ดัชนีตลาดทรัพย์ดิ่งลงอย่างหนักในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ถึง 7.46% โดยเป็นการปรับตัวที่ค่อนข้างแรงและเร็วกว่าที่คาดการณ์ ทำให้สมาคมหลักทรัพย์ต้องมีการประชุมสมาชิกเพื่อประเมินสถานการณ์และเตรียมมาตรการในการดูแลลูกค้า ซึ่งเป็นรายย่อย หลังจากในช่วงปีที่ผ่านมา มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น
นางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) และ นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ กล่าวว่า ในวันที่ 26 มี.ค. นี้ จะมีการประชุมสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ เพื่อหารือถึงหลักเกณฑ์การเพิ่มหลักประกันของบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ด้วยเงินสด หรือ แคชบาลานซ์ จาก 15% เป็น 20% ซึ่งมองว่ามีผลกระทบต่อภาวการณ์ซื้อขายค่อนข้างน้อย ไม่ได้ทำให้นักลงทุนต้องวางเงินสดเพิ่ม เพราะลูกค้าก็มีหุ้นที่เป็นหลักประกันได้
นอกจากนี้ยังจะมีการหารือถึงภาพรวมภาวะตลาดที่ปรับลดลงแรงและเร็วในสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อติดตามสถานการณ์ตลาด รวมถึงการดูแลลูกค้าของบริษัทสมาชิก
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมาการดูแลลูกค้าของแต่ละราย ทั้งวงเงินหลักประกันและการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ หรือ มาร์จินโลน อยู่ในระดับที่เหมาะสม
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยน่าจะแกว่งและปรับฐานลดลงต่อเนื่องไปอีกระยะ เพราะในช่วงเดือนเม.ย. มีวันหยุดหลายวัน ทั้งในไทยและตลาดต่างประเทศ แต่เชื่อว่าคงไม่ถึงเดือนเพราะตลาดหุ้นไทยปรับตัวเร็ว ในช่วงนี้นักลงทุนอาจจะลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นลง โดยเฉพาะนักลงทุนที่ซื้อหุ้นเก็งกำไรสูง แต่แนะนำให้ขายหรือเปลี่ยนมาลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดี
"การที่หุ้นปรับฐานเป็นเรื่องดี เป็นสิ่งที่หลายคนอยากเห็น เพียงแต่ในรอบนี้เป็นการปรับฐานที่เร็ว และแรงเกินไป เหมือนช่วงที่ตลาดปรับขึ้น ซึ่งมองว่าตลาดคงจะปรับฐานต่อเนื่องไปสักระยะ แต่ยังไม่ถึงขั้นเป็นตลาดหมี เพราะภาพรวมตลาดหุ้นไทยในปีนี้ยังคงเป็นขาขึ้นอยู่"
นางภัทธีรา กล่าวต่อว่าหลังจากตลาดหุ้นไทยปรับฐานในรอบนี้ ภาพรวมของตลาดหลักทรัพย์จะชัดเจนมากขึ้น ทั้งปริมาณการซื้อขายที่อาจจะไม่สูงในระดับ 7-8 หมื่นล้านบาทเหมือนในปัจจุบัน เพราะการเก็งกำไรอาจจะปรับลดลง และจะเห็นภาพรวมของนักลงทุนหน้าใหม่ที่เข้ามาว่าเป็นอย่างไร จะอยู่นาน หรือแค่ชั่วคราว
ทั้งนี้ จากต้นปีจนถึงปัจจุบันการเปิดบัญชีใหม่เพิ่มขึ้นมาก ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ให้ข้อมูลว่ามีประมาณ 4 หมื่นบัญชี หากคิดเฉลี่ยทั้งระบบ มีการเปิดบัญชีใหม่ประมาณ 50 บัญชีต่อวันต่อโบรกเบอร์ หากเป็นโบรกเกอร์รายใหญ่ก็จะสูงกว่านี้
สำหรับของดีบีเอสฯ มีลูกค้ามาเปิดบัญชีเฉลี่ยประมาณ 100 บัญชีต่อวัน อย่างไรก็ตามบัญชีที่เปิดใหม่นั้น อาจจะไม่ใช่นักลงทุนหน้าใหม่ทั้งหมด มีบางส่วนที่เป็นนักลงทุนหน้าเก่า แต่มาเปิดบัญชีเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ด้วยเงินสด หรือ แคชบาลานซ์
กิมเอ็งประเมินมีโอกาสทั้ง 'ขึ้น-ร่วง'
นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้น่าจะยังคงผันผวนในขาลง ต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่ผ่านมา ตราบใดที่ยังไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาให้ตลาดรับรู้ แต่เชื่อว่าความตื่นตระหนกอาจจะน้อยลง
แต่นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็งฯ เห็นตรงข้าว โดยมองว่าตลาดหุ้นไทยมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้น เพราะในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับลดลงแรง ส่วนตลาดหุ้นไทยจะกลับเข้าสู่พื้นฐาน แรงซื้อหุ้นเก็งกำไรลดลงหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าแรงขายในช่วงที่ผ่านมา เป็นของนักลงทุนกลุ่มใด
เอเซียพลัสชี้มีโอกาสฟื้นหลังไตรมาสสอง
บล.เอเซีย พลัส วิเคราะห์ว่า ตลาดหุ้นไทยมีการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) สูงถึง 25% เป็นรองเพียงตลาดไต้หวัน จึงหนุนให้ดัชนีหุ้นไทยมีค่า Current Per ขึ้นไปแตะระดับสูงสุด 18 เท่าซึ่งสูงในระดับต้นๆ ของประเทศในภูมิภาคเอเชีย และยังเป็นระดับสูงสุด นับจากปีที่ประเทศไทยหลุดพ้นจากวิกฤติต้มยํากุ้ง จึงถือว่าสุ่มเสี่ยงกับการปรับฐานมากขึ้น
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติได้ส่งสัญญาณการซื้อที่ลดลง หรืออยู่ในช่วงปลายขาเข้า โดยคาดว่าต่างชาติจะเริ่มเข้าสู่ช่วงต้นขาออกในไตรมาสสองเป็นต้นไป จึงคาดว่าดัชนีหุ้นไทยน่าจะมีแนวโน้มที่จะลดความร้อนแรงลง โดยน่าจะซื้อขายด้วย PER 15-16 เท่า กล่าวคือ สิ้นงวดไตรมาสสอง น่าจะจะอยู่ที่ 16 เท่า หรือเทียบเท่าดัชนี 1,532 จุด
คาดว่า ระหว่างไตรมาสสอง ดัชนีจะเคลื่อนไหวระหว่าง 1,532-1,475 จุด และเหลือ 15 เท่า ณ สิ้นปี 2556 หรือเทียบเท่าดัชนีเป้าหมายที่ 1,596 จุด นั่นหมายความว่าจะเห็นการปรับฐานของดัชนีในช่วงไตรมาสสองของปีนี้ แต่หลังจากนั้นน่าจะมีโอกาสที่จะฟื้นกลับไปใหม่อีกครั้ง
บลจ.กรุงไทย ปรับเป้า 1,755 จุด
ด้าน นายยืนยง เทพจำนงค์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายลงทุนงานลงทุนในตราสารทุน บลจ.กรุงไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยโดยพื้นฐานยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง บริษัทได้ปรับเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยขึ้นเป็น 1,755 จุด จาก 1,575 จุด เพราะโดยพื้นฐานยังคงแข็งแกร่ง
"ตลาดหุ้นใหญ่ยังไม่มา หุ้นที่วิ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดกลาง และขนาดเล็ก ทำให้ราคาหุ้นค่อนข้างเต็มมูลค่าในช่วงที่ผ่านมา เมื่อมีปัจจัยภายนอกเรื่องความกังวลของไซปรัส และการเรียกมาร์จินเพิ่มของโบรกเกอร์ ทำให้เกิดแรงขาย และทำให้หุ้นไทยปรับฐาน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติที่หุ้นไทยจะมีการปรับฐานลงมา 100-200 จุด โดยถือเป็นเรื่องปกติ"
แนะลงทุนกองทุนประหยัดภาษี
นายยืนยงแนะนำว่าในช่วงที่หุ้นปรับตัวขึ้นไปแตะระดับ 1,600 จุด ถือว่าเป็นภาวะที่ตลาดหุ้นค่อนข้างตึงตัวพอสมควร การที่ตลาดปรับฐานลงมาบ้าง ถือเป็นเรื่องที่ดีสำหรับนักลงทุนระยะกลางและระยะยาว และเป็นจังหวะที่ควรทยอยเข้าไปสะสมหุ้นได้ รวมทั้งนักลงทุนควรลงทุนในกองทุนประหยัดภาษี
แต่ประเมินว่าจากสภาคล่องที่ล้นระบบในปัจจุบัน ยังเป็นตัวสนับสนุนให้ตลาดหุ้นไม่ปรับตัวลงแรง และมีโอกาสเห็นหุ้นขึ้นไปทดสอบที่ระดับ 1,800 ได้ภายในไตรมาส 3 ปีนี้ ถ้าหุ้นลงมาแนวรับที่ระดับ 1,450 จุด ถือว่าเป็นระดับที่น่าสนใจเข้าไปรับ เพื่อลงทุนระยะกลางถึงระยะยาว
เช่นเดียวกับ นายชาคริต พืชพันธุ์ ผู้ช่วยกรรมการ ผู้จัดการฝ่ายตราสารทุน บลจ.เอ็มเอฟซี มองว่าพื้นฐานตลาดหุ้นไทยยังไม่เปลี่ยน แต่หลังปรับตัวลงแรงรอบนี้ มองว่าเนื่องจากก่อนหน้านี้มีการปรับตัวขึ้นมาแรง ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ โดยมองแนวรับที่ 1,450 จุด ประเมินว่าน่าจะรับอยู่ แต่ความกังวลของนักลงทุนที่เกิดจากความไม่ชัดเจนของเรื่องมาตรการดูแลค่าเงินบาท อาจทำให้นักลงทุนกังวล และขายหุ้นออกมาในช่วงนี้
"ปีนี้ยังคงมองเป้าดัชนีที่ระดับ 1,680 จุด ดังนั้นจังหวะที่หุ้นปรับตัวลดลง ก็เป็นโอกาสการเปลี่ยนหุ้นลงทุนของนักลงทุนในรอบนี้ เพราะหุ้นบางตัวลงแรงมากจนราคาหุ้นน่าสนใจ"
'วรวรรณ'มั่นใจพื้นฐานตลาด'กระทิง'
นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด กล่าวว่า ในสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดลดลงไปมาก โดยเฉพาะวันศุกร์ที่ผ่านมามีสถิติใหม่ มูลค่าการซื้อขาย 1.1 แสนล้านบาท หุ้นตกหนักเป็นประวัติการณ์ ซึ่งมีหลายปัจจัย ตั้งแต่ความกังวลการเมือง หรือ เกรงว่าวิกฤติไซปรัส
"มั่นใจว่าพื้นฐานตลาดหุ้นไทย ยังเป็น "กระทิง" ซึ่งกระทิงไม่เคยตาย เพราะไข้โป้ง แต่ค่อยๆ แก่ตาย เป็นภาวะที่ไม่เคยเปลี่ยน สะท้อนความแข็งแกร่งของพื้นฐานเศรษฐกิจไทย ซึ่งอนาคตคาดการณ์ว่าจะยังไต่ระดับสูงกว่า 1,600-1,700 จุด ด้วยซ้ำ โดยเฉพาะในเดือนเม.ย. นี้ จะมีการประกาศผลประกอบการของบริษัทต่างๆ"
อย่างไรก็ตาม น่าเป็นห่วงนักลงทุนรายย่อยที่เข้าตลาดหุ้นโดยไม่รู้ว่าคืออะไร และทำใจไม่ได้ว่าตื่นมาแล้วตลาดตกไป 20%
"ยืนยันว่า ปัจจัยพื้นฐานยังไม่เปลี่ยนแปลง หุ้นพื้นฐานดี ขยายตัว 5-20% ภาวการณ์ของหุ้นปรับลดลงขณะนี้ ไม่ใช่เพราะอะไรมันแย่" นางวรวรรณ กล่าว
ที่มา กทม. ธุรกิจ คลิก
สมาคมโบรกฯ นัดถกภาวะตลาดหุ้น หารือเพิ่มหลักประกันเงินสดจาก 15% เป็น 20% หลังจากดัชนีดิ่งแรง-เร็ว คาดตลาดปรับฐาน
ดัชนีตลาดทรัพย์ดิ่งลงอย่างหนักในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ถึง 7.46% โดยเป็นการปรับตัวที่ค่อนข้างแรงและเร็วกว่าที่คาดการณ์ ทำให้สมาคมหลักทรัพย์ต้องมีการประชุมสมาชิกเพื่อประเมินสถานการณ์และเตรียมมาตรการในการดูแลลูกค้า ซึ่งเป็นรายย่อย หลังจากในช่วงปีที่ผ่านมา มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น
นางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) และ นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ กล่าวว่า ในวันที่ 26 มี.ค. นี้ จะมีการประชุมสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ เพื่อหารือถึงหลักเกณฑ์การเพิ่มหลักประกันของบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ด้วยเงินสด หรือ แคชบาลานซ์ จาก 15% เป็น 20% ซึ่งมองว่ามีผลกระทบต่อภาวการณ์ซื้อขายค่อนข้างน้อย ไม่ได้ทำให้นักลงทุนต้องวางเงินสดเพิ่ม เพราะลูกค้าก็มีหุ้นที่เป็นหลักประกันได้
นอกจากนี้ยังจะมีการหารือถึงภาพรวมภาวะตลาดที่ปรับลดลงแรงและเร็วในสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อติดตามสถานการณ์ตลาด รวมถึงการดูแลลูกค้าของบริษัทสมาชิก
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมาการดูแลลูกค้าของแต่ละราย ทั้งวงเงินหลักประกันและการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ หรือ มาร์จินโลน อยู่ในระดับที่เหมาะสม
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยน่าจะแกว่งและปรับฐานลดลงต่อเนื่องไปอีกระยะ เพราะในช่วงเดือนเม.ย. มีวันหยุดหลายวัน ทั้งในไทยและตลาดต่างประเทศ แต่เชื่อว่าคงไม่ถึงเดือนเพราะตลาดหุ้นไทยปรับตัวเร็ว ในช่วงนี้นักลงทุนอาจจะลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นลง โดยเฉพาะนักลงทุนที่ซื้อหุ้นเก็งกำไรสูง แต่แนะนำให้ขายหรือเปลี่ยนมาลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดี
"การที่หุ้นปรับฐานเป็นเรื่องดี เป็นสิ่งที่หลายคนอยากเห็น เพียงแต่ในรอบนี้เป็นการปรับฐานที่เร็ว และแรงเกินไป เหมือนช่วงที่ตลาดปรับขึ้น ซึ่งมองว่าตลาดคงจะปรับฐานต่อเนื่องไปสักระยะ แต่ยังไม่ถึงขั้นเป็นตลาดหมี เพราะภาพรวมตลาดหุ้นไทยในปีนี้ยังคงเป็นขาขึ้นอยู่"
นางภัทธีรา กล่าวต่อว่าหลังจากตลาดหุ้นไทยปรับฐานในรอบนี้ ภาพรวมของตลาดหลักทรัพย์จะชัดเจนมากขึ้น ทั้งปริมาณการซื้อขายที่อาจจะไม่สูงในระดับ 7-8 หมื่นล้านบาทเหมือนในปัจจุบัน เพราะการเก็งกำไรอาจจะปรับลดลง และจะเห็นภาพรวมของนักลงทุนหน้าใหม่ที่เข้ามาว่าเป็นอย่างไร จะอยู่นาน หรือแค่ชั่วคราว
ทั้งนี้ จากต้นปีจนถึงปัจจุบันการเปิดบัญชีใหม่เพิ่มขึ้นมาก ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ให้ข้อมูลว่ามีประมาณ 4 หมื่นบัญชี หากคิดเฉลี่ยทั้งระบบ มีการเปิดบัญชีใหม่ประมาณ 50 บัญชีต่อวันต่อโบรกเบอร์ หากเป็นโบรกเกอร์รายใหญ่ก็จะสูงกว่านี้
สำหรับของดีบีเอสฯ มีลูกค้ามาเปิดบัญชีเฉลี่ยประมาณ 100 บัญชีต่อวัน อย่างไรก็ตามบัญชีที่เปิดใหม่นั้น อาจจะไม่ใช่นักลงทุนหน้าใหม่ทั้งหมด มีบางส่วนที่เป็นนักลงทุนหน้าเก่า แต่มาเปิดบัญชีเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ด้วยเงินสด หรือ แคชบาลานซ์
กิมเอ็งประเมินมีโอกาสทั้ง 'ขึ้น-ร่วง'
นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้น่าจะยังคงผันผวนในขาลง ต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่ผ่านมา ตราบใดที่ยังไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาให้ตลาดรับรู้ แต่เชื่อว่าความตื่นตระหนกอาจจะน้อยลง
แต่นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็งฯ เห็นตรงข้าว โดยมองว่าตลาดหุ้นไทยมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้น เพราะในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับลดลงแรง ส่วนตลาดหุ้นไทยจะกลับเข้าสู่พื้นฐาน แรงซื้อหุ้นเก็งกำไรลดลงหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าแรงขายในช่วงที่ผ่านมา เป็นของนักลงทุนกลุ่มใด
เอเซียพลัสชี้มีโอกาสฟื้นหลังไตรมาสสอง
บล.เอเซีย พลัส วิเคราะห์ว่า ตลาดหุ้นไทยมีการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) สูงถึง 25% เป็นรองเพียงตลาดไต้หวัน จึงหนุนให้ดัชนีหุ้นไทยมีค่า Current Per ขึ้นไปแตะระดับสูงสุด 18 เท่าซึ่งสูงในระดับต้นๆ ของประเทศในภูมิภาคเอเชีย และยังเป็นระดับสูงสุด นับจากปีที่ประเทศไทยหลุดพ้นจากวิกฤติต้มยํากุ้ง จึงถือว่าสุ่มเสี่ยงกับการปรับฐานมากขึ้น
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติได้ส่งสัญญาณการซื้อที่ลดลง หรืออยู่ในช่วงปลายขาเข้า โดยคาดว่าต่างชาติจะเริ่มเข้าสู่ช่วงต้นขาออกในไตรมาสสองเป็นต้นไป จึงคาดว่าดัชนีหุ้นไทยน่าจะมีแนวโน้มที่จะลดความร้อนแรงลง โดยน่าจะซื้อขายด้วย PER 15-16 เท่า กล่าวคือ สิ้นงวดไตรมาสสอง น่าจะจะอยู่ที่ 16 เท่า หรือเทียบเท่าดัชนี 1,532 จุด
คาดว่า ระหว่างไตรมาสสอง ดัชนีจะเคลื่อนไหวระหว่าง 1,532-1,475 จุด และเหลือ 15 เท่า ณ สิ้นปี 2556 หรือเทียบเท่าดัชนีเป้าหมายที่ 1,596 จุด นั่นหมายความว่าจะเห็นการปรับฐานของดัชนีในช่วงไตรมาสสองของปีนี้ แต่หลังจากนั้นน่าจะมีโอกาสที่จะฟื้นกลับไปใหม่อีกครั้ง
บลจ.กรุงไทย ปรับเป้า 1,755 จุด
ด้าน นายยืนยง เทพจำนงค์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายลงทุนงานลงทุนในตราสารทุน บลจ.กรุงไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยโดยพื้นฐานยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง บริษัทได้ปรับเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยขึ้นเป็น 1,755 จุด จาก 1,575 จุด เพราะโดยพื้นฐานยังคงแข็งแกร่ง
"ตลาดหุ้นใหญ่ยังไม่มา หุ้นที่วิ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดกลาง และขนาดเล็ก ทำให้ราคาหุ้นค่อนข้างเต็มมูลค่าในช่วงที่ผ่านมา เมื่อมีปัจจัยภายนอกเรื่องความกังวลของไซปรัส และการเรียกมาร์จินเพิ่มของโบรกเกอร์ ทำให้เกิดแรงขาย และทำให้หุ้นไทยปรับฐาน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติที่หุ้นไทยจะมีการปรับฐานลงมา 100-200 จุด โดยถือเป็นเรื่องปกติ"
แนะลงทุนกองทุนประหยัดภาษี
นายยืนยงแนะนำว่าในช่วงที่หุ้นปรับตัวขึ้นไปแตะระดับ 1,600 จุด ถือว่าเป็นภาวะที่ตลาดหุ้นค่อนข้างตึงตัวพอสมควร การที่ตลาดปรับฐานลงมาบ้าง ถือเป็นเรื่องที่ดีสำหรับนักลงทุนระยะกลางและระยะยาว และเป็นจังหวะที่ควรทยอยเข้าไปสะสมหุ้นได้ รวมทั้งนักลงทุนควรลงทุนในกองทุนประหยัดภาษี
แต่ประเมินว่าจากสภาคล่องที่ล้นระบบในปัจจุบัน ยังเป็นตัวสนับสนุนให้ตลาดหุ้นไม่ปรับตัวลงแรง และมีโอกาสเห็นหุ้นขึ้นไปทดสอบที่ระดับ 1,800 ได้ภายในไตรมาส 3 ปีนี้ ถ้าหุ้นลงมาแนวรับที่ระดับ 1,450 จุด ถือว่าเป็นระดับที่น่าสนใจเข้าไปรับ เพื่อลงทุนระยะกลางถึงระยะยาว
เช่นเดียวกับ นายชาคริต พืชพันธุ์ ผู้ช่วยกรรมการ ผู้จัดการฝ่ายตราสารทุน บลจ.เอ็มเอฟซี มองว่าพื้นฐานตลาดหุ้นไทยยังไม่เปลี่ยน แต่หลังปรับตัวลงแรงรอบนี้ มองว่าเนื่องจากก่อนหน้านี้มีการปรับตัวขึ้นมาแรง ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ โดยมองแนวรับที่ 1,450 จุด ประเมินว่าน่าจะรับอยู่ แต่ความกังวลของนักลงทุนที่เกิดจากความไม่ชัดเจนของเรื่องมาตรการดูแลค่าเงินบาท อาจทำให้นักลงทุนกังวล และขายหุ้นออกมาในช่วงนี้
"ปีนี้ยังคงมองเป้าดัชนีที่ระดับ 1,680 จุด ดังนั้นจังหวะที่หุ้นปรับตัวลดลง ก็เป็นโอกาสการเปลี่ยนหุ้นลงทุนของนักลงทุนในรอบนี้ เพราะหุ้นบางตัวลงแรงมากจนราคาหุ้นน่าสนใจ"
'วรวรรณ'มั่นใจพื้นฐานตลาด'กระทิง'
นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด กล่าวว่า ในสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดลดลงไปมาก โดยเฉพาะวันศุกร์ที่ผ่านมามีสถิติใหม่ มูลค่าการซื้อขาย 1.1 แสนล้านบาท หุ้นตกหนักเป็นประวัติการณ์ ซึ่งมีหลายปัจจัย ตั้งแต่ความกังวลการเมือง หรือ เกรงว่าวิกฤติไซปรัส
"มั่นใจว่าพื้นฐานตลาดหุ้นไทย ยังเป็น "กระทิง" ซึ่งกระทิงไม่เคยตาย เพราะไข้โป้ง แต่ค่อยๆ แก่ตาย เป็นภาวะที่ไม่เคยเปลี่ยน สะท้อนความแข็งแกร่งของพื้นฐานเศรษฐกิจไทย ซึ่งอนาคตคาดการณ์ว่าจะยังไต่ระดับสูงกว่า 1,600-1,700 จุด ด้วยซ้ำ โดยเฉพาะในเดือนเม.ย. นี้ จะมีการประกาศผลประกอบการของบริษัทต่างๆ"
อย่างไรก็ตาม น่าเป็นห่วงนักลงทุนรายย่อยที่เข้าตลาดหุ้นโดยไม่รู้ว่าคืออะไร และทำใจไม่ได้ว่าตื่นมาแล้วตลาดตกไป 20%
"ยืนยันว่า ปัจจัยพื้นฐานยังไม่เปลี่ยนแปลง หุ้นพื้นฐานดี ขยายตัว 5-20% ภาวการณ์ของหุ้นปรับลดลงขณะนี้ ไม่ใช่เพราะอะไรมันแย่" นางวรวรรณ กล่าว
ที่มา กทม. ธุรกิจ คลิก