หลอนวิปลาส............(รัก หลอน ลืม)

กระทู้สนทนา
========================
หลอนวิปลาส............(รัก หลอน ลืม)
========================

         สายลมยามดึกเย็นสบาย บางครั้งสัมผัสได้ถึงความเย็นชื้นแบบพิเศษของน้ำค้างพร่างพรม  ท้องฟ้ามีเสี้ยวจันทร์และดาราราย คืนนี้ผมไม่ได้แหงนหน้าขึ้นมองบ่อยครั้งนัก ทั้งที่ปกติชอบมองท้องฟ้ายามค่ำคืนกับความรู้สึกคล้ายบรรลุอะไรสักอย่าง ท้องฟ้ายามค่ำมีเสน่ห์ในแบบฉบับของมันเอง

        ร้านอาหารริมทางแห่งนี้จัดแบบเรียบง่าย โต๊ะเก้าอี้ทำมาจากไม้สักและรั้วไม้ไผ่เรียงรายกั้นอาณาเขตร้านให้ความรู้สึกคลาสสิก ผมแน่ใจว่าคิดถูกแล้วกับการเลือกนั่งโต๊ะด้านนอกชายคาร้าน เพื่อสัมผัสธรรมชาติ ผู้คนบางตาไม่หนาแน่นมากมายเหมือนร้านอาหารมีชื่อ  ซึ่งร้านพวกนั้นผมจะไม่เคยเข้าไปเป็นลูกค้าเพราะไม่ชอบการเบียดเสียดแก่งแย่งเพียงรสชาติของอาหารเท่านั้น ไม่ว่าจะขึ้นชื่อเรื่องความอร่อยปานใดก็ตาม ไม่มีความจำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้น  สู้เลี่ยงหลบมุมมาร้านซึ่งผู้คนไม่แออัดยัดเยียดดีกว่า

        หญิงสาวซึ่งนั่งเก้าอี้ตรงกันข้ามเธอคงคิดแบบผมเหมือนกัน เพราะทุกครั้งเมื่อเธอมาร้านแห่งนี้ เรามักเลือกนั่งโต๊ะชมดาวด้านนอกชายคาร้านเสมอ

        อาหารวางเรียงรายบนโต๊ะ แต่ดูเหมือนเราทั้งสองยังไม่มีแก่ใจจะจัดการอาหารพวกนั้นอย่างจริงจังนัก อากาศภายนอกเยือกเย็นแต่ในหัวใจของผมเหมือนระอุรุ่มร้อน

        “ทำไมคุณไม่บอกผม”

        นั่นเป็นประโยคสำคัญซึ่งผมถามเธอเป็นครั้งที่สองแล้วของการสนทนาก่อนอาหารแต่ยังไม่ได้รับคำตอบอย่างชัดเจน ทำให้รู้สึกหงุดหงิดมากขึ้น

        “ผู้หญิงก็เป็นแบบนี้”

        เปล่า...ผมไม่ได้พูดออกไปอย่างที่คิด แม้ว่าจะหงุดหงิดกับอาการอ้ำอึ้งไม่พูดอะไรออกมาให้รู้เรื่อง เข้าใจดีว่าผู้หญิงทุกคนไม่เป็นแบบนี้ แต่หลายคนซึ่งผมรู้จักก็เป็นอย่างที่ว่า เวลาอยากให้พูดกลับไม่เอ่ยปาก เวลาไม่อยากให้พูดกลับเจื้อยแจ้วเจรจาน้ำไหลไฟดับ

        เธอก้มหน้า แสงไฟสลัวแรเงาเสี้ยวหน้าซึ่งมีเรือนผมดำขลับยาวสยายปิดแก้มบางส่วน ทำให้เหมือนเป็นภาพวาดอันเป็นงานศิลปะพิเศษชนิดหนึ่ง และผมก็ยังนึกไม่ออกว่าจะมีงานศิลปะทางธรรมชาติอะไรจะสวยงามล้ำลึกมากไปกว่าผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นขุนเขา แมกไม้ สายธาร หรืออะไรก็ตาม ดังนั้นผมจึงไม่ชอบท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ เพราะรอบตัวยังมีสิ่งคู่ควรในการชื่นชมมากมายรายรอบ เพียงถ้าคิดจะประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์และความสุขทางใจกับตนเอง

        ผมพยายามสะกดอารมณ์ตัวเองอย่างยากลำบาก จะว่าโกรธก็ไม่ใช่ หากเป็นความเสียใจและผิดหวังมากกว่า เป็นคุณจะรู้สึกอย่างไรถ้าคนซึ่งเรารักปิดบังเรื่องสำคัญเอาไว้โดยไม่ยอมปริปาก กระทั่งเรารู้ความจริงด้วยตัวเอง อาจไม่ถึงขั้นรู้สึกว่าถูกทรยศหักหลัง แต่ก็ทำให้รู้สึกถึงเจ็บปวดสับสนพิสดารชนิดหนึ่ง

        ยิ่งรักมากยิ่งเจ็บปวดมาก ผมประเมินระดับความรักซึ่งมีต่อเธอไม่ถูก รู้เพียงสมมุติว่า ถ้าเธอลุกขึ้นแล้วเอาปืนมาจ่อยิง ผมพร้อมจะตายด้วยน้ำมือของเธอโดยไม่ยอมหนีไปไหน ฟังดูอาจเหลือเชื่อแต่ผมคิดแบบนี้จริงๆ

        สำหรับผมแล้วความรักคือความมหัศจรรย์ชนิดหนึ่ง

        บนโต๊ะมีหอยแครงลวกอยู่จานหนึ่ง ลวกแบบกึ่งสุกกึ่งดิบ กึ่งเป็นกึ่งตาย แต่ถึงตัวผมไม่ใช่หอยก็แน่ใจว่าพวกมันเสียชีวิตหมดแล้วแน่นอนจากการโดนลวกด้วยน้ำร้อนจนตายทั้งเป็น  สงสัยว่าวิญญาณพวกหอยแครงจะลอยวนเวียนไปมาอยู่เหนือจานหรือเปล่า.. พยายามคิดในแง่ดีว่าถ้าผมกินหอยแครงจานนั้น วิญญาณพวกมันคงไม่เฮี้ยนถึงกับกลายเป็นผีหอย มาหลอกหลอนผมหรอก ดังนั้นผมจึงใช้ส้อมจิ้มหอยตัวหนึ่งเป็นการระบายอารมณ์มากกว่าจะตั้งใจกิน เลือดสีคล้ำพุ่งออกมาจนทำให้นึกถึงเลือดของพวกซอมบี้ซึ่งถูกยิงหัวกระจุย ซึ่งทำให้ต้องมองอย่างไม่แน่ใจและวางมันลงบนจานแทนการยัดใส่ปาก เมื่อนึกถึงซอมบี้หอยแบบไม่มีเหตุผล

        เธอจ้องมองหอยแครงในจานเหมือนพยายามหลบสายตา ก้มหน้าถามเสียงแผ่วว่า

        “ถ้าฉันเป็นหอยแครง คุณจะรักฉันไหมคะ”

        ถ้าในอารมณ์ปกติผมจะตอบเธอว่า ไม่ว่าคุณจะเป็นอะไร ขอเพียงมีความเป็นคุณอยู่ในนั้นผมจะรักคุณไม่เปลี่ยนแปลง เพราะความรักของผมก้าวข้ามพ้นระดับคนทั่วไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว แต่ตอนนี้อารมณ์ของผมไม่ปกติจึงจ้องหน้าแล้วตอบเสียงห้วนว่า

        “ถ้าคุณเป็นหอยแครงลวก ผมจะกินคุณ”

        กล่าวจบก็หยิบส้อมซึ่งมีเนื้อหอยแครงลวกตัวเขื่องเสียบติดอยู่ขึ้นมาจากจาน ส่งหอยแครงชะตาขาดเข้าปาก จงใจเคี้ยวช้า ๆ แบบเลือดเย็น เคี้ยวพลางพูดพลาง

        “ไม่ต้องมาเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง ทำไมคุณไม่บอกผม”

         “ฉันกลัวว่าคุณจะเสียใจ..”

        ในที่สุด เธอก็ตอบคำถามนั้นออกมาจนได้ เหมือนจะรู้ว่าถ้าไม่ตอบผมอาจเกิดอาการสติแตกลุกขึ้นวิ่งแบบไร้จุดหมายปลายทาง หรืออาจถึงขั้นสั่งหอยแครงลวกมากินจนหมดร้าน

        เธอกลัวผมเสียใจ....ฟังดูก็มีเหตุผลดี แต่กับผมแล้วไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด จึงแค่นเสียงถามว่า

        “คิดหรือว่าเมื่อผมมารู้ตอนหลังแล้วผมจะไม่เสียใจ”

        เธอส่ายหน้า อาการแบบนั้นไม่ใช่การปฏิเสธ แต่เป็นการหาคำพูดอธิบายอะไรไม่ได้กับการคิดเองเออเอง ตามแบบฉบับของผู้หญิง ซึ่งหลายคนมักเป็นแบบนี้ จากความคิดกลายเป็นความเชื่อที่ขยายตัวออกไปอย่างรวดเร็วราวการระเบิดของบิกแบง
“เพียงคุณบอกผมตั้งแต่แรกเท่านั้น....” ผมบอกเธอด้วยเสียงสั่นสะท้านเต็มไปด้วยความรู้สึก “เพียงแต่บอกให้ผมรู้ความจริงตั้งแต่แรก เรื่องคงไม่เป็นแบบนี้”

        “ฉันบอกแล้วไงคะว่า ฉันกลัวคุณเสียใจ..”

        เธอเงยหน้าเอ่ยปากเสียงแผ่ว แววตาวาววามคู่นั้นทำให้รู้สึกเจ็บปวดลึกๆ ดูเหมือนเธอกำลังเริ่มร้องไห้ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งเลวร้ายที่สุด เพราะผมเป็นคนแพ้น้ำตาของผู้หญิง

        “จะให้ฉันบอกคุณยังไงคะว่า ฉันตายไปตั้งแต่เครื่องบินตกสัปดาห์ที่แล้ว คุณจะรับได้หรือคะ”

        ถึงผมจะรู้มาก่อนแล้วว่าเธอตายไปแล้ว แต่การฟังจากปากของเธอเองกลับทำให้รู้สึกเจ็บขึ้นมาในหัวใจ ถ้าไม่บังเอิญว่าเมื่อช่วงกลางวันได้อ่านข่าวในหนังสือพิมพ์ฉบับเก่าๆเกี่ยวกับเครื่องบินโดยสารระหว่างประเทศประสบอุบัติเหตุตกระหว่างการเดินทางมาเมืองไทย และรายชื่อผู้เสียชีวิต ผมคงไม่รู้ว่าเธอตายไปแล้ว

        ตลอดระยะเวลาหลายวันแห่งความสุขตามประสาคนรักกัน พวกเรานัดพบกันที่ร้านอาหารริมทางแห่งนี้เป็นประจำ ราวกับว่าเธอยังมีชีวิต มันเป็นเรื่องน่าแปลกมากกว่าจะน่ากลัวสำหรับผม เพราะอธิบายไม่ได้ว่าเป็นไปได้อย่างไรแต่เรื่องเหตุผลไม่สำคัญอีกแล้วในตอนนี้  และความตายจะมาขัดขวางความรักของผมไม่ได้เช่นกัน จะกลัวเธอเพราะเธอตายไปแล้วเท่านั้นหรือ ไม่มีทางเสียล่ะ..สำหรับคนอย่างผม

        เธอสามารถบอกผมได้ทุกเมื่อเกี่ยวกับการตายของเธอ แต่นี่เธอกลับไม่เคยปริปากเลยสักนิด จนผมต้องเป็นฝ่ายเปิดฉากถามก่อน ถามทั้งที่รู้อยู่แล้ว เพียงอยากได้ยินคำตอบจากปากของเธอเท่านั้น

        “ไม่มีอะไรเปลี่ยนใจผมได้หรอกครับ”  ผมเอ่ยปากเสียงหนักแน่น

        “ถึงจะรู้ว่าคุณตายไปแล้ว ผมก็ยังรักคุณไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนความรู้สึกของผมซึ่งมีต่อคุณได้ เพียงผมอยากรู้ความจริงเท่านั้น ความจริงไม่ว่าจะเลวร้ายปานใดผมก็จะพยายามรับให้ได้ ดีกว่ามาหลอกกันแบบนี้....คุณหลอกผม!”

        “ฉันไม่ได้หลอกคุณ” เธอส่ายหน้าน้ำตาร่วงพรู

         “ถึงฉันตายไปแล้ว ฉันก็ไม่เคยติดจะหลอกคุณ เพียงแต่ความจริงจะทำให้เราจากกัน”

        ผมรู้ว่าเธอไม่ได้หลอกผม เธอเพียงไม่บอกความจริงเท่านั้น ถ้าหลอกเธอคงแลบลิ้นปลิ้นตาแหวกตับไตไส้พุง ออกมาโชว์แล้ว แต่เพราะอารมณ์อันไม่ปกติทำให้พูดรุนแรงออกไป ซึ่งนึกเสียใจขึ้นมาทันที

        เธอลงทุนเดินทางกลับมาจากต่างประเทศเพื่อมาเยี่ยมเยียนผม แต่ผลกลับกลายเป็นความเลวร้ายสุดคาดคิด  เป็นการเดินทางครั้งสุดท้ายขณะมีชีวิต และในอีกหนึ่งมุมมองเธอได้พยายามทำดีที่สุดแล้ว

        “ฉันขอโทษค่ะ” พูดพลางเธอก้มหน้าลุกขึ้น ยกมือเช็ดน้ำตา

        “คุณจะไปไหน”

        คำตอบคือการมองมาด้วยสายตาอันแสนเศร้าและอ้างว้างอย่างน่าใจหาย ดูเหมือนเธอจะพยายามฝืนยิ้มให้เห็นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะค่อยๆสลายกลายเป็นอากาศธาตุต่อหน้าต่อตาท่ามกลางความตกตะลึงของผม

        เธอหายไปแล้ว...

        หายไปจากชีวิตของผมเพียงเพระผมบังคับให้เธอพูดยอมรับความจริง แล้วนี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน... ทำไมต้องเป็นแบบนี้ วูบนั้นผมรู้สึกใจหายเหมือนทั้งร่างกลับกลายเป็นอากาศธาตุตามเธอไปด้วย หัวใจเหมือนขาดแรงยึดเหนี่ยวใดๆจนร่วงหล่นลงตกแหลกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

        ความจริงทำร้ายทำลายความรู้สึกและชีวิตได้สาหัส ไหนบอกว่าความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย ตอนนี้การพูดความจริงทำให้ยิ่งกว่าการตายเสียด้วยซ้ำ ความจริงซึ่งเจ็บปวดถาโถมโหมกระหน่ำเข้ามาในความรู้สึกจนสุดจะควบคุม ผมทำร้ายทำลายคนแสนรักด้วยความจริง!

        หอยแครงลวกในจานคล้ายกำลังส่งเสียงหัวเราะ ปากของพวกมันเหมือนขยับไปมา รอยหยักบริเวณฝาหอยขยับไหวเหมือนปรากฏรอยยิ้มเยาะ สายลมเย็นพัดกระซิบผ่านหูเหมือนบอกสมน้ำหน้า สาวเสิร์ฟคนหนึ่งแอบมองอยู่ในเงาชายคาร้าน เห็นหน้าไม่ถนัดแต่รู้สึกเหมือนว่ากำลังจ้องมองมาอย่างสาแก่ใจ

        ทุกอย่างดูผิดแผกแตกต่าง ความจริงเริ่มบิดเบี้ยวจนยากต่อการเข้าใจ

        ผมหยิบจานหอยแครงลวกขว้างทิ้งออกไปสุดแรงโดยไม่สนใจว่าจะไปตกลงที่ไหน หูยังเหมือนได้ยินเสียงพวกมันกรีดร้องอย่างสนุกสนานกับการเดินทางลอยไปในอากาศ  จัดการวางเงินทั้งหมดที่มีในกระเป๋าลงบนโต๊ะก่อนกึ่งวิ่งกึ่งเดินออกมาจากร้าน ด้วยอาการคนสติแตกกับการรับรู้ว่าความทรมานใจยิ่งกว่าการฆ่ามีรสชาติเป็นเช่นไร ความรู้สึกแบบนี้คนไม่เจอกับตัวเองไม่มีทางรู้ไม่มีทางเข้าใจ

        ผู้หญิง..นางในฝัน..คนที่แสนรักแสนคิดถึง หายไปต่อหน้าต่อตา ใครจะทนทานได้ เธอจากไปแล้วตลอดกาล เพียงเพราะผมบังคับให้เธอยอมรับในสิ่งที่เป็น   ทำไมผมถึงไม่ทำเป็นไม่สนใจเรื่องนี้ แล้วมีความสุขอยู่กับการได้พบได้คุยกับเธอทุกค่ำคืนแบบนี้ต่อไป แล้วตอนนี้ผมเหลืออะไรบ้างล่ะจากการบังคับให้เธอยอมรับความจริง ยังจะมีอะไรเหลือนอกจากความสิ้นหวังและเจ็บปวดราวหัวใจแตกสลายอย่างไม่มีชิ้นดี

        แสงไฟเจิดจ้าของรถยนต์ราวเป็นประกายสายตาของปีศาจ วูบนั้นผมไม่ทันได้คิดหรอกว่าจะทำให้คนอื่นเดือดร้อนหรือไม่อย่างไร เพียงคิดอยากตายตามเธอไปเท่านั้น ความตายจะทำให้หลุดพ้นจากคราบสังขารอันเต็มไปด้วยความทรมานกายใจ และจะตามเธอไม่เจอไม่ว่าจะเป็นสวรรค์หรือนรกขุมไหน

        กางมือผวาออกไปขวางเส้นทางของรถบรรทุกซึ่งวิ่งตะบึงมาด้วยความเร็ว หลับตาเปิดใจเตรียมพร้อมรอรับมัจจุราชอย่างเต็มใจ
แรงชนทำให้ร่างของผมลอยคว้างขึ้นไปในอากาศ ความรู้สึกเหมือนเป็นภาพสโลว์โมชั่น สรรพเสียงขาดหายไปจากโสตประสาท แต่ยังคล้ายมองเห็นภาพตัวเองหมุนคว้างไปมาอย่างแช่มช้า มือกางเท้ากาง และสัมผัสได้ถึงความสงบเยือกเย็น ไม่มีความเจ็บปวดแม้สักน้อยนิด ไม่มีหยดเลือดสาดกระเซ็น ไม่มีชิ้นส่วนของร่างกายแหลกสลาย นอกจากหัวใจซึ่งแหลกสลายไปก่อนแล้ว แสงไฟท้ายรถสิบล้อคันนั้นหายลับไปในความมืดอันอ้างว้าง

        บรรดาหอยแครงพากันลอยวนเวียนอยู่รอบตัว พวกมันไม่ได้มีท่าทางเยาะเย้ยอย่างที่คิดในตอนแรก บางทีพวกมันอาจกำลังพยายามบอกอะไรสักอย่าง  ผมคงมองพวกมันผิดไป สักพักพวกมันก็พากันพุ่งขึ้นไปสู่ท้องฟ้าจนหายลับไปกับตา หวังว่าพวกมันน่าจะมีโอกาสไปเกิดเป็นดาวหอยอย่างที่พวกสัตว์ชนิดอื่นๆ เคยเป็นไปก่อนแล้ว







......................
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่