ตอนที่แล้วค่ะ ตอนที่ 44
http://ppantip.com/topic/30292993
ติดตามความเดิมตอนเก่ากว่านี้ ได้ในบล็อกแก็งค์เลยค่ะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=babyrose
ส่วนถ้าอยากทวงนิยาย ไปที่แฟนเพจในเฟซบุ๊คได้ค่ะ
เพจนี้เป็นเพจกลุ่มค่ะ ของนักเขียน 3 คน
คือ วรรณศุกร์ / ดาวรดา /แก้วกังไส
https://www.facebook.com/janaey.janjao?ref=hl
ตอนที่ 45
ใต้สายนที
รถยุโรปคันงามแล่นผ่านรั้วมหาวิทยาลัยออกไปช้าๆ โดยมีเคียงฟ้านั่งเคียงคู่กับเจ้าของรถไปด้วย ใจหล่อนไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนักจึงไม่สนใจแม้กระทั่งสายตาของคนในมหาวิทยาลัย หรือแม้แต่มิรันตีที่เบิกตาค้างยามที่เห็นหล่อนออกไปกับวิมุตติ เพื่อนรักเพื่อนร้ายของหล่อนเม้มริมฝีปากลงจนแน่น จ้องมองรถยนต์สีงาช้างขับผ่านไปจนสุดสายตา ในขณะที่หญิงสาวในรถได้แต่นั่งบีบมือนุ่มนิ่มของตนไปมา ด้วยความพะวงไปถึงคนที่กำลังจะไปเจอ เจ้าภูวิษะจะหาว่าหล่อนบ้าหรือเปล่านะ สีหน้าวิตกกังวลนี้กลับเรียกรอยยิ้มให้เจ้าของรถนึกขำ
“เขา..เอ้อ เจ้าภูวิษะ เขาเคยฝันเห็นอะไรอย่างที่ฟ้าเห็นบ้างไหมคะ?”
“เดี๋ยวก็ลองถามเขาดูสิครับ”
“ตะ...แต่ อยู่ๆ ก็ไปหาแล้วไปคุยเรื่องแบบนี้ เขาอาจจะลำบากใจ” เคียงฟ้านึกถึงใบหน้าหล่อเหลาที่ตีสีหน้าบึ้งตึงใส่หล่อนออกแทบจะในทันที ดีไม่ดีพ่อคุณจะหาว่าหล่อนบ้าเสียด้วยซ้ำ แต่ความกลัวที่มีต่อความฝันยาวนานต่อเนื่องมานับเดือนมีอิทธิพลมากกว่าความกังวลใจที่จะเผชิญหน้ากับเจ้าภูวิษะ
“เคียงฟ้าที่ผ่านมาแก้ปัญหาเรื่องนี้ยังไงบ้างครับ?”
“เอ้อ...” หญิงสาวก้มหน้าไม่รู้จะตอบอย่างไรดีในเมื่อหล่อนแทบไม่ได้แก้ไขอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย
“ก็...ปรึกษาคุณแม่ค่ะ แล้วก็ไปทำบุญให้..ให้คนในความฝัน” จากนั้นหล่อนก็เงียบไปอีก
“บางอย่าง..ให้ความรู้สึกเป็นตัวนำทางเถอะ ไม่ต้องรออะไรอีกแล้ว” ความกังวลที่ก่อรูปในใจมาครู่ใหญ่ค่อยๆ เบาบางลงเมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้เข้า บางทีเคียงฟ้าอาจจะรอใครสักคนมาบอกว่าหล่อนควรทำอย่างไรก็เป็นได้
“แล้วถ้า...ถ้ามันไม่เป็นอย่างที่เราคิดล่ะคะ ” ใช่...ถ้าเขารังเกียจหล่อนเกินกว่าจะพูดจาด้วยล่ะ
“อย่าเพิ่งคิดไปเอง ไปคุยกับเขาก่อนเรื่องมันอาจจะไม่ได้แย่อย่างที่คิด” หญิงสาวพยักหน้ารับแล้วนั่งนิ่งไปตลอดทางไม่มีคำถาม ไม่มีบทสนทนาใดระหว่างกันอีก หล่อนจมอยู่ในความคิดของตนเองจนลืมถามวิมุตติไปว่าจะไปพบเจ้าภูวิษะที่ไหนด้วยซ้ำ
รถยนต์สีงาช้างวิ่งออกนอกตัวเมืองเรียบถนนริมแม่น้ำมาตลอดทาง ไม่นานนักก็ชะลอตัวลงหน้าบ้านหลังใหญ่ รั้วสูงค่อยๆ เลื่อนตัวเปิดออก ปล่อยให้รถวิ่งเข้าสู่ภายในอย่างเงียบเชียบ หญิงสาวเหลียวมองที่รั้วไม่มีคนเปิด หล่อนแน่ใจว่าไม่เห็นเขาใช้รีโมทเปิดรั้วเลยด้วยซ้ำ แต่อาจจะมีคนในบ้านกดปุ่มเปิดให้ก็เป็นได้จึงไม่ให้ความสนใจอีก
“ที่นี่...บ้านเจ้าภูวิษะเหรอคะ?” หล่อนถามในขณะที่ก้าวลงจากรถ ชายหนุ่มข้างตัวมีเพียงรอยยิ้มน้อยๆ แต่ไม่ตอบคำถาม
บ้านหลังใหญ่โอ่อ่าตรงหน้าแสดงฐานะของผู้อยู่อาศัยโดยอัตโนมัติ จนหญิงสาวรู้สึกด้อยลงไปโดยปริยาย หล่อนอาศัยอยู่ในบ้านน้อยหลังเดิมที่อยู่มาตั้งแต่เกิด ซึ่งเริ่มทรุดโทรมลงตามกาลเวลา แม้จะไม่ได้ดูอนาถาแต่เทียบไม่ได้กับบ้านหลังใหญ่ตรงหน้า
“เคียงฟ้ามาทางนี้”
วิมุตติเรียกหล่อนให้เดินตาม แต่เขาไม่ได้เดินนำเข้าไปในบ้านอย่างที่คิด หากแต่เดินอ้อมตัวบ้านไปยังสวนด้านหลัง เคียงฟ้าเดินตามเงียบๆ ไม่ได้ซักถามสิ่งใด ในใจมีแต่ความตื่นเต้น ยิ่งเดินลึกเข้าไปหล่อนก็ยิ่งประหลาดใจเมื่อเขาเดินนำไปยังศาลาท่าน้ำ
“จะให้รอตรงนี้เหรอคะ?” หล่อนเหลียวซ้ายแลขวาด้วยความไม่แน่ใจ ศาลานั้นตั้งอยู่ริมน้ำเลยออกไปอีกหน่อยมีท่าน้ำเล็กๆ ทอดตัวลงไปสู่แม่น้ำ หญิงสาวเข้าใจว่าเขาจะไปเรียกเจ้าภูวิษะมาให้คุยกับหล่อนตรงนี้ แต่คำตอบที่ได้รับยิ่งทำให้พิศวง
“ไม่ใช่หรอก....ตรงนั้นต่างหาก” หนุ่มรูปทองมีรอยยิ้มเข้าใจยากมอบให้หล่อน ก่อนจะเดินผ่านศาลาออกไปที่ท่าน้ำ แล้วชี้มือลงในแม่น้ำนั้น
“คะ?” เคียงฟ้ามองตามแล้วขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ
“ต้องลงไป”
รอยยิ้มเยือกเย็นยังระบายอยู่บนใบหน้า นัยน์ตาสีน้ำตาลใสคู่นั้นมีแววประหลาดสะท้อนกลับมา ทำเอาหล่อนสังหรณ์ประหลาด แต่ก่อนจะได้เอ่ยถามอะไรมากไปกว่านั้น ผู้เป็นอาจารย์ก็เอื้อมมือมาถึงตัวแล้วผลักหล่นตกลงไปในแม่น้ำ!
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เคียงฟ้าว่ายน้ำเป็นแต่ไม่แข็งนัก บวกกับไม่ทันตั้งตัว เมื่อตกลงไปในน้ำกะทันหันหล่อนก็กรีดร้อง แต่ทันทีที่อ้าปากน้ำก็ทะลักเข้ามา ทำให้เสียงร้องไม่อาจเล็ดรอดออกไปได้ วิมุตติยืนนิ่งมองหล่อนตะเกียกตะกายอยู่ในน้ำโดยไม่มีท่าทีจะช่วยเหลือแต่อย่างใด มีเพียงรอยยิ้มลึกลับส่งมาให้ หญิงสาวนึกโกรธแต่ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านั้น ลำพังแค่พยายามจะพยุงตัวก็ยากแล้ว น้ำในแม่น้ำไม่ได้นิ่งเหมือนในสระว่ายน้ำ และยิ่งไปกว่านั้นหล่อนรู้สึกว่าที่ขามีเส้นใยบางอย่างมาพันรอบขาแล้วดึงให้จมลงไป หล่อนไม่ได้คิดไปเองอย่างแน่นอนเพราะยิ่งตะเกียกตะกายเท่าใดสายใยนั้นยิ่งรัดแน่นและฉุดกระชากให้ดำดิ่งลงมากขึ้น
“อาจารย์..ช่วย...ช่วยด้วย!!!” เคียงฟ้าร้องได้แค่นั้นก่อนจะจมหายลงไปอย่างรวดเร็ว เหมือนถูกมือที่มองไม่เห็นฉุดลงไปใต้น้ำ
หญิงสาวพยายามกลั้นหายใจแล้วว่ายขึ้นบนผิวน้ำ แต่ไม่มีวี่แววว่าจะทำสำเร็จตรงกันข้ามกับดิ่งลึกลงไปเรื่อยๆ ด้วยความรวดเร็ว ใต้สายน้ำอันมืดมิดมีแรงดึงดูดมหาศาลพยายามลากหล่อนลงไป ลมหายใจใกล้จะสุดแล้วเคียงฟ้าตัดสินใจพลิกตัวดำลงไปแกะใยประหลาดที่รัดข้อเท้าตนเองไว้ออก แม้มองเห็นทุกอย่างไม่ชัดเจนแต่ ณ วินาทีนั้นเอง หล่อนมั่นใจว่าเห็นนัยน์ตาคู่หนึ่งเรื่อเรืองขึ้นมาจากท้องน้ำ นัยน์ตาแดงก่ำจนเหมือนเลือดอยู่ใจกลางเส้นใยประหลาดนั้น ความหวาดกลัวทวีขึ้นทุกขณะ ยิ่งกลัวยิ่งเหมือนเวลาจะหยุดลง ภาพทุกอย่างเคลื่อนไหวช้าลง ในน้ำอันมัวสลัวกลับค่อยๆ กระจ่างชัดขึ้น เส้นใยประหลาดที่รัดขาหล่อนไว้ไม่ใช่เชือก ไม่ใช่พืชใต้น้ำอย่างที่คิดแต่เป็น....
‘เส้นผมมนุษย์!’
เส้นผมนั้นยาวผิดธรรมชาติราวกับไม่ใช่ผมมนุษย์ แต่เป็นของภูตผีหรืออสูรกายตนใด เมื่อมองย้อนไปยังเจ้าของเรือนผมหัวใจหล่อนแทบหยุดเต้น
“พี่กุสุมาลย์!!” พูดได้แค่นั้นน้ำก็ทะลักเข้าปากจนหล่อนไม่อาจกลั้นลมหายใจได้อีก
“อีกนิดเดียว...อีกนิดเดียวเท่านั้นมหิตา..หึ หึ” เสียงหัวเราะแหลมกรีดความรู้สึกสะท้อนไปทั่วคุ้งน้ำ หญิงสาวไม่คิดว่าตนเองจะรอดพ้นความตายไปได้ เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าทำไมอาจารย์หนุ่มถึงได้ทำกับหล่อนแบบนี้
วิญญาณสาวงามแสยะยิ้มสมใจยิ่งนัก ด้วยคาดไม่ถึงว่าวิทยเทพจะยอมอ่อนให้ดังคำที่ให้ไว้กับนาง ‘ไม่ว่าจะทำสิ่งใดจะไม่ขัดขวาง’ และเป็นผู้พาเคียงฟ้ามาให้เอง อีกนิดเดียวเท่านั้นชีวิตของมหิตาเทวีในชาตินี้จะสิ้นสุดลง ใจของกุสุมาลย์เริงโลดขึ้น ‘จบกันเสียที’ หากชาติหน้าพบนางอีกใจคงทุเลาเบาบางลง แต่ถ้าหากว่าไม่เป็นเช่นนั้นเล่าจะทำเช่นไร จะต้องฆ่านางอีกครั้งหรือ แล้วอีกกี่ครั้งถึงจะหายจากความเจ็บปวดเสียใจนี้กันเสียที หญิงงามจากอดีตกาลเกิดความสับสนลังเล คิดใคร่จะไปถามวิทยเทพ นี่ใช่หรือไม่โอกาสที่เขาเปิดให้เลือก
“ทำไม?...ขอร้องข้าสิ วิงวอนขอชีวิตสิ” กุสุมาลย์ตะโกนก้องคุ้มน้ำ แต่เคียงฟ้าทำได้แค่เพียงมองไม่อาจเอ่ยสิ่งใดได้ ม่านน้ำตาไหลกลบจนแสบร้อนดวงตาไปหมด ลมหายใจก็ติดขัดสติกำลังจะขาดหายจึงไม่อาจเข้าใจการกระทำของกุสุมาลย์ได้ ดวงจิตในยามนั้นมิได้ร้องขอชีวิตจากคู่อาฆาต แต่คำนึงถึงใครคนหนึ่งซึ่งอยู่ก้นบึ้งหัวใจ
“เจ้าภูวิษะ...ช่วยด้วย ช่วยฟ้าด้วย!”
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 45
ติดตามความเดิมตอนเก่ากว่านี้ ได้ในบล็อกแก็งค์เลยค่ะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=babyrose
ส่วนถ้าอยากทวงนิยาย ไปที่แฟนเพจในเฟซบุ๊คได้ค่ะ
เพจนี้เป็นเพจกลุ่มค่ะ ของนักเขียน 3 คน
คือ วรรณศุกร์ / ดาวรดา /แก้วกังไส
https://www.facebook.com/janaey.janjao?ref=hl
ตอนที่ 45
ใต้สายนที
รถยุโรปคันงามแล่นผ่านรั้วมหาวิทยาลัยออกไปช้าๆ โดยมีเคียงฟ้านั่งเคียงคู่กับเจ้าของรถไปด้วย ใจหล่อนไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนักจึงไม่สนใจแม้กระทั่งสายตาของคนในมหาวิทยาลัย หรือแม้แต่มิรันตีที่เบิกตาค้างยามที่เห็นหล่อนออกไปกับวิมุตติ เพื่อนรักเพื่อนร้ายของหล่อนเม้มริมฝีปากลงจนแน่น จ้องมองรถยนต์สีงาช้างขับผ่านไปจนสุดสายตา ในขณะที่หญิงสาวในรถได้แต่นั่งบีบมือนุ่มนิ่มของตนไปมา ด้วยความพะวงไปถึงคนที่กำลังจะไปเจอ เจ้าภูวิษะจะหาว่าหล่อนบ้าหรือเปล่านะ สีหน้าวิตกกังวลนี้กลับเรียกรอยยิ้มให้เจ้าของรถนึกขำ
“เขา..เอ้อ เจ้าภูวิษะ เขาเคยฝันเห็นอะไรอย่างที่ฟ้าเห็นบ้างไหมคะ?”
“เดี๋ยวก็ลองถามเขาดูสิครับ”
“ตะ...แต่ อยู่ๆ ก็ไปหาแล้วไปคุยเรื่องแบบนี้ เขาอาจจะลำบากใจ” เคียงฟ้านึกถึงใบหน้าหล่อเหลาที่ตีสีหน้าบึ้งตึงใส่หล่อนออกแทบจะในทันที ดีไม่ดีพ่อคุณจะหาว่าหล่อนบ้าเสียด้วยซ้ำ แต่ความกลัวที่มีต่อความฝันยาวนานต่อเนื่องมานับเดือนมีอิทธิพลมากกว่าความกังวลใจที่จะเผชิญหน้ากับเจ้าภูวิษะ
“เคียงฟ้าที่ผ่านมาแก้ปัญหาเรื่องนี้ยังไงบ้างครับ?”
“เอ้อ...” หญิงสาวก้มหน้าไม่รู้จะตอบอย่างไรดีในเมื่อหล่อนแทบไม่ได้แก้ไขอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย
“ก็...ปรึกษาคุณแม่ค่ะ แล้วก็ไปทำบุญให้..ให้คนในความฝัน” จากนั้นหล่อนก็เงียบไปอีก
“บางอย่าง..ให้ความรู้สึกเป็นตัวนำทางเถอะ ไม่ต้องรออะไรอีกแล้ว” ความกังวลที่ก่อรูปในใจมาครู่ใหญ่ค่อยๆ เบาบางลงเมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้เข้า บางทีเคียงฟ้าอาจจะรอใครสักคนมาบอกว่าหล่อนควรทำอย่างไรก็เป็นได้
“แล้วถ้า...ถ้ามันไม่เป็นอย่างที่เราคิดล่ะคะ ” ใช่...ถ้าเขารังเกียจหล่อนเกินกว่าจะพูดจาด้วยล่ะ
“อย่าเพิ่งคิดไปเอง ไปคุยกับเขาก่อนเรื่องมันอาจจะไม่ได้แย่อย่างที่คิด” หญิงสาวพยักหน้ารับแล้วนั่งนิ่งไปตลอดทางไม่มีคำถาม ไม่มีบทสนทนาใดระหว่างกันอีก หล่อนจมอยู่ในความคิดของตนเองจนลืมถามวิมุตติไปว่าจะไปพบเจ้าภูวิษะที่ไหนด้วยซ้ำ
รถยนต์สีงาช้างวิ่งออกนอกตัวเมืองเรียบถนนริมแม่น้ำมาตลอดทาง ไม่นานนักก็ชะลอตัวลงหน้าบ้านหลังใหญ่ รั้วสูงค่อยๆ เลื่อนตัวเปิดออก ปล่อยให้รถวิ่งเข้าสู่ภายในอย่างเงียบเชียบ หญิงสาวเหลียวมองที่รั้วไม่มีคนเปิด หล่อนแน่ใจว่าไม่เห็นเขาใช้รีโมทเปิดรั้วเลยด้วยซ้ำ แต่อาจจะมีคนในบ้านกดปุ่มเปิดให้ก็เป็นได้จึงไม่ให้ความสนใจอีก
“ที่นี่...บ้านเจ้าภูวิษะเหรอคะ?” หล่อนถามในขณะที่ก้าวลงจากรถ ชายหนุ่มข้างตัวมีเพียงรอยยิ้มน้อยๆ แต่ไม่ตอบคำถาม
บ้านหลังใหญ่โอ่อ่าตรงหน้าแสดงฐานะของผู้อยู่อาศัยโดยอัตโนมัติ จนหญิงสาวรู้สึกด้อยลงไปโดยปริยาย หล่อนอาศัยอยู่ในบ้านน้อยหลังเดิมที่อยู่มาตั้งแต่เกิด ซึ่งเริ่มทรุดโทรมลงตามกาลเวลา แม้จะไม่ได้ดูอนาถาแต่เทียบไม่ได้กับบ้านหลังใหญ่ตรงหน้า
“เคียงฟ้ามาทางนี้”
วิมุตติเรียกหล่อนให้เดินตาม แต่เขาไม่ได้เดินนำเข้าไปในบ้านอย่างที่คิด หากแต่เดินอ้อมตัวบ้านไปยังสวนด้านหลัง เคียงฟ้าเดินตามเงียบๆ ไม่ได้ซักถามสิ่งใด ในใจมีแต่ความตื่นเต้น ยิ่งเดินลึกเข้าไปหล่อนก็ยิ่งประหลาดใจเมื่อเขาเดินนำไปยังศาลาท่าน้ำ
“จะให้รอตรงนี้เหรอคะ?” หล่อนเหลียวซ้ายแลขวาด้วยความไม่แน่ใจ ศาลานั้นตั้งอยู่ริมน้ำเลยออกไปอีกหน่อยมีท่าน้ำเล็กๆ ทอดตัวลงไปสู่แม่น้ำ หญิงสาวเข้าใจว่าเขาจะไปเรียกเจ้าภูวิษะมาให้คุยกับหล่อนตรงนี้ แต่คำตอบที่ได้รับยิ่งทำให้พิศวง
“ไม่ใช่หรอก....ตรงนั้นต่างหาก” หนุ่มรูปทองมีรอยยิ้มเข้าใจยากมอบให้หล่อน ก่อนจะเดินผ่านศาลาออกไปที่ท่าน้ำ แล้วชี้มือลงในแม่น้ำนั้น
“คะ?” เคียงฟ้ามองตามแล้วขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ
“ต้องลงไป”
รอยยิ้มเยือกเย็นยังระบายอยู่บนใบหน้า นัยน์ตาสีน้ำตาลใสคู่นั้นมีแววประหลาดสะท้อนกลับมา ทำเอาหล่อนสังหรณ์ประหลาด แต่ก่อนจะได้เอ่ยถามอะไรมากไปกว่านั้น ผู้เป็นอาจารย์ก็เอื้อมมือมาถึงตัวแล้วผลักหล่นตกลงไปในแม่น้ำ!
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เคียงฟ้าว่ายน้ำเป็นแต่ไม่แข็งนัก บวกกับไม่ทันตั้งตัว เมื่อตกลงไปในน้ำกะทันหันหล่อนก็กรีดร้อง แต่ทันทีที่อ้าปากน้ำก็ทะลักเข้ามา ทำให้เสียงร้องไม่อาจเล็ดรอดออกไปได้ วิมุตติยืนนิ่งมองหล่อนตะเกียกตะกายอยู่ในน้ำโดยไม่มีท่าทีจะช่วยเหลือแต่อย่างใด มีเพียงรอยยิ้มลึกลับส่งมาให้ หญิงสาวนึกโกรธแต่ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านั้น ลำพังแค่พยายามจะพยุงตัวก็ยากแล้ว น้ำในแม่น้ำไม่ได้นิ่งเหมือนในสระว่ายน้ำ และยิ่งไปกว่านั้นหล่อนรู้สึกว่าที่ขามีเส้นใยบางอย่างมาพันรอบขาแล้วดึงให้จมลงไป หล่อนไม่ได้คิดไปเองอย่างแน่นอนเพราะยิ่งตะเกียกตะกายเท่าใดสายใยนั้นยิ่งรัดแน่นและฉุดกระชากให้ดำดิ่งลงมากขึ้น
“อาจารย์..ช่วย...ช่วยด้วย!!!” เคียงฟ้าร้องได้แค่นั้นก่อนจะจมหายลงไปอย่างรวดเร็ว เหมือนถูกมือที่มองไม่เห็นฉุดลงไปใต้น้ำ
หญิงสาวพยายามกลั้นหายใจแล้วว่ายขึ้นบนผิวน้ำ แต่ไม่มีวี่แววว่าจะทำสำเร็จตรงกันข้ามกับดิ่งลึกลงไปเรื่อยๆ ด้วยความรวดเร็ว ใต้สายน้ำอันมืดมิดมีแรงดึงดูดมหาศาลพยายามลากหล่อนลงไป ลมหายใจใกล้จะสุดแล้วเคียงฟ้าตัดสินใจพลิกตัวดำลงไปแกะใยประหลาดที่รัดข้อเท้าตนเองไว้ออก แม้มองเห็นทุกอย่างไม่ชัดเจนแต่ ณ วินาทีนั้นเอง หล่อนมั่นใจว่าเห็นนัยน์ตาคู่หนึ่งเรื่อเรืองขึ้นมาจากท้องน้ำ นัยน์ตาแดงก่ำจนเหมือนเลือดอยู่ใจกลางเส้นใยประหลาดนั้น ความหวาดกลัวทวีขึ้นทุกขณะ ยิ่งกลัวยิ่งเหมือนเวลาจะหยุดลง ภาพทุกอย่างเคลื่อนไหวช้าลง ในน้ำอันมัวสลัวกลับค่อยๆ กระจ่างชัดขึ้น เส้นใยประหลาดที่รัดขาหล่อนไว้ไม่ใช่เชือก ไม่ใช่พืชใต้น้ำอย่างที่คิดแต่เป็น....
‘เส้นผมมนุษย์!’
เส้นผมนั้นยาวผิดธรรมชาติราวกับไม่ใช่ผมมนุษย์ แต่เป็นของภูตผีหรืออสูรกายตนใด เมื่อมองย้อนไปยังเจ้าของเรือนผมหัวใจหล่อนแทบหยุดเต้น
“พี่กุสุมาลย์!!” พูดได้แค่นั้นน้ำก็ทะลักเข้าปากจนหล่อนไม่อาจกลั้นลมหายใจได้อีก
“อีกนิดเดียว...อีกนิดเดียวเท่านั้นมหิตา..หึ หึ” เสียงหัวเราะแหลมกรีดความรู้สึกสะท้อนไปทั่วคุ้งน้ำ หญิงสาวไม่คิดว่าตนเองจะรอดพ้นความตายไปได้ เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าทำไมอาจารย์หนุ่มถึงได้ทำกับหล่อนแบบนี้
วิญญาณสาวงามแสยะยิ้มสมใจยิ่งนัก ด้วยคาดไม่ถึงว่าวิทยเทพจะยอมอ่อนให้ดังคำที่ให้ไว้กับนาง ‘ไม่ว่าจะทำสิ่งใดจะไม่ขัดขวาง’ และเป็นผู้พาเคียงฟ้ามาให้เอง อีกนิดเดียวเท่านั้นชีวิตของมหิตาเทวีในชาตินี้จะสิ้นสุดลง ใจของกุสุมาลย์เริงโลดขึ้น ‘จบกันเสียที’ หากชาติหน้าพบนางอีกใจคงทุเลาเบาบางลง แต่ถ้าหากว่าไม่เป็นเช่นนั้นเล่าจะทำเช่นไร จะต้องฆ่านางอีกครั้งหรือ แล้วอีกกี่ครั้งถึงจะหายจากความเจ็บปวดเสียใจนี้กันเสียที หญิงงามจากอดีตกาลเกิดความสับสนลังเล คิดใคร่จะไปถามวิทยเทพ นี่ใช่หรือไม่โอกาสที่เขาเปิดให้เลือก
“ทำไม?...ขอร้องข้าสิ วิงวอนขอชีวิตสิ” กุสุมาลย์ตะโกนก้องคุ้มน้ำ แต่เคียงฟ้าทำได้แค่เพียงมองไม่อาจเอ่ยสิ่งใดได้ ม่านน้ำตาไหลกลบจนแสบร้อนดวงตาไปหมด ลมหายใจก็ติดขัดสติกำลังจะขาดหายจึงไม่อาจเข้าใจการกระทำของกุสุมาลย์ได้ ดวงจิตในยามนั้นมิได้ร้องขอชีวิตจากคู่อาฆาต แต่คำนึงถึงใครคนหนึ่งซึ่งอยู่ก้นบึ้งหัวใจ
“เจ้าภูวิษะ...ช่วยด้วย ช่วยฟ้าด้วย!”
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++