คู่กรรม ตอนที่ 22

กระทู้สนทนา


กลางดึกของค่ำคืนนั้น แลเห็นรถยนต์ลึกลับ แล่นมาจอดแถวหน้าบ้านหลังหนึ่ง ชายคนที่นั่งอยู่ตอนหลังของรถ ซึ่งสวมหมวกหลุบบังหน้าหันมองซ้ายมองขวา ก่อนจะเปิดประตูก้าวลงจากรถ ท่าทีระแวดระวัง
       
       ภายให้ห้องประชุม ด้านในบ้านหลังนั้น แผนที่พระนครและธนบุรีถูกกางออกบนโต๊ะกลางห้อง หลวงชลาสินธุราช กำลังขีดวงตามจุดยุทธศาสตร์สำคัญต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นพระราชวังสำคัญๆ โดยมีป๋วย และเหล่าเสรีไทระดับสูง 3-4 นาย ยืนมองใกล้ชิด
       “พระราชวังเดิม..พระราชวังดุสิต..วังหน้า..วังหลัง..พระบรมมหาราชวัง..นี่คือจุดสำคัญทั้งหมด ที่เราต้องรีบแจ้งกับทางอินเดียโดยด่วน ไม่งั้นของคู่บ้านคู่เมืองเราจะเสียหายยับแน่” คุณหลวงว่า
       ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย
       “เข้ม สถานีวิทยุเจบีเจของคุณ…” คุณหลวงหันไปทางป๋วย
       “ครับไม่มีปัญหา”
       สารวัตรองอาจเปิดประตูเข้ามา ถอดหมวกออก ทุกคนหันไปมอง
       “พญานาค…” เสรีไทยคนหนึ่งทักทาย
       “ผมมีข่าวสุดแสนพิเศษมาบอก” สารวัตรองอาจบอกยิ้มๆ
       ทุกคนสีหน้างง
       “อะไรหรือพญานาค” หลวงชลาสินธุราชตื่นเต้น
       “ผมเพิ่งกลับจากบ้านท่าน...เอ่อ พูเลา”
       “พูเลา” หลวงชลาสินธุราชทวนคำ
       ทุกคนทวนชื่อ สีหน้ายิ่งงง
       “ช้างพลายแถวเชียงใหม่” คุณหลวงเดา
       “ใช่และไม่ใช่..นี่ละข่าวดีของพวกเรา เพราะพูเลา หรือท่านหลวงอดุลย์...”
       ทุกคนฟังสารวัตรองอาจพูด ต่างมีสีหน้าประหลาดใจ กึ่งจะดีใจ แทบจะระเบิดออกมา
       “ได้ตอบรับข้อเสนอของทางพญาอินทรี” สารวัตรองอาจหมายถึงอเมริกา “ที่จะสนับสนุนขบวนการเสรีไทยของเราทุกรูปแบบ รวมไปถึงจะสนับสนุนทางการเมืองหลังสงครามยุติแล้ว”
       “พูเลา...ท่านอธิบดีตำรวจ นี่จริงแล้วหรือ” คุณหลวงไม่คาดคิด
       สารวัตรองอาจยิ้ม พยักหน้า ทุกคนร้องเฮลั่น
       หลวงชลาสินธุราชยิ้มชื่นมื่น หน้าบาน ดูมีความหวังขึ้นมา
       
       เช้าวันต่อมา แลเห็นธงอาทิตย์อุทัยปลิวไสวเหนืออู่ กลางแสงแดดยามเช้า ปั้นจั่นกำลังถูกเคลื่อนเข้ามายังจุด โกโบริยืนหน้าดำคร่ำเคร่งกับการควบคุมสั่งการทหาร สีหน้าล้าๆ แววตาเศร้าๆ ซึมๆ พลางหันบอกอธิบายกับฮิชิดะที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
       เคสุเกะที่อยู่อีกมุมหนึ่งคอยแอบมองจับสังเกต กับทหารอีกคน
       “ผู้กองไปพม่าจริงใช่มั้ยนี่” ทหารถาม
       “น่าจะจริงแล้ว ก็นั่นล่ะผู้หมวดฮิชิดะที่จะมาแทน” เคสุเกะว่า
       “พี่ว่ามั้ย ผู้กองดูไม่ค่อยเฮฮาเหมือนแต่ก่อน เงียบๆ ไปเยอะ”
       “อืม ก็น่าจะจริงเหมือนกัน”
       เคสุเกะมองจับสังเกตโกโบริต่อไป
       เห็นทหารคนหนึ่งวิ่งเอาจดหมายตรงเข้าไปยื่นให้โกโบริ โกโบริมีสีหน้าประหลาดใจกึ่งพอใจภายใต้สีหน้าที่นิ่งเรียบ ก่อนโกโบริบอกอะไรบางอย่างกับฮิชิดะ แล้วเดินแยกหลบไป เคสุเกะมองตามโกโบริไปห่วงๆ
       
       โกโบริกางจดหมายแม่ออกอ่าน ราวกับเสียงแม่มาอ่านจดหมายให้ฟังข้างหู
       “แม่ได้รับจดหมายจากลูกแล้ว แม่ดีใจมากๆ ลูกสบายดีใช่ไหม ทุกคนที่นี่เป็นห่วงลูกกันทุกคน ที่นั่นสถานการณ์เป็นยังไงบ้าง ลูกไม่ต้องห่วงทางนี้ ทุกคนยังสบายดี เรื่องหลาน ลูกของลูก.. พ่อและญาติๆเขาดีใจกันยกใหญ่ เตรียมหาข้าวของไว้รับขวัญกันแล้ว นะ แม่กับพ่อนั่งนับวันรอวันนั้นกันอยู่ สุดท้ายนี้แม่ฝากความเป็นห่วงถึงภรรยาของลูกด้วย ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์จงคุ้มครองให้ลูกปลอดภัย รัก จากแม่
       โกโบริถอนใจเบาๆ เศร้าสุดๆ
       
       ด้านอังศุมาลินยังนอนพักอยู่ในห้อง สีหน้าหม่นเศร้า สายตามองทอดผ่านกรอบหน้าต่างออกไปยังท้องฟ้าที่อยู่แสนไกล
       “อร...อร มานี่เร็ว” เสียงยายร้องดังเข้ามา
       อังศุมาลินขยับตัว เหลียวมองออกไปทางประตูห้องที่เปิดค้างไว้
       แม่อรรีบออกมาจากครัว เห็นยายศรยืนอยู่กับทหารญี่ปุ่น 2 คนที่หอบเอาลังใหญ่ 2 ลังมาวาง
       “จากพ่อโกโบริใช่ไหม”
       “อา..ไฮ้ นี่ด้วยครับ จากผู้กองโกโบริ”
       ทหารคนหนึ่งควักยื่นซองสีน้ำตาล ซึ่งเป็นซองเงินเดือนให้แม่อร
       “ไปละครับ...ไฮ้”
       “ไฮ้...จ๊ะๆ” แม่อรตอบ
       ทหารสองคนทำความเคารพแข็งขัน ก่อนหันลงบันไดหายไป ยายศรมองๆ ลังตรงหน้า แม่อรเดินมาที่หน้าประตูห้อง พร้อมซองที่ได้รับมาในมือ
       “อัง ลูก...พ่อดอกมะลิเอาของมาให้”
       อังศุมาลินที่คอยฟังอยู่ ทิ้งตัวลงนอนเช่นเดิม
       “ค่ะแม่”
       
       เวลายามบ่าย ที่สถานีรถไฟบางกอกน้อย บรรยากาศแสนคึกคักวุ่นวาย เห็นขบวนรถจักรจอดนิ่ง มีทหารญี่ปุ่นเดินไปมาวุ่นวายมากมาย ตู้โบกี้ลำเลียงยุทธปัจจัย ถูกเปิดออก เห็นเป็นเครื่องจักรชิ้นโตวางอยู่ โกโบริ ยืนมองดูเครื่อง มีเคสุเกะยืนอยู่ด้วยข้างๆ
       
       ระหว่างนั้นตาผล โผล่จากมุมหลบมุมหนึ่ง มองไปเห็นทหารญี่ปุ่นมากมาย รวมทั้งโกโบริที่กำลังยืนคุยกับเคสุเกะและทหารอีก 2-3 คน ที่นำเครื่องจักรมาส่ง ไม่ได้เน้นว่าสังเกตเห็นอะไร
       ตรงอีกมุมหนึ่งที่ไม่มีใครทันสังเกต ตาบัว กะตาผล โผล่ชะโงกหน้าด้อมๆ มองๆ ไปมา ก่อนที่ตาผล หันไปสะกิดชายอีกคนที่หลบซุ่มอยู่ข้างๆ
       
       ที่แท้เป็นเสรีไทย เรเว่น ค่อยๆ โผล่ชะโงกหน้ามามองสังเกตโดยรอบ ด้วยสีหน้าจริงจัง ราวกับจะมองเพื่อบันทึกทุกสิ่งอย่างเก็บไว้ให้ครบ
จานข้าว และแก้วน้ำไม่พร่องเลย และวางแห้งอยู่อย่างนั้น อังศุมาลินนอนหลับตานิ่ง ซึมเซา ไม่มีชีวิตชีวา
       
       ระหว่างนั้นแลเห็นเท้าทหาร ในรองเท้าบู้ธกำลังเดินขึ้นชั้นพักที่บันไดมา อังศุมาลินได้ยิน ลืมตาโพลงขึ้น สีหน้าดูมีความหวัง
       ทหารคนนั้นเดินมาหยุดยืนที่หน้าห้อง อังศุมาลินมองจ้องไปข้างหน้าเขม็ง
       ตรงหน้ายังมีพวงมาลัยดอกมะลิ ที่แม่อรร้อยแบบง่ายๆ วางไว้ให้หอมๆ ที่ข้างหมอน
       อังศุมาลินเอื้อมมือไป หยิบดอกมะลินั้นมา สูดดมแบบอ่อนๆ พร้อมๆ กับมีเสียงเคาะประตูเบาๆ
       อังศุมาลินวางพวงมาลัยมะลิลง เอามือวางที่ท้องเบาๆ เหมือนประคองตัวเอง แล้วค่อยๆ ขยับตัวหันไป พลิกตัวช้าๆ หันไปทางประตู มองอย่างมีหวัง
       พอประตูเปิดออก คนที่ก้าวเข้ามา คือหมอทาเคดะ ที่โค้งให้ แล้วนั่งลง สีหน้าอังศุมาลินผิดหวังชัดเจน แต่ก็ยังฝืนยิ้มให้
       อังศุมาลินทักทายเศร้าๆ “คุณหมอ...”
       “ผมนึกว่าโกโบริจะกลับมาแล้วเสียอีก เขาไปสถานีรถไฟ สงสัยธุระคงจะยืดเยื้อ” หมอว่า
       อังศุมาลินรับทราบสั้นๆ “ค่ะ”
       “อังซัง..เป็นยังไงบ้างครับ” หมอทาเคดะถาม
       “ไม่เป็นไรค่ะ” อังศุมาลินดูใจลอยๆ เหม่อไปทันที
       
       หมอทาเคดะเปิดกระเป๋า หยิบเครื่องมือแพทย์ต่างๆ ออกมาวางบนผ้า
       ใบหน้าอังศุมาลิน มองออกไปที่หน้าต่าง มองม่านปลิวไปตามแรงลมๆ อย่างเลื่อนลอย
       
       หมอทาเคดะกำลังวัดชีพจรอังศุมาลินอยู่ อังศุมาลินค่อยๆ หลับตาลง ใบหน้าอังศุมาลินเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่
       ภาพในความคิดของอังศุมาลิน เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหลายๆ วันที่ผ่านมา ก่อนจะเกิดเหตุการณ์ร้าย
       ขณะนั้นฝนตกพรำๆ ที่หน้าต่าง
       อังศุมาลินทอดสายตายืนดูสายฝน ส่วนโกโบริที่ใส่ยูกาตะ อยู่บ้าน เขียนอะไรอยู่ง่วน อังศุมาลินหันกลับมา
       โกโบริกำลังเขียนรูปด้วยพู่กันแบบญี่ปุ่น เป็นรูปต้นสนที่มีฝนกำลังตกใส่ โกโบริเขียนเป็นเส้นประๆๆๆ สายฝน
       ข้างๆ มีบทกวีเขียนอยู่เป็นแถวแบบสวยงาม เหมือนเป็นภาพเขียนศิลปะ
       “คุณเขียนรูปสวยเหมือนกันนะคะ”
       โกโบริคุยโว “คุณไม่รู้ตัวหรอก ว่าคุณแต่งงานกับใคร”
       “ใครคะ”
       “ศิลปินใหญ่”
       อังศุมาลินหัวเราะ “จริงเหรอคะ...งั้นนี่..อะไรคะ...บทกวีเหรอ”
       “ใช่..แต่..ผมไม่ได้แต่งเองหรอก จำเขามาอีกที” โกโบริบอก
       “ว่ายังไงคะ”
       โกโบริอ่านบทกวี อย่างตั้งอกตั้งใจ เป็นคำญี่ปุ่น
       “สายน้ำไหลผ่านแก่งหิน ยังกระซิบคำอำลาต่อกัน
       สายฝนหล่นพรำ ยังสั่งลาหมู่เมฆ
       แต่เมื่อเธอจากฉัน ไม่มีคำลาใดๆทั้งสิ้น
       ราวหยาดหิมะที่โปรยปราย แล้วละลายหายสูญไปกระนั้น”
       อ่านภาษาญี่ปุ่นเสร็จ ก็แปลไทยต่อแล้วยิ้มละไม
       
       สีหน้าอังศุมาลินดูผ่อนคลาย ทั้งที่ยังหลับตา เสียงฝนที่ตกค่อยๆ จางไป หมอทาเคดะที่เพิ่งตรวจดูอังศุมาลินเสร็จปลดหูฟังออกจากหู ยิ้มออกมาอย่างพอใจ
       
       “ไม่มีอะไรน่าห่วงแล้วนะ อังซัง”
       อังศุมาลินเหมือนตื่นจากความฝัน ลืมตามา มองงงๆ
       “อะไรนะคะ”
       หมอทาเคดะมองมาอย่างห่วงๆ “คุณหลับหรือ..ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว.. ทั้งตัวคุณและเด็กตอนนี้ผมอนุญาตคุณหยิบจับ ลุกเดินได้ปกติ แต่ต้องค่อยๆ ก่อนนะ และขอห้ามทำอะไรหนักๆ เด็ดขาด”
       อังศุมาลินฟัง ใจยังลอยๆ
       “ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
       ทาเคดะเหลียวมองไปทางถาดจานข้าว
       “แล้วก็ ควรทานอาหารให้เป็นเวลา เพื่อตัวคุณเอง รวมไปถึงตัวเด็กในท้องด้วยนะ”
       “ค่ะหมอ..ขอบคุณมากค่ะ” อังศุมาลินหลับตาลง ท่าทางอ่อนเพลีย
       หมอทาเคดะมองหน้าอังศุมาลิน ขมวดคิ้ว กังวลกับอาการที่เห็น
       ที่อู่ต่อเรือญี่ปุ่นเย็นนั้น เครื่องจักรชิ้นใหญ่กำลังถูกยก โรยตัวลงมาช้าๆ ด้วยปั้นจั่น โกโบริกำลังยืนกำกับอยู่อย่างใกล้ชิด ใส่กางเกงขาสั้น เสื้อไม่ใส่ มีแค่ผ้าขาวคาดหน้าผาก เนื้อตัวมอมแมม เหงื่อโทรมกาย
       โกโบริตะโกนดังลั่น “ช้าๆ ทางซ้าย...มาทางซ้ายอีก”
       หมอทาเคดะเดินมา เมียงๆ มองๆ จับสังเกตอาการโกโบริ อยู่ครู่หนึ่งก่อนร้องตะโกนทัก
       “กำลังยุ่งเชียวนะผู้กองโกโบริ”
       โกโบริหันมาเห็น ทักตอบ “อ้าวหมอ” แล้วหันกลับไปสั่งต่อ “มากไป กลับไปๆ นั่นละ พอๆ ตรงนั้นล่ะ”
       โกโบริเดินปาดเหงื่อ เข้ามาหาหมอทาเคดะ
       “มีอะไรหมอ มาถึงตรงนี้ทำไม มันอันตราย”
       “งานเป็นยังไงบ้าง”
       “ก็ยังไม่ได้เท่าไหร่ เครื่องจักรยังมาไม่ครบเลย แถมบางชิ้นที่ส่งมาก็ต้องมาซ่อมอีก”
       “ทำไม ไม่กลับไปบ้านเลย” หมอถาม จ้องหน้ารอฟังคำตอบ
       โกโบริก้มหน้านิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วเงยหน้ามองหมอทาเคดะ
       
       “มาถามกันอย่างนี้...” โกโบรินึกห่วงอังศุมาลิน สีหน้าเป็นกังวลขึ้นมา “เกิดอะไรขึ้นหรือหมอ”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่