ต้นรัชกาลที่สาม
กบฎแขกมาลายูมันเหิมเกริมนัก
การศึกปราบกบฎไทรบุรีครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก
ต้องเกณฑ์ทัพจากนครศรีธรรมราช พัทลุง
มาสมทบกับทัพหลวงที่มาตั้งกองกำลังทัพพร้อมรบ
รอทัพอื่นมาสบทบที่สงขลา
เมื่อรวมทัพพร้อมกันได้ฤกษ์ยามมหาพิชัยยุทธ์
จึงเริ่มเดินทางผ่านเส้นทางบกตามเส้นทางเดินโบราณ
ผ่านบ้านหลายแห่งรวมทั้งบ้านทุ่งหาดใหญ่
ตามพงศาวดารสงขลา
หรือบ้านหาดทรายใหญ่
ตามหนังสือประพาศต้นรัชกาลที่ 5
ส่วนทางน้ำเดินเรือทวนน้ำเข้าทางคลองอู่ตะเภา
ไหลมาจากมาเลย์ลงทางทิศใต้มาออกทางทิศเหนือ
ลงสู่ทะเลสาบสงขลาออกอ่าวไทยในบั้นปลาย
มีลำน้ำชื่อว่า คลองอู่ตะเภา
ทำให้หาดใหญ่มีชื่อเดิมว่า อำเภอเหนือ
การทำศึกต้องเตรียมสร้างเรือและแพ
ไว้ขนทหารกับเสบียงอาหารพร้อมกับเตรียมการศึก
มีการตัดไม้มาทำเรือที่คลองแงะ ทุ่งลุง
ดังจะปรากฎซากเรือโบราณแถวนี้หลายลำ
ร่วมกับตำนานเล่าขานของชาวบ้านสืบเนื่องกันมา
วันที่จากลาก็มาถึง
พี่ต้องเดินทัพไปทางใต้
ตอนเหนือของไทรบุรี หรือ รัฐเกดาห์
น้องต้องจากพี่แล้ว
การศึกถ้าเสร็จสิ้น
พี่ไม่ตาย เราคงต้องพบกันอีก
เสียงร่ำลาครวญครางของทั้งสอง
ด้วยเสียงน้องร้องไห้สะท้อนดังกึกก้อง คร่ำครวญ
ชาวบ้านและนายทหารนายกองต่างรับรู้และสงสาร
จึงตั้งนามหมู่บ้าน ณ ที่แห่งนี้ว่า
บ้านพังลา
ช้างพัง บอกลา ช้างพลาย แต่นั้นมา
คำบอกเล่า เจ้าอาวาสวัดพังลา
ตำบลพังลา อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา
แต่ภาคใต้จะมีต้นกล้วยชื่อ กล้วยพังลา
ส่วนแถวคาบสมุทรสทิงพระ
มีร่องรอยอารยธรรมขอมในพื้นที่และภาษา เช่น
คำว่า พัง คือ ที่เก็บน้ำ
ไม่ใช่พังบ้านพังเรือน
เช่น พังใหญ่ที่สุดในคาบสมุทรสทิงพระ อยู่ใกล้วัดพะโคะ
มีเทวสถานพราหมณ์ ศิวลึงค์ กับ โยนี อยู่ใกล้ ๆ กัน
ไม่ค่อยมีคนรับรู้หรือไปท่องเที่ยว ไว้จะเขียนในภายหลัง
พังใหญ่ พังเสม็ด พังเถียะ พังตรุ เป็นต้น
คำว่า พัง กร่อนมาจาก คำว่า
ตะพัง-แปลว่า ที่เก็บน้ำหรือสระน้ำ ตะพังสุรินทร์
สะทิ้งเปรียะ จะทิ้งเปรี๊ยะ
คลอง/ท่าน้ำ = จะทิ้ง สะทึง = ชัก หรือ ดึง เปรี๊ยะ = พระ
กร่อนจากภาษาขอมมาเป็น วัดจะทิ้งพระ
หรือที่เป็นข่าว เปรี๊ยะวิเฮียร์
พังลา
กบฎแขกมาลายูมันเหิมเกริมนัก
การศึกปราบกบฎไทรบุรีครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก
ต้องเกณฑ์ทัพจากนครศรีธรรมราช พัทลุง
มาสมทบกับทัพหลวงที่มาตั้งกองกำลังทัพพร้อมรบ
รอทัพอื่นมาสบทบที่สงขลา
เมื่อรวมทัพพร้อมกันได้ฤกษ์ยามมหาพิชัยยุทธ์
จึงเริ่มเดินทางผ่านเส้นทางบกตามเส้นทางเดินโบราณ
ผ่านบ้านหลายแห่งรวมทั้งบ้านทุ่งหาดใหญ่
ตามพงศาวดารสงขลา
หรือบ้านหาดทรายใหญ่
ตามหนังสือประพาศต้นรัชกาลที่ 5
ส่วนทางน้ำเดินเรือทวนน้ำเข้าทางคลองอู่ตะเภา
ไหลมาจากมาเลย์ลงทางทิศใต้มาออกทางทิศเหนือ
ลงสู่ทะเลสาบสงขลาออกอ่าวไทยในบั้นปลาย
มีลำน้ำชื่อว่า คลองอู่ตะเภา
ทำให้หาดใหญ่มีชื่อเดิมว่า อำเภอเหนือ
การทำศึกต้องเตรียมสร้างเรือและแพ
ไว้ขนทหารกับเสบียงอาหารพร้อมกับเตรียมการศึก
มีการตัดไม้มาทำเรือที่คลองแงะ ทุ่งลุง
ดังจะปรากฎซากเรือโบราณแถวนี้หลายลำ
ร่วมกับตำนานเล่าขานของชาวบ้านสืบเนื่องกันมา
วันที่จากลาก็มาถึง
พี่ต้องเดินทัพไปทางใต้
ตอนเหนือของไทรบุรี หรือ รัฐเกดาห์
น้องต้องจากพี่แล้ว
การศึกถ้าเสร็จสิ้น
พี่ไม่ตาย เราคงต้องพบกันอีก
เสียงร่ำลาครวญครางของทั้งสอง
ด้วยเสียงน้องร้องไห้สะท้อนดังกึกก้อง คร่ำครวญ
ชาวบ้านและนายทหารนายกองต่างรับรู้และสงสาร
จึงตั้งนามหมู่บ้าน ณ ที่แห่งนี้ว่า บ้านพังลา
ช้างพัง บอกลา ช้างพลาย แต่นั้นมา
คำบอกเล่า เจ้าอาวาสวัดพังลา
ตำบลพังลา อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา
แต่ภาคใต้จะมีต้นกล้วยชื่อ กล้วยพังลา
ส่วนแถวคาบสมุทรสทิงพระ
มีร่องรอยอารยธรรมขอมในพื้นที่และภาษา เช่น
คำว่า พัง คือ ที่เก็บน้ำ
ไม่ใช่พังบ้านพังเรือน
เช่น พังใหญ่ที่สุดในคาบสมุทรสทิงพระ อยู่ใกล้วัดพะโคะ
มีเทวสถานพราหมณ์ ศิวลึงค์ กับ โยนี อยู่ใกล้ ๆ กัน
ไม่ค่อยมีคนรับรู้หรือไปท่องเที่ยว ไว้จะเขียนในภายหลัง
พังใหญ่ พังเสม็ด พังเถียะ พังตรุ เป็นต้น
คำว่า พัง กร่อนมาจาก คำว่า
ตะพัง-แปลว่า ที่เก็บน้ำหรือสระน้ำ ตะพังสุรินทร์
สะทิ้งเปรียะ จะทิ้งเปรี๊ยะ
คลอง/ท่าน้ำ = จะทิ้ง สะทึง = ชัก หรือ ดึง เปรี๊ยะ = พระ
กร่อนจากภาษาขอมมาเป็น วัดจะทิ้งพระ
หรือที่เป็นข่าว เปรี๊ยะวิเฮียร์