Side Effects เป็นผลงานจากผู้กำกับ
สตีเว่น โซเดอร์เบิร์ก ที่เคยกำกับผลงานเยี่ยมๆมาแล้วใน
Traffic หรือถ้าเป็นแนวๆเดียวกับเรื่องนี้ก็จะต้องนึกถึง
Contagion เพราะทั้งสองเรื่องต่างก็เล่าเนื้อหาที่ลึกลับ ซับซ้อน ดูแล้วอยากเอาหัวโขกผนังโรง เพราะว่าดูไม่รู้เรื่อง ให้ตายเถอะ! แต่พอนั่งสมองเอ๋อดูหนังจนจบ กลับพบว่า การคลายปมตอนท้ายเรื่องทำให้หนังที่ดูไม่รู้เรื่องมาตั้งนาน กลายเป็นหนังที่เล่าเรื่องได้น่าค้นหามากๆ สำหรับใน Contagion อาจจะคลายปมแบบไม่เด็ดเท่าไร เพราะพอรู้เรื่องตอนจบปุ๊บ ก็เฉยๆไม่มีอะไรต่อ แต่สำหรับการคลายปมของ
Side Effects เป็นเหมือนการเปิดประตูสวรรค์ให้คนดู ที่กำลังงึมงำกับตัวเองว่า “ตูจะเข้าใจมันมั้ย” ให้เปลี่ยนความคิดเป็น “ตูดูรู้เรื่องแล้วเฟ้ย” แทน!!
จั่วหัวชื่อเรื่องมาว่า
Side Effects ก็ทำให้รู้คร่าวๆว่า หนังต้องกล่าวถึงผลกระทบของการใช้ยา ที่ทำให้เกิดผลข้างเคียงต่างๆนานา ไม่ว่าจะเป็น ประสาทหลอน นอนละเมอ หรือจำเหตุการณ์ที่กระทำไปแล้วไม่ได้ ซึ่งหนังก็เล่าในส่วนของผลกระทบอย่างเต็มแม็กซ์ ด้วยบทสนทนาที่เยอะมากๆ พูดกันไป พูดกันมา คิดว่าคนดูเค้าจะไม่งงหรือไง? ผลลัพธ์ที่ออกมาก็คือ งง! งงมากๆ แต่ก็พอจับประเด็นได้ว่า ตัวละครหลัก ซึ่งในเรื่องนี้คือ เอมิลี่ (
รูนีย์ มาร่า) มีอาการซึมเศร้าที่เป็นผลมาจากสามีอย่าง มาร์ติน (
แชนนิ่ง เททั่ม) ถูกจับเข้าคุกจากข้อหาอะไรก็ไม่รู้ที่หนังไม่ได้กล่าวเอาไว้ ทำให้ชีวิตสมรสที่เพิ่งจะก่อตัวของทั้งคู่ต้องพังครืนลง เอมิลี่เลยซึมเศร้าตั้งแต่บัดนั้น และเธอก็ไปพบหมอซีเบิร์ต (
แคทเธอรีน ซีต้า-โจนส์) ที่สั่งยาให้เธอกินมาเรื่อยๆ จนถึงเวลาที่สามีได้รับการปล่อยตัว เธอก็ได้อยู่กับเขาอีกครั้ง แต่ก็ยังกินยาต่อเนื่องมาตลอด จากคำสั่งของหมอคนใหม่ หมอแบงค์ (
จู๊ด ลอว์) แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เธอละเมอเอามีดแทงผัวตาย ในอพาร์ทเมนต์ที่ทั้งสองอยู่อาศัยกัน ทำให้เกิดเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาล หาต้นตอว่าใครเป็นคนผิด เอมิลี่ที่เอามีดแทงผัวเป็นคนผิด หรือหมอที่สั่งยา “อะบลิกซ่า” ให้เอมิลี่อย่างหมอแบงค์ เป็นคนผิดกันแน่
ด้วยประเด็นตัวยา “อะบลิกซ่า” หนังได้จูงจมูกให้คนดูเข้าใจว่าเรื่องราวทั้งหมด น่าจะมาจากผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากการทานยาตัวนี้ ซึ่งนำเสนอผ่านตัวละครเอมิลี่มาตลอด เพราะเธอมักจะแสดงพฤติกรรมแปลกๆ ไม่ว่าจะเป็นขับรถชนผนังในลานจอดรถ ยืนเหม่อลอยจนจะร่วงไปในรางรถไฟใต้ดิน หรือเดินละเมอมาทำอาหารเช้าตอนกลางดึก ซึ่งทำให้คนดูเกิดความคิดต่างๆนานา จนตอนแรกๆคิดว่าดูเข้าใจแล้ว แต่เมื่อเจอกับบทสนทนายาวเหยียด ขึ้นโรงขึ้นศาลฟ้องร้อง อะไรต่อมิอะไร กลับงงยิ่งกว่าเดิม เพราะมันเหมือนวนลูปกลับไปเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น พอเกิดความรู้สึกว่าจะดูไม่รู้เรื่องซะให้ได้ หนังก็ใจดี ค่อยๆแพลมความลับที่ซ่อนเอาไว้ทีละนิด แต่ก็ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่พอถึงจุดไคลแม็กซ์ ที่โพล่งความลับที่ซ่อนเอาไว้ทั้งหมดออกมา ความสงสัยทั้งหมดทั้งมวลเริ่มกระจ่างชัด กลับกลายเป็นว่า ผลข้างเคียงที่หนังกล่าวถึง เป็นเพียงตัวล่อหลอกให้คนดูหลงเข้าใจไปอีกอย่าง ก่อนที่จะเฉลยมาว่าความจริงมันเป็นอีกอย่าง!
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ความจริงที่หนังเปิดเผยออกมาตอนท้ายก็คือ “อะบลิกซ่า” ไม่ใช่ตัวยาที่ทำให้เอมิลี่เกิดผลข้างเคียง จนถึงขั้นเดินละเมอแทงผัวตายอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่การแทงผัวตายเป็นความตั้งใจของเธอ ซึ่งเธอได้วางแผนล่วงหน้ามานาน ก่อนที่ผัวเธอจะออกจากคุก สาเหตุมาจากเธอเกิดอาการซึมเศร้า จึงโทษว่าผัวเป็นคนผิดที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้ เธอจึงไปหาหมอซีเบิร์ตเพื่อรักษาอาการ แต่ความสัมพันธ์มันเกินเลยถึงขั้นเสพสมบ่มิสมกันในฐานะของคู่เบี้ยนฉิ่งฉับทัวร์ หลังจากนั้นทั้งคู่จึงได้วางแผนฆาตกรรมมาร์ติน เพื่อจะได้เสพสมบ่มิสมกันต่อ โดยหาแพะรับบาปเป็นหมอคนใหม่ที่เข้ามารักษาอาการผิดปกติของเอมิลี่ ซึ่งก็คือหมอแบงค์ โดยทำเป็นว่าการเดินละเมอแทงผัวตาย เกิดจากการทานยา “อะบลิกซ่า” ที่หมอแบงค์สั่งให้เธอทาน
แต่เรื่องราวไม่ได้จบลงแค่นั้น เมื่อมีการคลายปมสงสัยที่ทำให้ประเด็นผลข้างเคียงของตัวยาไม่ใช่สิ่งที่หนังมุ่งไปอย่างที่เป็นก่อนการเฉลย ผลข้างเคียงของเรื่องราวในตอนจบก็คือ การสรุปผลกรรมของคนที่ก่อบาปเอาไว้ตั้งแต่เริ่ม โดยหมอแบงค์ได้ร่วมมือกับเอมิลี่ เพื่อจับตัวหมอซีเบิร์ตเข้าคุก และเอมิลี่เองก็โดนหมอแบงค์ตลบหลัง พาเธอเข้าคุกเหมือนกัน “สรุปแล้วผลข้างเคียงของหนังเรื่องนี้ก็คือ ความเป็นไปได้ในการรับผลกรรม เพราะถ้ารู้ว่าทำผิดอะไรไว้ ถึงจะไม่ได้รับผลกรรมตรงๆ แต่มันก็จะต้องมีผลข้างเคียงเสมอ ไม่ช้าก็เร็ว”
โดยรวมแล้วการเล่าเรื่องใน
Side Effects นับว่าทำได้ดี เพราะมันสร้างความสงสัยให้คนดูตั้งแต่ต้นจนจบ โดยบอกว่า ไอ้ที่เราสงสัยมาตั้งแต่ต้นนั้น มันมีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นอีกอย่าง ที่เราอาจจะไม่ได้สงสัยมาก่อน ซึ่งทำให้หนังมีความน่าติดตาม น่าค้นหา และดูสนุกขึ้นมาก นอกจากนี้หนังยังบอกกับเราเป็นนัยๆว่า
“เราไม่สามารถมองอะไรได้ตรงๆ ไม่สามารถดูออกตั้งแต่เห็นครั้งแรก เนื่องจากอาจจะมียาพิษเคลือบเปลือกหน้าเอาไว้ สิ่งที่ทำให้เราตาสว่างก็คือ การคิดอย่างรอบคอบ คิดซ้ำหลายๆครั้ง ซึ่งจะทำให้เราได้เห็นความจริงที่ซ่อนไว้ และเปิดเผยผลกระทบหรือผลข้างเคียง ที่เราอาจไม่พบจากการคิดอย่างฉาบฉวย”
เรื่องนี้ผมให้ B-
Movie Review --- Side Effects --- ทุกการกระทำ ล้วนมีผลกระทบ
จั่วหัวชื่อเรื่องมาว่า Side Effects ก็ทำให้รู้คร่าวๆว่า หนังต้องกล่าวถึงผลกระทบของการใช้ยา ที่ทำให้เกิดผลข้างเคียงต่างๆนานา ไม่ว่าจะเป็น ประสาทหลอน นอนละเมอ หรือจำเหตุการณ์ที่กระทำไปแล้วไม่ได้ ซึ่งหนังก็เล่าในส่วนของผลกระทบอย่างเต็มแม็กซ์ ด้วยบทสนทนาที่เยอะมากๆ พูดกันไป พูดกันมา คิดว่าคนดูเค้าจะไม่งงหรือไง? ผลลัพธ์ที่ออกมาก็คือ งง! งงมากๆ แต่ก็พอจับประเด็นได้ว่า ตัวละครหลัก ซึ่งในเรื่องนี้คือ เอมิลี่ (รูนีย์ มาร่า) มีอาการซึมเศร้าที่เป็นผลมาจากสามีอย่าง มาร์ติน (แชนนิ่ง เททั่ม) ถูกจับเข้าคุกจากข้อหาอะไรก็ไม่รู้ที่หนังไม่ได้กล่าวเอาไว้ ทำให้ชีวิตสมรสที่เพิ่งจะก่อตัวของทั้งคู่ต้องพังครืนลง เอมิลี่เลยซึมเศร้าตั้งแต่บัดนั้น และเธอก็ไปพบหมอซีเบิร์ต (แคทเธอรีน ซีต้า-โจนส์) ที่สั่งยาให้เธอกินมาเรื่อยๆ จนถึงเวลาที่สามีได้รับการปล่อยตัว เธอก็ได้อยู่กับเขาอีกครั้ง แต่ก็ยังกินยาต่อเนื่องมาตลอด จากคำสั่งของหมอคนใหม่ หมอแบงค์ (จู๊ด ลอว์) แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เธอละเมอเอามีดแทงผัวตาย ในอพาร์ทเมนต์ที่ทั้งสองอยู่อาศัยกัน ทำให้เกิดเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาล หาต้นตอว่าใครเป็นคนผิด เอมิลี่ที่เอามีดแทงผัวเป็นคนผิด หรือหมอที่สั่งยา “อะบลิกซ่า” ให้เอมิลี่อย่างหมอแบงค์ เป็นคนผิดกันแน่
ด้วยประเด็นตัวยา “อะบลิกซ่า” หนังได้จูงจมูกให้คนดูเข้าใจว่าเรื่องราวทั้งหมด น่าจะมาจากผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากการทานยาตัวนี้ ซึ่งนำเสนอผ่านตัวละครเอมิลี่มาตลอด เพราะเธอมักจะแสดงพฤติกรรมแปลกๆ ไม่ว่าจะเป็นขับรถชนผนังในลานจอดรถ ยืนเหม่อลอยจนจะร่วงไปในรางรถไฟใต้ดิน หรือเดินละเมอมาทำอาหารเช้าตอนกลางดึก ซึ่งทำให้คนดูเกิดความคิดต่างๆนานา จนตอนแรกๆคิดว่าดูเข้าใจแล้ว แต่เมื่อเจอกับบทสนทนายาวเหยียด ขึ้นโรงขึ้นศาลฟ้องร้อง อะไรต่อมิอะไร กลับงงยิ่งกว่าเดิม เพราะมันเหมือนวนลูปกลับไปเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น พอเกิดความรู้สึกว่าจะดูไม่รู้เรื่องซะให้ได้ หนังก็ใจดี ค่อยๆแพลมความลับที่ซ่อนเอาไว้ทีละนิด แต่ก็ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่พอถึงจุดไคลแม็กซ์ ที่โพล่งความลับที่ซ่อนเอาไว้ทั้งหมดออกมา ความสงสัยทั้งหมดทั้งมวลเริ่มกระจ่างชัด กลับกลายเป็นว่า ผลข้างเคียงที่หนังกล่าวถึง เป็นเพียงตัวล่อหลอกให้คนดูหลงเข้าใจไปอีกอย่าง ก่อนที่จะเฉลยมาว่าความจริงมันเป็นอีกอย่าง!
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
โดยรวมแล้วการเล่าเรื่องใน Side Effects นับว่าทำได้ดี เพราะมันสร้างความสงสัยให้คนดูตั้งแต่ต้นจนจบ โดยบอกว่า ไอ้ที่เราสงสัยมาตั้งแต่ต้นนั้น มันมีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นอีกอย่าง ที่เราอาจจะไม่ได้สงสัยมาก่อน ซึ่งทำให้หนังมีความน่าติดตาม น่าค้นหา และดูสนุกขึ้นมาก นอกจากนี้หนังยังบอกกับเราเป็นนัยๆว่า “เราไม่สามารถมองอะไรได้ตรงๆ ไม่สามารถดูออกตั้งแต่เห็นครั้งแรก เนื่องจากอาจจะมียาพิษเคลือบเปลือกหน้าเอาไว้ สิ่งที่ทำให้เราตาสว่างก็คือ การคิดอย่างรอบคอบ คิดซ้ำหลายๆครั้ง ซึ่งจะทำให้เราได้เห็นความจริงที่ซ่อนไว้ และเปิดเผยผลกระทบหรือผลข้างเคียง ที่เราอาจไม่พบจากการคิดอย่างฉาบฉวย”
เรื่องนี้ผมให้ B-