ขุนโจรแห่งเขาเนียซัวเปาะ
ลุยเหง..จูตง.....สองสหายใจซื่อ
ตอนที่ ๒ ชีวิตที่ผกผัน
"เล่าเซี่ยงชุน"
เมื่อ ลุยเหง กลับมาอยู่กับมารดาที่เมืองหุนเสียกุ้ยแล้ว ก็ทำราชการใกล้ชิดกับจูตง ตามปกติเช่นเคยต่อมาโดยไม่มีเหตุการณ์สิ่งใดเกิดขึ้น จนกระทั่งวันหนึ่งลุยเหงออกจากบ้านเดินไปทางหน้าเมือง มีชายผู้หนึ่งชื่อ ลิเซียวยี ร้องทักทายว่าท่านนายทหารมาถึงหลายวันแล้วหรือ ลุยเหงก็ว่ามาหลายวันแล้วแต่ไม่ได้ออกมาเดินเล่นแถวนี้ ลิเซียวยี่ก็แนะนำว่า เมื่อท่านไปราชการนั้น มีชาวเมืองตังเกียสองคนพ่อลูกมาทำงานอยู่ที่เมืองนี้ บิดาชื่อ แปะเงกเกียว บุตรสาวชื่อ แปะสิวเอง รูปร่างงดงามฝีมือร่ายรำร้องเพลงไม่มีผู้ใดเสมอ ทั้งคู่อยู่ที่โรงแถวตลาด ว่าแล้วก็ชวนลุยเหงเดินไปยืนดูอยู่ที่โรง ซึ่งทำไว้อย่างสวยงาม มีผู้คนชุมนุมดูกันอยู่เป็นจำนวนมาก ลุยเหงก็พลัดกับลิเซียวยี เดินเบียดผู้คนเข้าไปนั่งอยู่หน้าโรง
ครั้นได้เวลาแปะเงกเกียวให้นางแปะสิวเอง จัดแจงแต่งตัวสวยงามออกมายืนหน้า โรง ผู้เป็นบิดาก็คำนับตามบรรดาคนดูแล้วร้องว่า
"........ข้าพเจ้าชื่อ แปะเงกเกียว บุตรสาวชื่อนางแปะสิวเอง ชาวเมืองตังเกีย พากันมาเต้นรำทำเพลงหาเลี้ยงชีวิต ตามแต่ท่านทั้งหลายจะให้ จงได้เมตตากับข้าพเจ้าคนอนาถาเถิด..."
แล้วทั้งสองพ่อลูกก็เต้นรำร้องเพลงต่าง ๆ ผู้ดูทั้งหลายก็ชอบใจสรรเสริญว่า นางแปะสิวเองรูปร่างงดงามว่องไวเสียงไพเราะ ครั้นรำจบแล้วก็ลงมาจากโรง เห็นลุยเหงนั่งอยู่ข้างหน้าคนทั้งปวง ก็ตรงเข้าไปเรี่ยไรเงินที่ลุยเหงก่อน ลุยเหงคลำดูเงินในเสื้อก็ไม่มี จึงบอกว่า
".....วันนี้เราไม่ได้เอาเงินมา ต่อพรุ่งนี้จะเอามาให้....."
นางแปะสิวเองว่าการงานสิ่งใดช้าวันไปก็จืดจาง ลุยเหงนั่งอยู่หน้าจงออกเงินให้เป็นธรรมเนียมก่อน จึงจะควร ผู้อื่นจะได้ทำตาม
ลุยเหงก็อายแก่คนทั้งปวงยิ่งนักบอกว่าลืมไม่ได้เอาเงินมาจริง ๆ นางแปะสิวเองว่าจะมาดูฟังเพลง เหตุไฉนไม่เอาเงินมาบ้าง ไม่รู้จักแบบธรรมเนียมเลย ลุยเหงก็ว่าทำไมกับเงินเล็กน้อยสักสี่ห้าตำลึงนั้นให้ได้แต่เวลานี้ไม่มีจริง ๆ แปะเงกเกียวก็แกล้งห้ามบุตรสาวว่า
".......เจ้าไม่ดูเสียก่อนว่า เป็นชาวบ้านนอกหรือชาวเมืองนี้ อย่าได้ทวงถามเขาเลยไปที่ท่านผู้อื่นเถิด...."
ลุยเหงก็ยืนยันว่าอย่าวิตกเลยจะเอามาให้แน่ แปะเงกเกียวจึงกล่าวสบประมาทว่า ควรจะให้สุนัขมีเขาเสียก่อน คนรอบ ๆ นั้นก็หัวเราะกันครื้นเครง ลุยเหงได้ความอัปยศก็โกรธ ด่าว่าแปะเงกเกียว ไปเป็นอันมาก สองพ่อลูกก็ช่วยกันด่าตอบ ผู้คนที่รู้จักลุยเหงพากันห้ามว่า ที่วิวาทกันนั้นเป็นนายทหาร อย่าว่ากล่าวให้เกินเลยไปนัก แปะเงกเกียวไม่ฟัง ว่าเป็นนายทหารก็ไม่กลัว แล้วกลับด่าหนักขึ้นอีก ลุยเหงทนไม่ไหวก็เอาเท้าถีบ ถูกแปะเงกเกียวล้มลง คนทั้งหลายก็เข้าไปห้ามไว้ ลุยเหงจึงกลับมาบ้าน
แต่นางแปะสิวเองเมื่ออยู่เมืองตังเกียนั้นรักใคร่ได้เสียกับเจ้าเมืองคนหม่ ครั้นย้ายมาเป็นเจ้าเมืองหุนเสียกุ้ย ก็ตามมาทำงานที่เมืองนี้ เจ้าเมืองก็อุปการะปลูกร้านโรงให้ด้วย นางเจ็บใจที่ลุยเหงทำร้ายบิดา จึงเอาเกี้ยวหามบิดาไปยังบ้านเจ้าเมือง ฟ้องว่าลุยเหงทุบตีบิดาจนล้มลง ศรีษะแตกเจ็บป่วยเป็นอันมาก เจ้าเมืองก็โกรธรับฟ้องไว้แล้วให้เจ้าหน้าที่ไปชันสูตรบาดแผลและสืบพยาน พวกขุนนางที่ชอบพอกับลุยเหงจะช่วยกันขอร้องก็ไม่ฟัง ให้ทหารจับตัวลุยเหงมาเฆี่ยน แล้วมัดประจานไว้กลางตลาด นางแปะสิวเองยังไม่หายแค้น ก็ขอให้เจ้าเมืองเอาลุยเหง ไปเฆี่ยนตีบนโรงแสดงซ้ำอีก พวกผู้คุมที่คุ้นเคยจะแก้ไขลดหย่อนผ่อนปรนบ้าง นางแปะสิวเองก็ขู่ว่าจะไปฟ้องเจ้าเมือง จึงไม่มีใครกล้าช่วยลุยเหง
เมื่อมารดาของลุยเหงได้แจ้งเรื่องราว ว่าบุตรต้องโทษถูกเฆี่ยนตีก็มีความวิตก รีบจัดหาอาหารมาส่ง เห็นบุตรต้องถูกมัดตากหน้าอยู่ก็ร้องไห้ เข้าไปบอกผู้คุมว่า
".....ท่านกับบุตรเราทำราชการอยู่ด้วยกัน ช่างไม่เวทนาลุยเหงบ้าง จำครบเสียทุกอย่าง....."
ผู้คุมก็กระซิบว่าโจทก์นั้น เขารักใคร่ได้เสียเป็นเมียเจ้าเมือง คอยติดตามดูว่าใครช่วยเหลือ จะได้ไปฟ้องให้ลงโทษ มารดาลุยเหงก็โกรธเข้าไปแก้มัดลุยเหงด้วยตนเอง พลางด่าว่านางแปะสิวเองไปด้วย นางแปะสิวเองก็โกรธเข้ามาด่าว่า และทุบตีมารดาลุยเหงซึ่งเป็นคนชราแล้ว สู้กำลังไม่ได้ก็ล้มลง
ลุยเหงทนไม่ไหวจึงเอาขื่อคาที่สวมคออยู่ ฟาดถูกนางแปะสิวเองศรีษะแตกตายคาที่ ผู้คุมก็ตกใจเอาตัวลุยเหงไปแจ้งกับเจ้าเมืองว่า นางแปะสิวเองวิวาทกับมารดาลุยเหง เลยถูกลุยเหงตีตาย เจ้าเมืองก็ยิ่งโกรธหนัก จัดการไต่สวนด้วยตนเอง ลุยเหงก็รับสารภาพ เจ้าเมืองจึงสั่งให้เอาตัวลุยเหงไปจำขังไว้ให้มั่นคง แปะเงกเกียวก็เอาศพบุตรสาวไปฝังไว้ตามประเพณี
ฝ่ายจูตงเป็นขุนนางกำกับคุกอยู่ พอผู้คุมเอาตัวลุยเหงไปส่งก็รับไว้และจัดที่อยู่กับอาหารให้มีความสะดวกสบาย มารดาของลุยเหงนำอาหารมาให้บุตรชายที่คุก เห็นจูตงช่วยเหลือดีก็ค่อยสบายใจ ลากลับไปอยู่บ้านด้วยความโล่งอก แต่แปะเงกเกียวคิดอาฆาตลุยเหง จึงไปเรียกร้องให้เจ้าเมืองตัดสินประหารลุยเหง ให้ตายตกไปตามกันเสีย เจ้าเมืองปรึกษากับกรมการเมืองแล้ว จึงส่งตัวไปประหารที่เมืองเจ๋จิวฮู้ หลังจากที่ได้ขังไว้หกสิบวันแล้ว แม้จูตงจะเอาเงินทองไป ติดสินบนเจ้าเมืองก็ไม่รับ
เมื่อครบกำหนดหกสิบวัน เจ้าเมืองจึงให้ขุนนางถือหนังสือ คำพิพากษาโทษไปส่งที่เมืองเจ๋จิวฮู้พิจารณาก่อน แล้วสั่งให้จูตงคุมลุยเหงไปส่งทีหลัง จูตงจัดทหารควบคุมตัวลุยเหงออกจากเมืองหุนเสียกุ้ย เดินทางไปได้ประมาณสิบลี้ ก็แวะพาลิ่วล้อเข้าไปซื้อสุรากิน ที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง แล้วถอดขื่อคาออกจากตัวลุยเหง บอกว่า
"...น้องจงหลีกหนีกลับไปบ้านมารดา เร่งรีบไปอยู่ที่อื่น พี่จะรับโทษแทนเอง....."
ลุยเหงบอกว่า
"...ไม่ได้ จะให้น้องหนีไปได้อย่างไร พี่จะได้ความลำบาก..."
จูตงจึงว่า
"..เจ้าไม่เข้าใจ ผู้รักษาเมืองนี้รักใคร่นางแปะสิวเองมาแต่เดิมจึงแค้นเคืองน้องนัก แกล้งปรึกษาโทษให้ตายตามกัน บัดนี้หนังสือที่ปรึกษาโทษ ผู้รักษาเมืองให้เจ้าพนักงาน ถือไปเมืองเจ๋จิวฮู้แล้ว ถ้าน้องไปถึงเมื่อไรก็คงตาย พี่จึงคิดการปล่อยให้หนีไปจะได้พ้นอันตราย ถึงตัวพี่จะมีโทษก็ยังหาต้องตายไม่ ประการหนึ่งบิดามารดาพี่ก็ไม่มี จะลำบากยากเย็นสักหน่อยหนึ่งไม่เป็นไรนัก น้องจงพามารดาหนีเอาตัวรอดไปเถิด....."
ลุยเหงก็คุกเข่าลงคำนับลา แล้วหนีออกทางหลังโรง ตรงไปที่บ้านเก็บเงินทองใส่ห่อ อุ้มมารดาขึ้นบ่าหนีเล็ดลอดตรงไปเขาเนียซัวเปาะ
ส่วนจูตงนั้น เมื่อปล่อยลุยเหงหนีไปไกลแล้ว จึงบอกผู้คุมว่าลุยเหงถอดขื่อคาหนีไปได้ ผู้คุมและพวกทหารบอกว่า ติดตามไปที่บ้านคงจะได้ตัว จูตงก็พาไพร่พลกลับมาแจ้งความแก่เจ้าเมืองว่า ลุยเหงหนีไปได้เสียแล้ว โทษทัณฑ์สิ่งใดตนขอรับเอง เจ้าเมืองใช้คนไปตามหาลุยเหงที่บ้านก็ไม่พบ แต่เจ้าเมืองรักใคร่จูตงอยู่ จึงลดโทษให้เฆี่ยนยี่สิบที แล้วเนรเทศไปอยู่เมืองซองจิวฮู้เสีย
เจ้าเมืองซองจิวฮู้ก็เกิดความเมตตาจูตงอีก จึงให้ถอดขื่อคาออก แล้วเอาตัวไว้ใช้สอยที่บ้านตนเอง จูตงก็มีความสุขสบายดีพออยู่ได้
แต่ภายหลังเมื่อลุยเหงพามารดาหนีไปอยู่ที่เขาเนียซัวเปาะแล้ว พวกพี่น้องโจรต่างคิดถึงคุณของจูตง จึงให้ โงวหยง ลุยเหง และ ลีขุย มาชักชวนจูตงไปเป็นพวกด้วย ลุยเหงนั้นแอบเข้าไปหาจูตง ซึ่งเป็นคนเลี้ยงบุตรของเจ้าเมืองอยู่ เมื่อคุกเข่าลงคำนับแล้วก็บอกว่า
".....ตั้งแต่พี่ช่วยชีวิตไว้ จะไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ได้ จึงต้องไปเข้าเป็นพวกพ้อง ซ้องกั๋ง อยู่ตำบลเขาเนียซัวเปาะ น้องแจ้งความซึ่งพี่ช่วยชีวิตไว้ให้ เตียวไก่ ซ้องกั๋งฟัง พากันสรรเสริญพี่ทุกคน ซ้องกั๋งคิดถึงบุญคุณพี่อยู่มิได้ขาด จึงให้โงวหยงซินแส กับน้องมาสืบข่าว....."
จูตงถามว่าโงวหยงอยู่ที่ไหน โงวหยงก็ออกมาพบ เมื่อทำคำนับแล้วก็ว่า
".....ข้าพเจ้าอยู่ที่เขาเนียซัวเปาะก็มีความสุข แต่เตียวไก่ ซ้องกั๋งกับพี่น้องเหล่านั้นคิดถึงท่านอยู่ทุกวัน จึงให้ข้าพเจ้ากับลุยเหงมาเชิญท่านไปอยู่ด้วยกัน จะได้เป็นที่ปรึกษา ข้าพเจ้ามาอยู่ที่นี่หลายวันแล้ว ไม่อาจจะมาให้พบ เวลาค่ำวันนี้เป็นวันดี เชิญท่านไปเขาเนียซัวเปาะด้วยกัน เตียวไก่ซ้องกั๋งจะได้คลายวิตก...."
จูตงนั่งตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดว่า
".....ท่านซินแสพูดดังนี้ผิดไป ถ้าผู้คนเขาได้ยินก็จะไม่ดี ด้วยลุยเหงโทษถึงตายข้าพเจ้าแข็งใจสู้ปล่อยไป ลุยเหงอยู่ที่ไหนไม่ได้ จึงต้องไปเข้าเป็นพวกน้อง ซึ่งตัวข้าพเจ้านี้เข้ารับโทษ ก็ยังไม่ถึงที่ตาย จึงได้เนรเทศมา ถ้าแม้นเทพยดาฟ้าและดินช่วยให้สิ้นโทษ กลับไปบ้านเมืองจะได้ว่าราชการ สืบตระกูลต่อไป ซึ่งจะให้ข้าพเจ้าเป็นพวกพ้องด้วยนั้นไม่ได้ เชิญท่านกับลุยเหง กลับไปเถิด….”
ลุยเหงแย้งว่า
".....พี่มาอยู่ที่นี่ถึงไม่มีโทษก็จริง แต่ยังอยู่ในบังคับให้เขาใช้สอย จะว่าเป็นชายชาติทหารยังไรได้ เตียวไก่ซ้องกั๋งคิดถึงบุณคุณ เห็นว่าพี่เป็นคนสัจซื่อ อยากจะให้ไปมีความสุขด้วยกัน....."
จูตงก็ว่า
".....พูดอะไรไม่คิดถึงความหลังบ้างเลย พี่เห็นมารดาของน้องชราและยากจน จึงปล่อยให้หนีไป ยังกลับมาชวนเข้าเป็นพวกพ้องด้วย จะมิเสียชื่อเสียงไปหรือ...."
โงวหยงกับลุยเหงจึงจำใจขอลากลับไป แต่ลีขุยไม่ยอมกลับ วางแผนลักพาเอาบุตรของเจ้าเมืองซองจิวฮู้ อายุเพียงสี่ขวบไปฆ่าเสีย ความผิดจึงมาตกอยู่กับจูตงอย่างหนัก อยู่ต่อไปไม่ได้ต้องหนีออกจากเมือง ไปอาศัยอยู่ที่เขาเนียซัวเปาะตามคำชวนของพวกน้อง ๆ
และแม้ว่าจะโกรธแค้นลีขุย ที่เป็นตัวการให้ต้องจากเจ้าเมืองผู้มีคุณมาเข้าเป็นพวกโจร แต่ก็ไม่สามารถกลับไปแก้ตัวได้ เพราะกลายเป็นคนร้ายมีสินบนนำจับไปเสียแล้ว จะฆ่าลีขุยเสียพวกพ้องก็ขอร้องไว้ จึงต้องจำใจกลายเป็นพวกเขาเนียซัวเปาะไปในที่สุด
ทั้งสองนายทหารคือ ลุยเหง กับ จูตง นี้ ต่างก็เป็นคนดีมีคุณธรรมมาแต่เดิมทั้งคู่ และต่างก็เป็นมิตรที่ดีต่อกันตลอดมา แต่ชตาชีวิตกลับหักเหลงไปอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งสองได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่ง คงจะได้รับการอภัยโทษจากฮ่องเต้ แล้วจะได้กลับไปรับใช้สนองคุณแผ่นดินอีก ในโอกาสหน้า.
##########
วารสารกองพลทหารม้าที่ ๑
มกราคม ๒๕๔๒
วางเมื่อ ๓๑ มี.ค.๕๖ เวลา ๐๗.๕๓
ลุยเหง..จูตง...สองสหายใจซื่อ (๒)
ลุยเหง..จูตง.....สองสหายใจซื่อ
ตอนที่ ๒ ชีวิตที่ผกผัน
"เล่าเซี่ยงชุน"
เมื่อ ลุยเหง กลับมาอยู่กับมารดาที่เมืองหุนเสียกุ้ยแล้ว ก็ทำราชการใกล้ชิดกับจูตง ตามปกติเช่นเคยต่อมาโดยไม่มีเหตุการณ์สิ่งใดเกิดขึ้น จนกระทั่งวันหนึ่งลุยเหงออกจากบ้านเดินไปทางหน้าเมือง มีชายผู้หนึ่งชื่อ ลิเซียวยี ร้องทักทายว่าท่านนายทหารมาถึงหลายวันแล้วหรือ ลุยเหงก็ว่ามาหลายวันแล้วแต่ไม่ได้ออกมาเดินเล่นแถวนี้ ลิเซียวยี่ก็แนะนำว่า เมื่อท่านไปราชการนั้น มีชาวเมืองตังเกียสองคนพ่อลูกมาทำงานอยู่ที่เมืองนี้ บิดาชื่อ แปะเงกเกียว บุตรสาวชื่อ แปะสิวเอง รูปร่างงดงามฝีมือร่ายรำร้องเพลงไม่มีผู้ใดเสมอ ทั้งคู่อยู่ที่โรงแถวตลาด ว่าแล้วก็ชวนลุยเหงเดินไปยืนดูอยู่ที่โรง ซึ่งทำไว้อย่างสวยงาม มีผู้คนชุมนุมดูกันอยู่เป็นจำนวนมาก ลุยเหงก็พลัดกับลิเซียวยี เดินเบียดผู้คนเข้าไปนั่งอยู่หน้าโรง
ครั้นได้เวลาแปะเงกเกียวให้นางแปะสิวเอง จัดแจงแต่งตัวสวยงามออกมายืนหน้า โรง ผู้เป็นบิดาก็คำนับตามบรรดาคนดูแล้วร้องว่า
"........ข้าพเจ้าชื่อ แปะเงกเกียว บุตรสาวชื่อนางแปะสิวเอง ชาวเมืองตังเกีย พากันมาเต้นรำทำเพลงหาเลี้ยงชีวิต ตามแต่ท่านทั้งหลายจะให้ จงได้เมตตากับข้าพเจ้าคนอนาถาเถิด..."
แล้วทั้งสองพ่อลูกก็เต้นรำร้องเพลงต่าง ๆ ผู้ดูทั้งหลายก็ชอบใจสรรเสริญว่า นางแปะสิวเองรูปร่างงดงามว่องไวเสียงไพเราะ ครั้นรำจบแล้วก็ลงมาจากโรง เห็นลุยเหงนั่งอยู่ข้างหน้าคนทั้งปวง ก็ตรงเข้าไปเรี่ยไรเงินที่ลุยเหงก่อน ลุยเหงคลำดูเงินในเสื้อก็ไม่มี จึงบอกว่า
".....วันนี้เราไม่ได้เอาเงินมา ต่อพรุ่งนี้จะเอามาให้....."
นางแปะสิวเองว่าการงานสิ่งใดช้าวันไปก็จืดจาง ลุยเหงนั่งอยู่หน้าจงออกเงินให้เป็นธรรมเนียมก่อน จึงจะควร ผู้อื่นจะได้ทำตาม
ลุยเหงก็อายแก่คนทั้งปวงยิ่งนักบอกว่าลืมไม่ได้เอาเงินมาจริง ๆ นางแปะสิวเองว่าจะมาดูฟังเพลง เหตุไฉนไม่เอาเงินมาบ้าง ไม่รู้จักแบบธรรมเนียมเลย ลุยเหงก็ว่าทำไมกับเงินเล็กน้อยสักสี่ห้าตำลึงนั้นให้ได้แต่เวลานี้ไม่มีจริง ๆ แปะเงกเกียวก็แกล้งห้ามบุตรสาวว่า
".......เจ้าไม่ดูเสียก่อนว่า เป็นชาวบ้านนอกหรือชาวเมืองนี้ อย่าได้ทวงถามเขาเลยไปที่ท่านผู้อื่นเถิด...."
ลุยเหงก็ยืนยันว่าอย่าวิตกเลยจะเอามาให้แน่ แปะเงกเกียวจึงกล่าวสบประมาทว่า ควรจะให้สุนัขมีเขาเสียก่อน คนรอบ ๆ นั้นก็หัวเราะกันครื้นเครง ลุยเหงได้ความอัปยศก็โกรธ ด่าว่าแปะเงกเกียว ไปเป็นอันมาก สองพ่อลูกก็ช่วยกันด่าตอบ ผู้คนที่รู้จักลุยเหงพากันห้ามว่า ที่วิวาทกันนั้นเป็นนายทหาร อย่าว่ากล่าวให้เกินเลยไปนัก แปะเงกเกียวไม่ฟัง ว่าเป็นนายทหารก็ไม่กลัว แล้วกลับด่าหนักขึ้นอีก ลุยเหงทนไม่ไหวก็เอาเท้าถีบ ถูกแปะเงกเกียวล้มลง คนทั้งหลายก็เข้าไปห้ามไว้ ลุยเหงจึงกลับมาบ้าน
แต่นางแปะสิวเองเมื่ออยู่เมืองตังเกียนั้นรักใคร่ได้เสียกับเจ้าเมืองคนหม่ ครั้นย้ายมาเป็นเจ้าเมืองหุนเสียกุ้ย ก็ตามมาทำงานที่เมืองนี้ เจ้าเมืองก็อุปการะปลูกร้านโรงให้ด้วย นางเจ็บใจที่ลุยเหงทำร้ายบิดา จึงเอาเกี้ยวหามบิดาไปยังบ้านเจ้าเมือง ฟ้องว่าลุยเหงทุบตีบิดาจนล้มลง ศรีษะแตกเจ็บป่วยเป็นอันมาก เจ้าเมืองก็โกรธรับฟ้องไว้แล้วให้เจ้าหน้าที่ไปชันสูตรบาดแผลและสืบพยาน พวกขุนนางที่ชอบพอกับลุยเหงจะช่วยกันขอร้องก็ไม่ฟัง ให้ทหารจับตัวลุยเหงมาเฆี่ยน แล้วมัดประจานไว้กลางตลาด นางแปะสิวเองยังไม่หายแค้น ก็ขอให้เจ้าเมืองเอาลุยเหง ไปเฆี่ยนตีบนโรงแสดงซ้ำอีก พวกผู้คุมที่คุ้นเคยจะแก้ไขลดหย่อนผ่อนปรนบ้าง นางแปะสิวเองก็ขู่ว่าจะไปฟ้องเจ้าเมือง จึงไม่มีใครกล้าช่วยลุยเหง
เมื่อมารดาของลุยเหงได้แจ้งเรื่องราว ว่าบุตรต้องโทษถูกเฆี่ยนตีก็มีความวิตก รีบจัดหาอาหารมาส่ง เห็นบุตรต้องถูกมัดตากหน้าอยู่ก็ร้องไห้ เข้าไปบอกผู้คุมว่า
".....ท่านกับบุตรเราทำราชการอยู่ด้วยกัน ช่างไม่เวทนาลุยเหงบ้าง จำครบเสียทุกอย่าง....."
ผู้คุมก็กระซิบว่าโจทก์นั้น เขารักใคร่ได้เสียเป็นเมียเจ้าเมือง คอยติดตามดูว่าใครช่วยเหลือ จะได้ไปฟ้องให้ลงโทษ มารดาลุยเหงก็โกรธเข้าไปแก้มัดลุยเหงด้วยตนเอง พลางด่าว่านางแปะสิวเองไปด้วย นางแปะสิวเองก็โกรธเข้ามาด่าว่า และทุบตีมารดาลุยเหงซึ่งเป็นคนชราแล้ว สู้กำลังไม่ได้ก็ล้มลง
ลุยเหงทนไม่ไหวจึงเอาขื่อคาที่สวมคออยู่ ฟาดถูกนางแปะสิวเองศรีษะแตกตายคาที่ ผู้คุมก็ตกใจเอาตัวลุยเหงไปแจ้งกับเจ้าเมืองว่า นางแปะสิวเองวิวาทกับมารดาลุยเหง เลยถูกลุยเหงตีตาย เจ้าเมืองก็ยิ่งโกรธหนัก จัดการไต่สวนด้วยตนเอง ลุยเหงก็รับสารภาพ เจ้าเมืองจึงสั่งให้เอาตัวลุยเหงไปจำขังไว้ให้มั่นคง แปะเงกเกียวก็เอาศพบุตรสาวไปฝังไว้ตามประเพณี
ฝ่ายจูตงเป็นขุนนางกำกับคุกอยู่ พอผู้คุมเอาตัวลุยเหงไปส่งก็รับไว้และจัดที่อยู่กับอาหารให้มีความสะดวกสบาย มารดาของลุยเหงนำอาหารมาให้บุตรชายที่คุก เห็นจูตงช่วยเหลือดีก็ค่อยสบายใจ ลากลับไปอยู่บ้านด้วยความโล่งอก แต่แปะเงกเกียวคิดอาฆาตลุยเหง จึงไปเรียกร้องให้เจ้าเมืองตัดสินประหารลุยเหง ให้ตายตกไปตามกันเสีย เจ้าเมืองปรึกษากับกรมการเมืองแล้ว จึงส่งตัวไปประหารที่เมืองเจ๋จิวฮู้ หลังจากที่ได้ขังไว้หกสิบวันแล้ว แม้จูตงจะเอาเงินทองไป ติดสินบนเจ้าเมืองก็ไม่รับ
เมื่อครบกำหนดหกสิบวัน เจ้าเมืองจึงให้ขุนนางถือหนังสือ คำพิพากษาโทษไปส่งที่เมืองเจ๋จิวฮู้พิจารณาก่อน แล้วสั่งให้จูตงคุมลุยเหงไปส่งทีหลัง จูตงจัดทหารควบคุมตัวลุยเหงออกจากเมืองหุนเสียกุ้ย เดินทางไปได้ประมาณสิบลี้ ก็แวะพาลิ่วล้อเข้าไปซื้อสุรากิน ที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง แล้วถอดขื่อคาออกจากตัวลุยเหง บอกว่า
"...น้องจงหลีกหนีกลับไปบ้านมารดา เร่งรีบไปอยู่ที่อื่น พี่จะรับโทษแทนเอง....."
ลุยเหงบอกว่า
"...ไม่ได้ จะให้น้องหนีไปได้อย่างไร พี่จะได้ความลำบาก..."
จูตงจึงว่า
"..เจ้าไม่เข้าใจ ผู้รักษาเมืองนี้รักใคร่นางแปะสิวเองมาแต่เดิมจึงแค้นเคืองน้องนัก แกล้งปรึกษาโทษให้ตายตามกัน บัดนี้หนังสือที่ปรึกษาโทษ ผู้รักษาเมืองให้เจ้าพนักงาน ถือไปเมืองเจ๋จิวฮู้แล้ว ถ้าน้องไปถึงเมื่อไรก็คงตาย พี่จึงคิดการปล่อยให้หนีไปจะได้พ้นอันตราย ถึงตัวพี่จะมีโทษก็ยังหาต้องตายไม่ ประการหนึ่งบิดามารดาพี่ก็ไม่มี จะลำบากยากเย็นสักหน่อยหนึ่งไม่เป็นไรนัก น้องจงพามารดาหนีเอาตัวรอดไปเถิด....."
ลุยเหงก็คุกเข่าลงคำนับลา แล้วหนีออกทางหลังโรง ตรงไปที่บ้านเก็บเงินทองใส่ห่อ อุ้มมารดาขึ้นบ่าหนีเล็ดลอดตรงไปเขาเนียซัวเปาะ
ส่วนจูตงนั้น เมื่อปล่อยลุยเหงหนีไปไกลแล้ว จึงบอกผู้คุมว่าลุยเหงถอดขื่อคาหนีไปได้ ผู้คุมและพวกทหารบอกว่า ติดตามไปที่บ้านคงจะได้ตัว จูตงก็พาไพร่พลกลับมาแจ้งความแก่เจ้าเมืองว่า ลุยเหงหนีไปได้เสียแล้ว โทษทัณฑ์สิ่งใดตนขอรับเอง เจ้าเมืองใช้คนไปตามหาลุยเหงที่บ้านก็ไม่พบ แต่เจ้าเมืองรักใคร่จูตงอยู่ จึงลดโทษให้เฆี่ยนยี่สิบที แล้วเนรเทศไปอยู่เมืองซองจิวฮู้เสีย
เจ้าเมืองซองจิวฮู้ก็เกิดความเมตตาจูตงอีก จึงให้ถอดขื่อคาออก แล้วเอาตัวไว้ใช้สอยที่บ้านตนเอง จูตงก็มีความสุขสบายดีพออยู่ได้
แต่ภายหลังเมื่อลุยเหงพามารดาหนีไปอยู่ที่เขาเนียซัวเปาะแล้ว พวกพี่น้องโจรต่างคิดถึงคุณของจูตง จึงให้ โงวหยง ลุยเหง และ ลีขุย มาชักชวนจูตงไปเป็นพวกด้วย ลุยเหงนั้นแอบเข้าไปหาจูตง ซึ่งเป็นคนเลี้ยงบุตรของเจ้าเมืองอยู่ เมื่อคุกเข่าลงคำนับแล้วก็บอกว่า
".....ตั้งแต่พี่ช่วยชีวิตไว้ จะไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ได้ จึงต้องไปเข้าเป็นพวกพ้อง ซ้องกั๋ง อยู่ตำบลเขาเนียซัวเปาะ น้องแจ้งความซึ่งพี่ช่วยชีวิตไว้ให้ เตียวไก่ ซ้องกั๋งฟัง พากันสรรเสริญพี่ทุกคน ซ้องกั๋งคิดถึงบุญคุณพี่อยู่มิได้ขาด จึงให้โงวหยงซินแส กับน้องมาสืบข่าว....."
จูตงถามว่าโงวหยงอยู่ที่ไหน โงวหยงก็ออกมาพบ เมื่อทำคำนับแล้วก็ว่า
".....ข้าพเจ้าอยู่ที่เขาเนียซัวเปาะก็มีความสุข แต่เตียวไก่ ซ้องกั๋งกับพี่น้องเหล่านั้นคิดถึงท่านอยู่ทุกวัน จึงให้ข้าพเจ้ากับลุยเหงมาเชิญท่านไปอยู่ด้วยกัน จะได้เป็นที่ปรึกษา ข้าพเจ้ามาอยู่ที่นี่หลายวันแล้ว ไม่อาจจะมาให้พบ เวลาค่ำวันนี้เป็นวันดี เชิญท่านไปเขาเนียซัวเปาะด้วยกัน เตียวไก่ซ้องกั๋งจะได้คลายวิตก...."
จูตงนั่งตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดว่า
".....ท่านซินแสพูดดังนี้ผิดไป ถ้าผู้คนเขาได้ยินก็จะไม่ดี ด้วยลุยเหงโทษถึงตายข้าพเจ้าแข็งใจสู้ปล่อยไป ลุยเหงอยู่ที่ไหนไม่ได้ จึงต้องไปเข้าเป็นพวกน้อง ซึ่งตัวข้าพเจ้านี้เข้ารับโทษ ก็ยังไม่ถึงที่ตาย จึงได้เนรเทศมา ถ้าแม้นเทพยดาฟ้าและดินช่วยให้สิ้นโทษ กลับไปบ้านเมืองจะได้ว่าราชการ สืบตระกูลต่อไป ซึ่งจะให้ข้าพเจ้าเป็นพวกพ้องด้วยนั้นไม่ได้ เชิญท่านกับลุยเหง กลับไปเถิด….”
ลุยเหงแย้งว่า
".....พี่มาอยู่ที่นี่ถึงไม่มีโทษก็จริง แต่ยังอยู่ในบังคับให้เขาใช้สอย จะว่าเป็นชายชาติทหารยังไรได้ เตียวไก่ซ้องกั๋งคิดถึงบุณคุณ เห็นว่าพี่เป็นคนสัจซื่อ อยากจะให้ไปมีความสุขด้วยกัน....."
จูตงก็ว่า
".....พูดอะไรไม่คิดถึงความหลังบ้างเลย พี่เห็นมารดาของน้องชราและยากจน จึงปล่อยให้หนีไป ยังกลับมาชวนเข้าเป็นพวกพ้องด้วย จะมิเสียชื่อเสียงไปหรือ...."
โงวหยงกับลุยเหงจึงจำใจขอลากลับไป แต่ลีขุยไม่ยอมกลับ วางแผนลักพาเอาบุตรของเจ้าเมืองซองจิวฮู้ อายุเพียงสี่ขวบไปฆ่าเสีย ความผิดจึงมาตกอยู่กับจูตงอย่างหนัก อยู่ต่อไปไม่ได้ต้องหนีออกจากเมือง ไปอาศัยอยู่ที่เขาเนียซัวเปาะตามคำชวนของพวกน้อง ๆ
และแม้ว่าจะโกรธแค้นลีขุย ที่เป็นตัวการให้ต้องจากเจ้าเมืองผู้มีคุณมาเข้าเป็นพวกโจร แต่ก็ไม่สามารถกลับไปแก้ตัวได้ เพราะกลายเป็นคนร้ายมีสินบนนำจับไปเสียแล้ว จะฆ่าลีขุยเสียพวกพ้องก็ขอร้องไว้ จึงต้องจำใจกลายเป็นพวกเขาเนียซัวเปาะไปในที่สุด
ทั้งสองนายทหารคือ ลุยเหง กับ จูตง นี้ ต่างก็เป็นคนดีมีคุณธรรมมาแต่เดิมทั้งคู่ และต่างก็เป็นมิตรที่ดีต่อกันตลอดมา แต่ชตาชีวิตกลับหักเหลงไปอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งสองได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่ง คงจะได้รับการอภัยโทษจากฮ่องเต้ แล้วจะได้กลับไปรับใช้สนองคุณแผ่นดินอีก ในโอกาสหน้า.
##########
วารสารกองพลทหารม้าที่ ๑
มกราคม ๒๕๔๒
วางเมื่อ ๓๑ มี.ค.๕๖ เวลา ๐๗.๕๓