หนังใหม่ของ สตีเว่น โซเดอร์เบิร์ก ใครที่คุ้นเคยกับชื่อนี้ดีก็จะพอรู้ว่า หนังของเขามักจะติดความเป็น 'สารคดี' แทบทุกเรื่อง แต่ด้วยความที่เขาเล่าเป็นสารคดี ทำให้หนังมันดูเรียลมาก ละเอียดมาก จนอาจจะพาลน่าเบื่อไปสักหน่อยสำหรับคนดูหนังที่ชอบอะไรที่หวือหวากว่านี้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดคือผลงานเรื่อง Contagion ที่เล่าภาวะโรคระบาดได้เหมือนสารคดีมาก และเรื่องนี้ก็ไม่ได้ต่างกับเรื่องนั้นสักเท่าไหร่ครับ
สิ่งที่ทำให้ผมนึกขึ้นได้ทันทีหลังดูจบคือคำพูดประโยคหนึ่งจากหนังเรื่องหนึ่งที่ว่า
"ทุกการกระทำ ย่อมมีผลที่ตามมาเสมอ"
และนั่นก็คือจุดประสงค์หลักของหนังเรื่องนี้ครับ หนังนำเราไปหาคำตอบว่า การใช้ตัวยาที่สร้างผลกระทบให้กับคนไข้จนเกิดโศกนาฏกรรมบานปลาย คนที่ผิดคือใคร? หมอ หรือ คนไข้ หรือ ยา? แล้วใครบ้างที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ ...ฟังดูก็ดราม่าดี (และดูค่อนข้างน่าเบื่อมากซะด้วย) ฟังดูก็ดูสมกับเป็นโซเดอร์เบิร์กดีเหมือนกัน - ดังนั้นผมอยากให้คุณเข้าไปดูหนังด้วยความรู้สึกแบบนี้ครับ คนที่คิดจะเข้าไปดูอยู่แล้ว ผมขอแนะนำให้หยุดอ่านตั้งแต่ตรงนี้ครับ ผมไม่อยากเล่าอะไรมากไปกว่านี้ เชื่อผมเถอะครับ เพราะยิ่งรู้น้อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งดูหนังเรื่องนี้ได้สนุกขึ้นเท่านั้นครับ
แต่สำหรับคนที่ไม่คิดจะดู ไม่ใช่แนว ไม่ใช่แฟนโซเดอร์เบิร์ก แล้วอยากรู้ว่าหนังมันจะน่าสนใจยังไง นี่คือเหตุผล 4 ข้อ ที่ทำให้ผมชอบหนังเรื่องนี้ครับ
1. มันคือหนังสารคดีในแบบโซเดอร์เบิร์ก หากคุณยิ่งคุ้นเคยหนังแบบเขามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเกิด side effect ได้มากเท่านั้น
2. มันไม่ใช่หนังที่น่าตื่นเต้นอะไร มันคือหนังดราม่าปกติธรรมดา ที่แฝงความร้ายลึกสุดขั้วไว้แบบไม่ธรรมดา
3. รูนี่มาร่า โดดเด่นมาก บทของเธอที่หนุนขนาดนี้และยากขึ้นเรื่อยๆตามลำดับเรื่อง ยิ่งทำให้ผมประทับใจมาก และผมคิดว่านี่คือบทบาทที่ดีที่สุดของเธอครับ (ในขณะที่บทสาวติ่งลายสักมังกร ก็ทำได้ดีมากแล้ว)
4. หนังมีจุดพลิกผันเยอะมาก ยิ่งทำให้น่าติดตามและน่าค้นหา แต่ไม่ว่าเนื้อเรื่องจะยุ่งเหยิงขนาดไหน ก็ยังมีประเด็นหลักที่ชัดเจนและตรงประเด็น ซึ่งล้วนแต่เกี่ยวพันกับคำว่า side effect ทั้งสิ้น เป็นหนังที่มีชื่อเรื่องเหมาะสมกับเนื้อเรื่องมากจนอยากจะให้รางวัลออสก้าร์สาขาการตั้งชื่อยอดเยี่ยม
4 definition of side effects
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
1st Side effect [the ill] - ในตอนแรก หนังพาเราไปพบผลกระทบของคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ที่กำลังกัดกินชีวิตไปเรื่อยๆ ทั้งการดำเนินชีวิต อารมณ์ หน้าที่การงาน และคนรอบข้าง
2st Side effect [the pill] - ต่อมาหนังก็พาเราไปเจอกับจุดหักเหหลัก นั่นคือการใช้ยา “อะบลิกซ่า” ที่เกิดผลข้างเคียง ทำให้เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญ
3rd Side effect [the circumstance] - หลังจากนั้นหนังก็เล่าถึงผลกระทบของเหตุการณ์นั้น ที่ขยายต่อเนื่องกลายเป็นลูกโซ่ ทั้งคุณหมอที่รักษาถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจนหมดสิ้นชื่อเสียง ลามไปถึงบริษัทผลิตยาที่สูญเสียรายได้อย่างหนัก
4th Side effect [the act] - สุดท้ายหนังก็ล้มกระดาน ซึ่งเป็นส่วนที่เต็มไปด้วยจุดผลิกผัน ล่อหลอกเราได้อย่างแยบคาย และกลับมาสู่ประโยคที่ผมเกริ่นไว้ในตอนต้น "ทุกการกระทำ ย่อมมีผลที่ตามมาเสมอ" มันคือผลกระทบจากการกระทำทั้งหมด
โดยรวมแล้วมันอาจจะไม่ใช่หนังที่แปลกใหม่ไปนัก ทั้งการล่อหลอกและการหักมุม 'หากคุณรู้ว่าหนังมันต้องหักมุม' แต่สำหรับคนที่คุ้นเคยกับงานของโซเดอร์เบิร์ก ก็จะทราบว่ามันเป็นหนังที่หวือหวามากถ้าเทียบกับงานชิ้นอื่นในระยะหลังของเขา เราไม่รู้ตัวเลยว่าโดนหนังจูงมูกให้เชื่อเรื่องตรงหน้าอย่างง่ายดายด้วยวิธีการเล่าเรื่องที่ดูเป็นปกติ ดราม่าเป็นปกติ ...Side effect ที่ 4 จะไม่ทรงพลังเลย หากว่าเราล่วงรู้ล่วงหน้าว่ามันต้องเป็นแบบนั้น และถึงแม้ว่าจะรู้อยู่แล้ว การใช้ประเด็นเกี่ยวกับ Side effect ก็นับว่าเป็นการสรุปได้อย่างน่าชื่นชม แสดงให้เห็นถึงด้านของอารมณ์ที่รุนแรง ร้ายลึก และน่ากลัวมากกว่า Side effect ด้านไหนๆ และเตือนเราว่า เราไม่ควรมองสิ่งต่างๆอย่างฉาบฉวย ดังคำพูดของตัวละครตัวหนึ่งที่ว่า "หมอทั่วไปสามารถใช้ผลการตรวจเลือดเพื่อวิเคราะห์ว่าเราเป็นโรคหัวใจหรือไม่ แต่สำหรับความนึกคิดหล่ะ เราจะล่วงรู้ได้อย่างไร"
สรุปแล้ว นับเป็นหนังที่มีเนื้อหาที่ดี เคลือบแฝงความสงสัย น่าติดตาม น่าค้นหา ที่มีการเล่าเรื่องแบบเรื่อยเปื่อยในแบบโซเดอร์เบิร์ก ถึงแม้หนังจะจบไปแล้วก็ยังสามารถเกิด Side effect ให้กับเราที่จะเก็บกลับมาคิดต่อได้อีก ลึกๆแล้วมันคือหนังที่มีความร้ายลึกในเรื่องที่ดูเหมือนจะธรรมดา เพราะสุดท้ายสิ่งที่ร้ายที่สุดก็คือความคิดของมนุษย์นั่นเองครับ
Facebook/nusfish.blog
[CR] Side Effects (2013) - 4 ความหมายของ side effects กับ 4 เหตุผลที่ผมชอบหนังเรื่องนี้
สิ่งที่ทำให้ผมนึกขึ้นได้ทันทีหลังดูจบคือคำพูดประโยคหนึ่งจากหนังเรื่องหนึ่งที่ว่า
"ทุกการกระทำ ย่อมมีผลที่ตามมาเสมอ"
และนั่นก็คือจุดประสงค์หลักของหนังเรื่องนี้ครับ หนังนำเราไปหาคำตอบว่า การใช้ตัวยาที่สร้างผลกระทบให้กับคนไข้จนเกิดโศกนาฏกรรมบานปลาย คนที่ผิดคือใคร? หมอ หรือ คนไข้ หรือ ยา? แล้วใครบ้างที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ ...ฟังดูก็ดราม่าดี (และดูค่อนข้างน่าเบื่อมากซะด้วย) ฟังดูก็ดูสมกับเป็นโซเดอร์เบิร์กดีเหมือนกัน - ดังนั้นผมอยากให้คุณเข้าไปดูหนังด้วยความรู้สึกแบบนี้ครับ คนที่คิดจะเข้าไปดูอยู่แล้ว ผมขอแนะนำให้หยุดอ่านตั้งแต่ตรงนี้ครับ ผมไม่อยากเล่าอะไรมากไปกว่านี้ เชื่อผมเถอะครับ เพราะยิ่งรู้น้อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งดูหนังเรื่องนี้ได้สนุกขึ้นเท่านั้นครับ
แต่สำหรับคนที่ไม่คิดจะดู ไม่ใช่แนว ไม่ใช่แฟนโซเดอร์เบิร์ก แล้วอยากรู้ว่าหนังมันจะน่าสนใจยังไง นี่คือเหตุผล 4 ข้อ ที่ทำให้ผมชอบหนังเรื่องนี้ครับ
1. มันคือหนังสารคดีในแบบโซเดอร์เบิร์ก หากคุณยิ่งคุ้นเคยหนังแบบเขามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเกิด side effect ได้มากเท่านั้น
2. มันไม่ใช่หนังที่น่าตื่นเต้นอะไร มันคือหนังดราม่าปกติธรรมดา ที่แฝงความร้ายลึกสุดขั้วไว้แบบไม่ธรรมดา
3. รูนี่มาร่า โดดเด่นมาก บทของเธอที่หนุนขนาดนี้และยากขึ้นเรื่อยๆตามลำดับเรื่อง ยิ่งทำให้ผมประทับใจมาก และผมคิดว่านี่คือบทบาทที่ดีที่สุดของเธอครับ (ในขณะที่บทสาวติ่งลายสักมังกร ก็ทำได้ดีมากแล้ว)
4. หนังมีจุดพลิกผันเยอะมาก ยิ่งทำให้น่าติดตามและน่าค้นหา แต่ไม่ว่าเนื้อเรื่องจะยุ่งเหยิงขนาดไหน ก็ยังมีประเด็นหลักที่ชัดเจนและตรงประเด็น ซึ่งล้วนแต่เกี่ยวพันกับคำว่า side effect ทั้งสิ้น เป็นหนังที่มีชื่อเรื่องเหมาะสมกับเนื้อเรื่องมากจนอยากจะให้รางวัลออสก้าร์สาขาการตั้งชื่อยอดเยี่ยม
4 definition of side effects
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สรุปแล้ว นับเป็นหนังที่มีเนื้อหาที่ดี เคลือบแฝงความสงสัย น่าติดตาม น่าค้นหา ที่มีการเล่าเรื่องแบบเรื่อยเปื่อยในแบบโซเดอร์เบิร์ก ถึงแม้หนังจะจบไปแล้วก็ยังสามารถเกิด Side effect ให้กับเราที่จะเก็บกลับมาคิดต่อได้อีก ลึกๆแล้วมันคือหนังที่มีความร้ายลึกในเรื่องที่ดูเหมือนจะธรรมดา เพราะสุดท้ายสิ่งที่ร้ายที่สุดก็คือความคิดของมนุษย์นั่นเองครับ
Facebook/nusfish.blog