึกกร่อนตามธรรมชาติ ดูสวยและขลังมากๆ ใจจริงอยากจะเอาผ้าสะอาดๆขัดที่องค์พระเพิ่มความเงางามอีกสักหน่อย แต่ก็ไม่ทราบว่าสมควรหรือไม่ เลยได้องค์พระแบบฝุ่นจับ แต่ก็ดูขลังมากๆ

พระพุทธรูปปางสมาธิสีทองที่ประดิษฐานเรียงรายอีกด้านหนึ่งของกำแพงรอบอุโบสถ ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็งดงาม จากมุมนี้จะเห็นเป็นแนวหน้าตักไปจนสุดสายตา วัดไทยเราสวยงามแบบไม่ต้องปรุงแต่งอะไรเพิ่มจริงๆ

จุดหมายต่อไปของผมคือวัดโพธิ์ครับ คนเยอะแตกต่างจากที่วัดสุทัศน์มากมาย เพราะวัดโพธิ์เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่นักท่องเที่ยวต่างชาติมาเมืองไทยต้องมาเข้าชม มาสักการะพระประธานปางไสยาสน์ ที่เรียกว่ามีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลกไปแล้ว

และแล้วก็มาถึงวันมหาสงกรานต์ 13 เมษา ได้เวลาบันเทิง วันนี้คงไม่กล้าพกกล้องใหญ่ไปไหน แม้แต่มือถือจะหยิบขึ้นมาถ่ายรูปสักครั้งยังต้องมองแล้วมองอีกว่า ทางโล่ง ปลอดกระสุนปืนน้ำ ปีนี้ได้มาที่เซ็นทรัลเวิร์ลอีกครั้ง นับว่าเป็นสถานที่ที่จัดงานทั้งปีใหม่ สงกรานต์ต่อเนื่อง ยังคงรักษามาตรฐานไว้ได้ แถมยังเดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้าแม้ว่าวันแบบนี้อาจต้องเบียดกันสักหน่อย แต่ละคนก็ไม่ถือสากัน

แต่ตอนนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่ง ที่นับได้ว่าเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของกรุงเทพ เป็นอีกจุดหมายสำคัญที่นักท่องเที่ยวต่างชาติต้องแวะมาเที่ยว ก็คือ เอเชียทีค ศูนย์การค้าริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่แม้จะเปิดตัวไปไม่นาน แต่ก็ได้รับการตอบรับอย่างดี ด้วยแนวคิดในรูปแบบย้อนยุค และสถานที่ที่ถือเป็นจุดเด่นจุดแข็งอย่างมาก จับจุดนักท่องเที่ยวที่อยากได้แหล่งช้อปปิ้ง แหล่งร้านอาหาร ในบรรยากาศที่สวยสดงดงามริมแม่น้ำเจ้าพระยา แม้จะต้องเดินทางด้วยเรือต่อจากรถไฟฟ้าบีทีเอส ซึ่งถ้ามองในแง่ความสะดวกสบายก็อาจจะไม่เอื้ออำนวยนัก แต่ถ้ามองในแง่ของประสบการณ์ต่อสถานที่แล้ว ก็ต้องถือว่า สร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวได้อย่างดีทีเดียว

สถานที่อันกว้างขวางของที่นี่ เหมาะแก่การจัดอีเว้นท์ งานเทศกาลใหญ่จริงๆ ตอนปีใหม่ก็จัดงานใหญ่ไปครั้งหนึ่งแล้ว สงกรานต์ก็พลาดไม่ได้ แต่งานที่นี่ไม่ได้เน้นสาดน้ำสักเท่าไหร่ จะเป็นลักษณะนักท่องเที่ยว พาครอบครัวมาเที่ยวเล่นชมบรรยากาศมากกว่า ผมสังเกตเห็นว่า ที่เอเชียทีค จะมีผู้สูงอายุมากกว่าที่ท่องเที่ยวอื่นๆ เพราะบรรยากาศที่สร้างขึ้น เอื้ออำนวยให้เป็นที่ท่องเที่ยวของคนทุกวัย

ในสายตาของนักธุรกิจอย่างคุณเจริญ สิริวัฒนภักดี ที่มองเห็นศักยภาพของที่แห่งนี้ สร้างศูนย์การค้าที่มีแนวคิดในเรื่องของประวัติศาสตร์มาคู่กัน ในแง่ธุรกิจ การตอบรับอย่างดีแบบนี้คงทำผลตอบแทนที่ดีตามไปด้วย แต่ในแง่มุมของคนไทยคนหนึ่ง ซึ่งไม่ได้มีส่วนแบ่งอะไร ยังอยากจะขอบคุณ TCC Group ที่ก่อกำเนิดเอเชียทีคขึ้นมา กลายเป็นอีกจุดหมายหนึ่งในหนังสือท่องเที่ยว ที่นักท่องเที่ยวต้องมา เป็นอีกแม่เหล็กที่ช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศ ( ทำดี ถูกใจ ขอโปรโมตให้นิดนึงนะครับ )

แม้เรือจะโคลงเล็กน้อยจากเกลียวคลื่นในแม่น้ำเจ้าพระยา แม้กล้องจะสั่นไหลทำภาพเบลอไปบ้าง แต่จากสิ่งที่ผมเห็นตอนนี้ สิ่งที่ผมได้ยินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ผมยืนยันได้ว่า ประเทศไทยเราเป็นที่รักของนักท่องเที่ยวทุกคน และสงกรานต์ก็เป็นเทศกาลประจำชาติที่ Amazing ที่สุดในระดับโลก จบวันสงกรานต์ง่ายๆสไตล์คนกรุง ด้วยความประทับ และภูมิใจในความเป็นคนไทย และคนกรุงเป็นที่สุด

กระโดดข้ามมาวันที่ 15 ครับ วันนี้ผมใช้เวลาช่วงบ่าย นั่งรถเมล์มาลงแถวโรงเรียนศึกษานารี เดินมาทางวัดประยูร ที่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อที่จะเดินไปยังเส้นทางเท้า และทางจักรยานเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา บรรยากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝน ได้รูปสีทึมๆ แต่ก็ดีที่ไม่ร้อนครับ

จุดหมายแรกที่มาถึงก็คือโบสถ์ซางตาครู้ส โบสถ์คาทอลิกที่ทราบว่ามีมาตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี แต่ได้มีการสร้างใหม่หลังที่สองรูปแบบคล้ายศาลเจ้าจีน เลยเป็นที่มาของชื่อ วัดกุฎีจีน ก่อนที่จะสร้างใหม่เป็นแบบปัจจุบันสไตล์อิตาลี

ถัดมาก็จะเป็นวัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร ซึ่งจะสิ้นสุดทางเดินริมน้ำช่วงนี้พอดี ประวัติคร่าวๆที่ค้นหามาคือ ต้นสกุลกัลยาณมิตร ได้อุทิศที่ดินบริเวณหมู่บ้านกุฎีจีน สร้างวัดถวายสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 แล้วทรงสร้างพระวิหาร และพระประธานองค์ใหญ่ นามว่า พระพุทธไตรรัตนนายก หรือหลวงพ่อโต อย่างเช่นในสมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นที่เคารพสักการะอย่างมากในหมู่ชาวไทยเชื้อสายจีน มีชื่อเรียกในภาษาจีนว่า ซำปอกง

มีทั้งความเป็นจีน และไทยผสมผสานกันในวัดนี้

จากวัดกัลยา ไปวัดระฆัง สะดวกที่สุดคือการนั่งเรือ เป็นเรือเฉพาะกิจ วิ่งรับส่งนักท่องเที่ยวที่มาไหว้พระ 3 วัดดังริมแม่น้ำเจ้าพระยา วัดระฆัง-วัดอรุณ-วัดกัลยา 30 บาทไปกลับ ได้ชมวิวสวยๆ ริมเจ้าพระยาไปในตัว

วัดระฆังโฆสิตาราม เป็นวัดโบราณตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อวัดบางหว้าใหญ่ ได้รับการเลื่อนเป็นอารามหลวงในสมัยกรุงธนบุรี และเมื่อครั้งมีการบูรณะครั้งใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ 1 ได้ขุดค้นพบระฆัง จึงโปรดเกล้าให้นำไปไว้ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม แล้วสร้างชดเชยให้ 5 ใบ และพระราชทานนามว่า วัดระฆังโฆสิตาราม

และแล้วก็มาถึงไฮไลต์ วัดอรุณราชวราราม หรือวัดแจ้ง เป็นวัดที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา
ในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมีการอัญเชิญพระแก้วจากเวียงจันทน์มาไว้ที่นี่ ก่อนที่จะย้ายไปวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
ยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ มีการบูรณะเรื่อยมาจนเสร็จสิ้นในรัชกาลที่ 4 และได้พระราชทานนามวัดใหม่ว่า วัดอรุณราชวราราม

หลากหลายมุมของพระปรางค์ ในวันที่ฟ้าฝนไม่เป็นใจ ฟ้าครึ้มสลับกับฝนโปรย แสงน้อยไม่อาจขับสีสันขององค์พระปรางค์ได้มากนัก แต่ก็ให้ความรู้สึกถึงความขลัง สัมผัสได้ถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานที่สั่งสมมา



พระปรางค์วัดอรุณ จากพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ที่จะเสริมองค์พระปรางค์ให้สูงใหญ่เป็นมหาธาตุของพระนคร ลงมือก่อสร้างในสมัยรัชกาลที่ 3 จนได้พระปรางค์ที่มีความสูง 67 เมตร องค์พระปรางค์ก่ออิฐถือปูน ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสี ล้อมรอบด้วยปรางค์ทิศที่มุมฐาน และมณฑปทิศระหว่างปรางค์ทิศทั้ง 4 ได้รับการบูรณะครั้งใหญ่อีกครั้งในสมัยรัชกาลที่ 5 จนมีสภาพสมบูรณ์อย่างเช่นในปัจจุบัน

หลากหลายมุมที่งดงามในวัดอรุณ

ยักษ์วัดแจ้ง เล่าต่อๆกันมาว่า ครั้งหนึ่งเคยสู้รบกับยักษ์วัดโพธิ์ จนราพณาสูร เกิดเป็น "ท่าเตียน" หรือจะเป็นอีกเรื่องที่พิสดารกว่า คือ ยักษ์วัดแจ้งปะทะจัมโบ้เอ ที่เป็นภาพยนตร์เมื่อปี พ.ศ.2517 ก็ล้วนเป็นสิ่งบ่งบอกว่าครั้งหนึ่งยักษ์ตนนี้เคยเป็นฮีโร่ของคนไทยโดยเฉพาะเด็กๆในยุคนั้น
แต่แม้ว่าวันนี้เรื่องเล่าเหล่านี้จะสูญหายไปตามกาลเวลาไปแล้ว ยักษ์วัดแจ้งก็ยังยืนหยัดทำหน้าที่เฝ้าวัดแจ้งอยู่ตลอดมา

เพื่อนๆคนไหนเล่นเฟสบุค ไปพูดคุยกันได้ที่นี่ครับ www.facebook.com/lotslikelovediary

( ข้อมูล ความรู้ทั้งหมดได้จากอินเตอร์เนต และเว็บไซต์วิกิพีเดีย ผิดพลาดประการใดขออภัยไว้ ณ ที่นี้ครับ )
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่