.
เสรีภาพอันสูงสุด ในการที่จะรับและนับถือธรรมะประจำ
ชีวิต ( ให้มาอยู่ในจิตใจ ) ของตน ขอให้ทุกคนได้รับของขวัญอันนี้
คือ มีเสรีภาพในการที่จะรับถือธรรมะมาเป็นที่พึ่งของตน เสรีภาพ
เช่นนี้ เป็นเครื่องมือสำหรับขุดเพชร กล่าวคือเสรีภาพในการพิจาร
ณาเลือกเฟ้นข้อผิดถูก ในการที่จะรับถือพระพุทธศาสนานั่นเองดังที่
จะได้กล่าวต่อไปตามลำดับ
เสรีภาพในการรับถือพระพุทธศาสนานั้น คือหลักพระบาลี
กาลามสูตร ที่ตรัสไว้อย่างเป็นการประทานเสรีภาพสูงสุด เป็นประชา
ธิปไตยสูงสุด และก็เคยพูดเรื่องนี้มาหลายครั้งหลายหนแล้ว โดยใจ
ความก็มีว่า พวกชาวกาลามะได้ทูลถามพระองค์ว่า มีเจ้าลัทธิมาสอน
ลัทธิหลาย ๆ อย่างต่างกัน จนไม่รู้จะรับถืออย่างไรแล้ว จะทำอย่างไร
ดี พระพุทธองค์ได้ตรัสเรื่องที่เรียกว่ากาลามสูตร มี ๑๐ หัวข้อด้วยกัน
ขอให้จำไว้ว่า คำสอนทั้ง ๑๐ ข้อนี้ เรียกว่าเสรีภาพในการรับ
ถือธรรมะมาเป็นที่พึ่งของตน ดังนั้น อาตมาจะขอกล่าวเน้นและขยาย
ความทบทวนอีกทีหนึ่ง เพราะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ขอให้ตั้งใจฟัง
ให้ดี
ข้อที่ ๑ อย่ารับถือเอามาเป็นหลักปฏิบัติ เพราะเหตุว่าฟังบอก
ตาม ๆ กันมา
ข้อที่ ๒ อย่ารับถือเอามาเป็นหลักปฏิบัติ เพราะเหตุว่า เป็นการ
ปฏิบัติตาม ๆ กันมาอย่างปรัมปรา แบบเถรส่องบาตร
ข้อที่ ๓ อย่ารับถือเอามาปฏิบัติเพราะเหตุว่าเป็นเรื่องที่เล่าลือ
กันอยู่กระฉ่อนไป เหมือนครั้งหนึ่งเล่าลือกันเรื่องคนเกิดปีมะโรง มะ
เมีย มะแม อะไรก็ตาม จะต้องปฏิบัติอย่างนั้นอย่างนี้ มิฉะนั้นมัจจุราช
จะเอาตัวไป
ข้อที่ ๔ ว่าอย่ารับถือเอาด้วยเหตุผลเพียงว่า มีที่อ้างอยู่ในปิฎก
ข้อนี้จะได้กล่าวให้มากที่สุดในการบรรยายต่อไปข้างหน้า เพราะว่า
เป็นเรื่องสำคัญ คือเราในปัจจุบันงมงายต่อสิ่งที่เรียกว่าปิฎก หรือพระ
ไตรปิฎกกันมากเกินไป ทำให้เป็นที่เยาะเย้ยได้ว่าเป็นทาสของพระไตร
ปิฎกกันเสียทุกตัวอักษรอย่าขัดต่อคำสั่งสอนข้อนี้ของพระพุทธองค์
ข้อที่ ๕ อย่าถือเอาโดยอาศัยหลัก ตรรกะ เพราะเหตุเพียงมัน
เข้ากันได้กับเหตุผลทางตรรกะ
ข้อที่ ๖ อย่าถือเอาโดยอาศัยหลักปรัชญา เพราะมันเพียงแต่
เข้ากันได้กับหลักเหตุผลทางปรัชญา อย่าได้เชื่อโดยการคาดคะเน
ข้อที่ ๗ อย่าถือเอาโดยใช้ Commonsense คือ ตริตรึกไป
ตามอาการของความรู้สึกที่แวดล้อมอยู่ อย่าได้เชื่อโดยเพียงเห็นกิริ
ยาอาการภายนอก
ข้อที่ ๘ อย่าถือเอาเพราะมันเข้าได้กับความคิดเห็นของตนเอง
อย่าได้เชื่อโดยความชอบใจ ว่าต้องกันกับความคิดเห็นของตน ซึ่งที่
แท้อาจจะผิดทั้งหมดก็ได้
ทีนี้ก็มาถึงข้อที่ ๙ อย่ารับถือเอาเพราะเหตุว่า ผู้พูดมีคำพูด มี
ลักษณะท่าทาง หรือมีเครดิตใด ๆ ซึ่งน่าเชื่อหรือควรเชื่อ
ข้อสุดท้าย คือข้อที่ ๑๐ อย่ารับถือเอาเพราะเหตุว่า พระสมณะ
ผู้พูดนั้น เป็น " ครูของตน "
พระพุทธเจ้าทรงประทานเสรีภาพสูงสุดเกี่ยวกับพระองค์เอง
คือ พระองค์เองก็เป็นสมณะ และคนทั้งหลายก็นับถือว่าเป็นบรมครู แม้
กระนั้นก็อย่าเชื่อทันทีด้วยเหตุผลเพียงว่า สมณะนี้เป็นครูของเรา อาต
มาขอท้าทายให้ค้นหาคำสั่งสอนชนิดนี้ ว่ามีในศาสนาไหนบ้าง มันไม่มี
ในศาสนาไหนเลยมันมีแต่การผูกขาดให้เชื่อโดยส่วนเดียวไปเสียทั้งหมด
ทั้งหมดนี้ขอให้ทำความเข้าใจให้ดี ๆ อย่าได้ตกเป็นทาสของ
ความงมงาย ๑๐ ประการนั้น แต่ขอบอกว่า พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ห้าม
ไม่ให้เกี่ยวข้องกับสิ่งทั้ง ๑๐ ประการนั้น แต่จะเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านั้น
สำหรับนำมาใคร่ครวญได้ตามสมควร จะฟังเขาพูดก็ได้ จะฟังเสียงเล่า
ลือก็ได้ แต่ยังไม่เชื่อ เอามาใคร่ครวญดูว่ามันจะดับทุกข์ได้หรือไม่ ถ้ามี
วี่แววว่าจะดับทุกข์ได้ ก็ลองปฏิบัติดูได้ แล้วจึงค่อยเชื่อ
พระพุทธองค์ได้ทรงประทานคำแนะนำอันเป็นคำแนะนำที่ยอด
เยี่ยมที่สุด ในประวัติศาสตร์ศาสนาทั้งหลายว่า
" ดูก่อนกาลามะชนทั้งหลาย เมื่อใดท่านทั้งหลาย รู้ประจักษ์
ด้วยตนเองว่า ธรรมะทั้งหลายเหล่าใดเหล่าหนึ่ง เป็นอกุศล ผิดพลาด
ชั่วร้าย มีโทษ เมื่อนั้นจงละทิ้งธรรมะเหล่านั้นเสีย
และเมื่อใดท่านทั้งหลาย รู้ประจักษ์ด้วยตนเองว่า ธรรมะทั้ง
หลายเหล่าใดเหล่าหนึ่งเป็นกุศล ถูกต้อง ดีงาม มีประโยชน์เมื่อนั้นจง
ยอมรับเอาและปฏิบัติตามธรรมะเหล่านั้นเถิด
พระพุทธเจ้ายังทรงตรัสยิ่งไปกว่านั้นอีก คือพระองค์ตรัสบอก
แก่ภิกษุทั้งหลายว่า
" สาวกควรจะพิจารณาตรวจสอบแม้แต่องค์พระตถาคต
( พระพุทธเจ้า ) เอง เพื่อที่ว่าเหล่าสาวกทั้งหลาย จะได้มีความมั่นใจ
โดยสมบูรณ์ ในคุณค่าที่แท้จริงของศาสดาที่ตนประพฤติปฏิบัติตาม
หลัก ๑๐ ประการนี้ เรียกว่าเสรีภาพในการที่จะรับ หรือจะถือ
หรือจะมี หรือจะปฏิบัติธรรมเป็นเครื่องประจำชีวิต ถ้าเวลาที่แล้วมา
ท่านทั้งหลายยังไม่มีหรือยังไม่ได้ถือ ต่อไปนี้ก็ขอร้องให้ถือในฐานะ
เป็นของขวัญที่อาตมารับมอบมาจากพระพุทธเจ้า
เราอาศัยสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เองแล้วก็ใช้วิพากษ์วิจารณ์
ต่อธรรมะ ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสสอนไว้ ทั้งหมดทั้งสิ้น ก็จะได้พบของ
จริงตามพระพุทธประสงค์ ที่จะให้เราได้รับสิ่งเหล่านี้ แม้สิ่งที่เรียกกันว่า
พระไตรปิฎกก็ขอให้ใช้หลัก ๑๐ ประการนี้ กับพระไตรปิฎก แล้วเราก็จะ
ได้เนื้อแท้ของพระไตรปิฎก
จากหนังสือ การขุดเพชร ในพระไตรปิฎก
ของท่านอาจารย์ พระพุทธทาส ภิกขุ
The Matrix Really . Pt 1 . " เพชร " ในพระไตรปิฏก ... หัวใจ ของ " พระพุทธศาสนา "
The Matrix Really . Pt 17 . ยุคที่สำคัญที่สุด ของมนุษยโลก
The Matrix Really . Pt 18 . เสรีภาพอันสูงสุด ในการรับและนับถือธรรมะประจำชีวิตอยู่ในจิตใจ
เสรีภาพอันสูงสุด ในการที่จะรับและนับถือธรรมะประจำ
ชีวิต ( ให้มาอยู่ในจิตใจ ) ของตน ขอให้ทุกคนได้รับของขวัญอันนี้
คือ มีเสรีภาพในการที่จะรับถือธรรมะมาเป็นที่พึ่งของตน เสรีภาพ
เช่นนี้ เป็นเครื่องมือสำหรับขุดเพชร กล่าวคือเสรีภาพในการพิจาร
ณาเลือกเฟ้นข้อผิดถูก ในการที่จะรับถือพระพุทธศาสนานั่นเองดังที่
จะได้กล่าวต่อไปตามลำดับ
เสรีภาพในการรับถือพระพุทธศาสนานั้น คือหลักพระบาลี
กาลามสูตร ที่ตรัสไว้อย่างเป็นการประทานเสรีภาพสูงสุด เป็นประชา
ธิปไตยสูงสุด และก็เคยพูดเรื่องนี้มาหลายครั้งหลายหนแล้ว โดยใจ
ความก็มีว่า พวกชาวกาลามะได้ทูลถามพระองค์ว่า มีเจ้าลัทธิมาสอน
ลัทธิหลาย ๆ อย่างต่างกัน จนไม่รู้จะรับถืออย่างไรแล้ว จะทำอย่างไร
ดี พระพุทธองค์ได้ตรัสเรื่องที่เรียกว่ากาลามสูตร มี ๑๐ หัวข้อด้วยกัน
ขอให้จำไว้ว่า คำสอนทั้ง ๑๐ ข้อนี้ เรียกว่าเสรีภาพในการรับ
ถือธรรมะมาเป็นที่พึ่งของตน ดังนั้น อาตมาจะขอกล่าวเน้นและขยาย
ความทบทวนอีกทีหนึ่ง เพราะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ขอให้ตั้งใจฟัง
ให้ดี
ข้อที่ ๑ อย่ารับถือเอามาเป็นหลักปฏิบัติ เพราะเหตุว่าฟังบอก
ตาม ๆ กันมา
ข้อที่ ๒ อย่ารับถือเอามาเป็นหลักปฏิบัติ เพราะเหตุว่า เป็นการ
ปฏิบัติตาม ๆ กันมาอย่างปรัมปรา แบบเถรส่องบาตร
ข้อที่ ๓ อย่ารับถือเอามาปฏิบัติเพราะเหตุว่าเป็นเรื่องที่เล่าลือ
กันอยู่กระฉ่อนไป เหมือนครั้งหนึ่งเล่าลือกันเรื่องคนเกิดปีมะโรง มะ
เมีย มะแม อะไรก็ตาม จะต้องปฏิบัติอย่างนั้นอย่างนี้ มิฉะนั้นมัจจุราช
จะเอาตัวไป
ข้อที่ ๔ ว่าอย่ารับถือเอาด้วยเหตุผลเพียงว่า มีที่อ้างอยู่ในปิฎก
ข้อนี้จะได้กล่าวให้มากที่สุดในการบรรยายต่อไปข้างหน้า เพราะว่า
เป็นเรื่องสำคัญ คือเราในปัจจุบันงมงายต่อสิ่งที่เรียกว่าปิฎก หรือพระ
ไตรปิฎกกันมากเกินไป ทำให้เป็นที่เยาะเย้ยได้ว่าเป็นทาสของพระไตร
ปิฎกกันเสียทุกตัวอักษรอย่าขัดต่อคำสั่งสอนข้อนี้ของพระพุทธองค์
ข้อที่ ๕ อย่าถือเอาโดยอาศัยหลัก ตรรกะ เพราะเหตุเพียงมัน
เข้ากันได้กับเหตุผลทางตรรกะ
ข้อที่ ๖ อย่าถือเอาโดยอาศัยหลักปรัชญา เพราะมันเพียงแต่
เข้ากันได้กับหลักเหตุผลทางปรัชญา อย่าได้เชื่อโดยการคาดคะเน
ข้อที่ ๗ อย่าถือเอาโดยใช้ Commonsense คือ ตริตรึกไป
ตามอาการของความรู้สึกที่แวดล้อมอยู่ อย่าได้เชื่อโดยเพียงเห็นกิริ
ยาอาการภายนอก
ข้อที่ ๘ อย่าถือเอาเพราะมันเข้าได้กับความคิดเห็นของตนเอง
อย่าได้เชื่อโดยความชอบใจ ว่าต้องกันกับความคิดเห็นของตน ซึ่งที่
แท้อาจจะผิดทั้งหมดก็ได้
ทีนี้ก็มาถึงข้อที่ ๙ อย่ารับถือเอาเพราะเหตุว่า ผู้พูดมีคำพูด มี
ลักษณะท่าทาง หรือมีเครดิตใด ๆ ซึ่งน่าเชื่อหรือควรเชื่อ
ข้อสุดท้าย คือข้อที่ ๑๐ อย่ารับถือเอาเพราะเหตุว่า พระสมณะ
ผู้พูดนั้น เป็น " ครูของตน "
พระพุทธเจ้าทรงประทานเสรีภาพสูงสุดเกี่ยวกับพระองค์เอง
คือ พระองค์เองก็เป็นสมณะ และคนทั้งหลายก็นับถือว่าเป็นบรมครู แม้
กระนั้นก็อย่าเชื่อทันทีด้วยเหตุผลเพียงว่า สมณะนี้เป็นครูของเรา อาต
มาขอท้าทายให้ค้นหาคำสั่งสอนชนิดนี้ ว่ามีในศาสนาไหนบ้าง มันไม่มี
ในศาสนาไหนเลยมันมีแต่การผูกขาดให้เชื่อโดยส่วนเดียวไปเสียทั้งหมด
ทั้งหมดนี้ขอให้ทำความเข้าใจให้ดี ๆ อย่าได้ตกเป็นทาสของ
ความงมงาย ๑๐ ประการนั้น แต่ขอบอกว่า พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ห้าม
ไม่ให้เกี่ยวข้องกับสิ่งทั้ง ๑๐ ประการนั้น แต่จะเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านั้น
สำหรับนำมาใคร่ครวญได้ตามสมควร จะฟังเขาพูดก็ได้ จะฟังเสียงเล่า
ลือก็ได้ แต่ยังไม่เชื่อ เอามาใคร่ครวญดูว่ามันจะดับทุกข์ได้หรือไม่ ถ้ามี
วี่แววว่าจะดับทุกข์ได้ ก็ลองปฏิบัติดูได้ แล้วจึงค่อยเชื่อ
พระพุทธองค์ได้ทรงประทานคำแนะนำอันเป็นคำแนะนำที่ยอด
เยี่ยมที่สุด ในประวัติศาสตร์ศาสนาทั้งหลายว่า
" ดูก่อนกาลามะชนทั้งหลาย เมื่อใดท่านทั้งหลาย รู้ประจักษ์
ด้วยตนเองว่า ธรรมะทั้งหลายเหล่าใดเหล่าหนึ่ง เป็นอกุศล ผิดพลาด
ชั่วร้าย มีโทษ เมื่อนั้นจงละทิ้งธรรมะเหล่านั้นเสีย
และเมื่อใดท่านทั้งหลาย รู้ประจักษ์ด้วยตนเองว่า ธรรมะทั้ง
หลายเหล่าใดเหล่าหนึ่งเป็นกุศล ถูกต้อง ดีงาม มีประโยชน์เมื่อนั้นจง
ยอมรับเอาและปฏิบัติตามธรรมะเหล่านั้นเถิด
พระพุทธเจ้ายังทรงตรัสยิ่งไปกว่านั้นอีก คือพระองค์ตรัสบอก
แก่ภิกษุทั้งหลายว่า
" สาวกควรจะพิจารณาตรวจสอบแม้แต่องค์พระตถาคต
( พระพุทธเจ้า ) เอง เพื่อที่ว่าเหล่าสาวกทั้งหลาย จะได้มีความมั่นใจ
โดยสมบูรณ์ ในคุณค่าที่แท้จริงของศาสดาที่ตนประพฤติปฏิบัติตาม
หลัก ๑๐ ประการนี้ เรียกว่าเสรีภาพในการที่จะรับ หรือจะถือ
หรือจะมี หรือจะปฏิบัติธรรมเป็นเครื่องประจำชีวิต ถ้าเวลาที่แล้วมา
ท่านทั้งหลายยังไม่มีหรือยังไม่ได้ถือ ต่อไปนี้ก็ขอร้องให้ถือในฐานะ
เป็นของขวัญที่อาตมารับมอบมาจากพระพุทธเจ้า
เราอาศัยสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เองแล้วก็ใช้วิพากษ์วิจารณ์
ต่อธรรมะ ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสสอนไว้ ทั้งหมดทั้งสิ้น ก็จะได้พบของ
จริงตามพระพุทธประสงค์ ที่จะให้เราได้รับสิ่งเหล่านี้ แม้สิ่งที่เรียกกันว่า
พระไตรปิฎกก็ขอให้ใช้หลัก ๑๐ ประการนี้ กับพระไตรปิฎก แล้วเราก็จะ
ได้เนื้อแท้ของพระไตรปิฎก
จากหนังสือ การขุดเพชร ในพระไตรปิฎก
ของท่านอาจารย์ พระพุทธทาส ภิกขุ
The Matrix Really . Pt 1 . " เพชร " ในพระไตรปิฏก ... หัวใจ ของ " พระพุทธศาสนา "
The Matrix Really . Pt 17 . ยุคที่สำคัญที่สุด ของมนุษยโลก