เป็นการรีวิวครั้งแรก ถ้าผิดพลาดอะไรขอโทษด้วยนะคะ
เจ้าของกระทู้กำลังเรียนสถาปัตยกรรม เกี่ยวกับภัยพิบัติอยู่ที่ญี่ปุ่นค่ะ
พอดีในโอกาสครบรอบ 2 ปีของเหตุการณ์ซึนามิที่ญี่ปุ่นเลยอยากจะเอาบันทึก ที่เคยเขียนไว้ตอนที่ไปลงพื้นที่ตอนครบรอบ 1ปี หลังเหตุการณ์มาแชร์ให้อ่านกันค่ะ เป็นบันทึกส่วนตัวจากมุมมองของเจ้าของกระทู้เองนะคะ
เราได้ไปที่เมืองเซนได มิยางิ และอิวาเตะ เพื่อดูสภาพความเสียหาย และความเป็นอยู่ของผู้ประสบภัยค่ะ
ไปทั้งหมดสองครั้งคือเดือนมีนาคมปี 2012 กับเดือน สิงหา 2012 นี่เป็นรีวิวจากเดือนมีนานะคะ
================================================================
...เป็น exchange program คือการไปดูสถานที่จริงพร้อมกับเด็กญี่ปุ่น กับเด็กจากมหาวิทยาลัย บาเซโลน่า
เซนได คือหนึ่งในพื้นที่ที่โดนซึนามิหนัก (เมืองที่ไปมีหลายเมือง เช่น อันที่เห็นน้ำวนในภาพข่าว และคลื่นสูงกว่าต้นสน)
เวลาผ่านไป 1 ปีแล้ว....แต่สำหรับคนที่อยู่ที่นั่น...เวลาเหมือนถูกหยุดไว้ที่ 11 มีนา 2011
"สถานที่จริง"
คำนี้....กระทบจิตใจอย่างน่ากลัว ตลอดเวลาที่อยู่ที่เซนไดหลายๆวัน
ตอนแรกเราเตรียมตัว เตรียมของไป ประมาณว่าเหมือนไปออกรบ!!!...มีกระทั่งไฟฉาย
มีแผ่นทำความร้อน...มีมาม่า....คือเราไม่เข้าใจหรอก ว่าเขาเป็นอยู่กันยังไง
ที่บ้านก็ไม่ได้ว่า แม่แค่บอกให้ระวังแผ่นดินไหวอีก วิ่งไวๆนะลูก...กับถามเรื่องมันยังมีกัมมันตรังสีรึเปล่า
นั่งรถบัสคืนนึงจากโอซาก้า ไปเซนได แล้วนั่งมินิบัสไปพร้อมทุกคน จากตัวเมือง ไปถึงชายฝั่ง...เป็นที่ที่ โดนซึนามิเยอะที่สุด
เราจะอธิบายในเรื่องของข้อมูล อย่างละเอียด...หรือในเชิงหัวข้อวิจัย housing recovery ที่ทำธีสิสอยู่ตอนหลัง(ถ้ามีโอกาส
)
แต่ตอนนี้ขอเล่าถึงการไปเยี่ยมเซนได....ในฐานะปุถุชนคนธรรมดา
จะพยายามบรรยายความรู้สึกออกมาให้มากที่สุด...ถึงมันจะยากมากๆๆๆๆๆๆ T___T
เรารู้สึก....เหมือนเราไปยืนที่สุสาน....ขนาดใหญ่ที่สุด เท่าที่เคยเห็นมาในชีวิตนี้
สุสานนี่เราไม่ได้หมายถึงมิติลี้ลับ หรืออะไรน่ากลัวนะ
แต่มันเป็นความสงบ...เงียบ...เหมือนไม่มีอะไรจะเคลื่อนไหว...ไม่มีวันพรุ่งนี้อีกแล้วที่นั่น
ตอนที่ยืนอยู่ริมฝั่งทะเล....มองซากของเมืองทั้งเมืองที่กลายเป็นพื้นที่ราบโล่ง
มันเงียบมากๆ....เงียบจนน่ากลัว
ความกว้าง...โล่ง...นิ่ง...ทำให้คนที่ไม่เคยเจอแผ่นดินไหวหนักๆซักครั้งอย่างเรา หนาวไปเลย
เมืองทั้งเมืองเหลือแต่เศษซาก...คำว่า "ราบเป็นหน้ากลอง"ของจริงมันเป็นอย่างนี้นี่เอง....ไม่มีต้นไม้สักต้น
ทะเลที่อยู่ตรงหน้าก็ราบนิ่ง....เหมือนมันทำเนียนว่า มันไม่เคยเป็นทะเลที่น่ากลัวมาก่อน T^T (คือยิ่งนิ่งกรุยิ่งกลัวมาก...ได้โปรด)
ตลอดทาง มีอาจารย์โคบายาชิ แกบรรยายถึง แต่ละเมืองให้ฟัง
อาจารย์แก่มากแล้ว...แต่ต้องมาจากมหาลัยทุกเดือน
มาเพื่อช่วยฟื้นฟูชุมชน ให้กลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้
อาจารย์เป็นเพื่อนของอาจารย์ชิโอซากิ(อาจารย์คนโตที่แลป) แล้วก็เป็นอาจารย์ของอาจารย์ที่ปรึกษาเราอีกที
ที่เมือง Kesanuma/Minami-sanrinku/Higashi matsu shima เราได้เห็นคนที่รอดหลายคน
พยายามอย่างเต็มที่ ที่จะอยู่เพื่อวันพรุ่งนี้...แล้วก็อยู่เพื่อคนที่จากไปด้วย
คุโด้ซังกับ ยูสุเกะคุง
คุโด้ซังเป็นคนเล่านิทานภาพ...เป็นลูกสาวรุ่นที่สามของศาลเจ้า
คุโด้ซังเล่าว่า วันนั้นคุโด้ซังออกไปซื้อของ ให้ลูกชาย น้องยูสึเกะอยู่กับยาย
ระหว่างที่ปั่นจักรยานกลับจากร้านค้า...มือถือของคุโด้ซังก็ดังขึ้นถี่มากๆๆ(เวลามีแผ่นดินไหวจะมีการแจ้งเตือนเข้ามือถือทุกคน)
แล้วในตอนเดียวกัน....แผ่นดินไหวก็ไหวอย่างรุนแรง
คุโด้ซังที่เป็นแม่...คำเดียวที่ตะโกนออกมาในภาวะตกใจ คือ "ยูสุเกะ!!!"
คุโด้ซัง วิ่งกลับมาที่บ้าน...ยายกับหลายกำลังกอดกันอยู่ที่มุมนึง...รอแม่กลับมาพอดี
ถึงบ้านของคุโด้ซังจะสูงและไกลจากทะเล...แต่เค้าก็บอกยายกับลูกชายว่า "เราต้องหนีขึ้นเขา!!!"
สามคนพากันวิ่งขึ้นไปบนเขา หลังศาลเจ้าขึ้นไปอีก...บนนั้นมีที่หลบภัยของเมือง
ไปเจอคุณพ่อของยูสุเกะ ที่กลับที่ทำงานบนนั้นพอดี ครอบครัวสี่คนได้เจอกันแล้ว
....แต่หลายๆครอบครัวไม่ได้โชคดีแบบนั้น....
ซึนามิสูงสิบกว่าเมตร....สูงจนกลืน ศูนย์เตือนภัยซึนามิ สูงสามชั้นหายไปทั้งหลัง
เสียงของผุ้หญิงที่เป็นเจ้าหน้าที่...ซึ่งประกาศให้ทุกคนอพยพหนีซึนามิ
ก็หายไปพร้อมคลื่นกับจังหวะที่คลื่นมา
....เจ้าหน้าที่พยายามทำหน้าที่แจ้งให้ทุกคนรอดชีวิต จนนาทีสุดท้าย
ตอนที่เราไปฟังเรื่องนี้....เราอยู่บนศาลเจ้าบนเขา
มองออกไปที่หน้าต่าง...ก็เห็นศูนย์เตือนภัยนั้น...เหลือแต่โครงศร้างเหล็กสีแดง
ไม่มีเมืองหรือศูนย์การค้าตามที่บอกในเรื่อง
มองไปจากภูเขา....เราเห็นแต่ที่โล่ง...กว้างสุดลูกหูลูกตา
ยูสุเกะคุงบอกว่า...เกลียดแผ่นดินไหว...ตอนนี้แผ่นดินไหวทำให้ยูสุเกะมี "ฟุรุซาโตะ(บ้านเกิด)"ที่พังไปแล้ว
แต่คุณแม่บอกว่า "ยูสุเกะมีบ้านเกิด...ที่เราต้องช่วยกันซ่อม..ต่างหาก"
คุโด้ซังบอกว่าที่เธอมาเป็นนักเล่านิทานภาพ...เพราะอยากจะช่วยให้ความรู้...ไม่ใช่ในเชิงข้อมูล
แต่เป็นความรู้สึกจริง...ของคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นจริงๆ...นอกจากนั้นการมาฟังนิทาน
ก็ช่วยบรรเทา ความเจ็บปวด หรือความรู้สึกข้างในด้วย...เพราะไม่ใช่มีแต่ผู้ใหญ่ที่ทั้งตกใจ กลัว และเสียใจ
สำหรับเด็กๆ....ยิ่งยากกว่าที่จะบรรยายความเจ็บปวดข้างในใจ....เพราะเขายังไม่โตพอ เด็กเกินกว่าจะเข้าใจ "ความเจ็บปวด โศกเศร้า เสียใจ"
ตอนที่เราไปเดินที่ศูนย์ชอปปิ้งชั่วคราว(ร้านค้าที่เป็นตู้คอนเทนเนอร์)
มีคนมาเล่นดนตรีให้เด็กๆฟัง เด็กๆร้องเพลง แล้วก็ยกไม้ยกมือตาม
ขนาดไม่ใช่คนรักเด็กมากๆๆ
เรายังน้ำตาไหลอ่ะ...แบบว่า...เด็กๆพวกนี้ ไม่รู้ว่าเสียใครไปบ้าง ไม่รู้ว่าตกใจแค่ไหนกับซึนามิ
แต่ตอนนี้ กลางอากาศหนาวๆ...ยังหัวเราะได้ เอิ้กอ้าก...รู้สึกว่าเจ้าหน้าที่ฟื้นฟูทุกคน พยายามกันสุดความสามารถจริงๆ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆแค่ไหน
เมืองสุดท้ายที่เราไป....T__T เมืองนี้เรียกได้ว่า "จัดหนัก"
higashi matsu shima
เมืองนี้ถ้าคนที่เคยดูข่าวซึนามิ...ก็คงจะเห็นรูป คลื่นที่สูงกว่าต้นสนใช่ไหม?
เราไปเยือนมาแล้ว....อยากจะบอกว่า "ต้นสนในภาพนั้น....สูง
!!!!! (ขออภัยที่ต้องหยาบคาย)"
คือมันสูง พอๆกับตึกสักหกเจ็ดชั้นอ่ะ...T__T แต่คลื่นตรงนั้น สูงกว่านั้นอีก
หัวหน้าชุมชน อธิบายให้เราฟังถึงเหตุการณ์เล้กน้อย กับแผนปรับปรุงเมือง รับกับซึนามิในอนาคต
แต่ที่แบบว่าทำเอานักวิจัยไปไม่เป็น....ก็ตอนที่คุณลุงโอโนะ(หัวหน้าชุมชน)พาไปดูสถานที่จริง
ตอนข้ามสะพานไปในเขตเมือง...ลุงแกบอกว่าขอให้ดูธงปลาคราฟสีน้ำเงินที่แขวนอยู่ที่สะพานสักครู่
แล้วรถก็ขับไปต่อ ลุงก็ชี้ให้ดูบ้านลุง...ซึ่งมีเรือเดินสมุทรลำใหญ่มากมาจอดตรงหน้าบ้าน
T__T บ้านเหลือแต่ซาก.....แต่นั่นยังไม่ใช่ไฮไลท์
ลุงบอกว่าบ้านลุงโชคดี...หนีรอดกันทุกคน
แต่บ้านข้างหลัง...สูงสองชั้น
บ้านนั้นมีลูกชายสามคน
วันที่เกิดเหตุ....แม่ ตา ยาย และริทคุงอายุ 4 ขวบ...อยู่ที่บ้าน
บ้านญี่ปุ่นที่มีลูกชาย...จะประดับธงปลาคาร์ฟ ไล่ตั้งแต่ตัวใหญ่ไปเล็ก สีแดง เหลือง น้ำเงิน
...บ้านนี้มีลูกชายสามคน อยู่ม.ปลาย ม.ต้น และ ริทคุงคนเล็กอยู่อนุบาล
ริทคุงเลยเข้าใจว่า...ธงปลาคาร์ฟสีน้ำเงิน "เป็นธงปลาคาร์ฟของริทคุง" อีกสองตัวคือพี่ชายสองคน
ปีนี้ บ้านนี้ยังไม่ได้ประดับธงเลย...เพราะก่อนวันเด็กผู้ชาย( 5 พ.ค) ซึนามิก็เกิดขึ้นไปแล้ว
ครอบครัวนี้....มีคนรอดชีวิต แค่สามคน คือคุณพ่อ พี่ชายคนโต และพี่ชายคนรอง ที่ไปทำงานและไปโรงเรียนในวันนั้น
ริทคุง...ไม่ได้อยู่เห็นธงปลาคาร์ฟสีน้ำเงินของตัวเองในปีนี้
พี่ชายสองคน....ในวันที่เกิดเหตุ....เลยขอให้คนญี่ปุ่น
ร่วมกันระลึกถึงผู้เป็นที่รักที่จากไป....ให้ช่วยส่งธงปลาคาร์ฟสีน้ำเงิน
ช่วยพาตัวแทนของน้องชายคนเล็กที่เป็นที่รัก...กลับมาที่บ้าน
คุณลุงเล่าไปก็ร้องไห้....เพื่อนที่ช่วยแปลเป็นภาษาอังกฤษก็ร้องไห้....เราเองก็ร้องไห้
รถมินิบัสของเราจอดอยู่หน้าบ้านหลังนั้น
หน้าบ้านมีธงปลาคราฟสีน้ำเงินประดับอยู่....แต่นอกจากนั้น...ไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่ในบ้านนั้นแล้ว
เราข้ามสะพานกลับมาอีกครั้ง
คุณลุงบอกว่า เมื่อวันที่ 11 มีนา...พี่ชายสองคน กับเพื่อนๆ มาที่สะพานนี้
มาตีกลองไทโกะ เพื่อระลึกถึงคนที่จากไป....ทุกคนยืนฟังกลอง....แล้วก็ร้องไห้เหมือนกัน
ไม่มีใครไม่สูญเสีย
แต่ทุกคนก็บอกว่า "ต้องพยายามอยู่ แทนคนที่จากไป"
เราโคตรนับถืออ่ะ...T__T ไปเอาเพาเวอร์ขนาดนี้มาจากไหน
แต่คุณลุงบอกว่า บางคนก็ยังเสียใจอยู่
ที่ไม่อยากมีชีวิตต่อก็มีเยอะ...ไม่ใช่ไม่มี
มีคุณแม่ลูกสองคนนึง พาเด็กๆ หนีแผ่นดินไหวไปถึงศูนย์อพยพ
พออยู่ไปสักพัก...เด็กๆบ่นหนาว...แม่เลยพาขับรถกลับมาแวะ เอาผ้าห่มที่บ้าน
เป็นเวลาเดียวกับที่คลื่นมาถึง....รถของสามคนแม่ลูก ถูกซัดลอยไปชนรถบรรทุก
คนขับรถบรรทุกรีบช่วยดึงแม่ออกมา...แต่คลื่นแรงมาก...หลังจากที่ดึงแม่ออกมาได้
เด็กๆก็ถูกซัดหายไป พร้อมกับเสียงที่ร้องว่า "แม่...ช่วยด้วย!!!!"
คนเป็นแม่บอกคนขับรถบรรทุกว่า "คุณไม่ควรช่วยชีวิตฉันไว้...คุณควรปล่อยให้ฉันตายไปพร้อมกับเด็กๆ"
แต่คนขับรถก็ทำอย่างนั้นไม่ได้...เขาเองก็เสียใจที่ไม่สามารถช่วยเด็กๆไว้ได้
นี่ไม่ใช่เรื่องเล่าจากหนังดราม่า หรือว่าข่าวทีวี
ตอนที่ฟังคุณลุงเล่าไปร้องไห้ไป....ต่อให้ไม่เคยเจอคลื่นสึนามิ...ก็ยังเข้าใจในความน่ากลัวของการสูญเสีย
อาจารย์บอกว่า....สิ่งที่จำเป็นคือทำยังไง...ให้คนที่รอดมาได้
สามารถอยู่ต่อไปได้....ใกล้เคียงกับคำว่า "ชีวิตปกติ" ที่สุด
ถึงแม้จะรู้ว่าบางอย่าง...ไม่ว่าเราจะพยายามสร้างอะไรทดแทน
...ก็ไม่สามารถเรียกสิ่งนั้นคืนมาได้ก็ตาม
=======================================
ตอนนี้เป็นเวลาผ่านไป 2 ปีแล้วค่ะ เมื่อกลับมาอ่านบันทึกนี้
ก็นึกถึงคนที่เราได้ไปเยี่ยมมา
เจ้าของกระทู้เป็นคนอยุธยา เมื่อคุณตาคุณยายแถวนั้นรู้ว่าเป็นคนไทยก็ทักขึ้นมาว่า
"ได้ยินว่าที่ไทยน้ำท่วมที่บ้านเป็นยังไงบ้าง"
"ที่บ้านน้ำท่วมไปชั้นนึงค่ะ"
"ครอบครัวไม่เป็นไรใช่ไหม? ...ไม่เป็นไรนะ ...ต้องพยายามเข้านะ"
นึกถึงการตูนหรือหนังญี่ปุ่นไว้ค่ะ จะชอบพูดไดอะลอกนี่มาก...ไม่เป็นไรนะ พยายามเข้านะ)
คุณตาคุณยายไม่มีบ้านแล้ว อาศัยอยู่ในบ้านชั่วคราวทำจากคอนเทนเนอร์
แต่อุตส่าห์ให้กำลังใจเรา....ทำเอาน้ำตาซึมเลยค่ะ T___T
ปีนี้น่าจะได้ไปอีกรอบ.....ถ้าโอกาสหวังว่าจะได้มาแบ่งบันประสบการณ์กันอีกนะคะ
หลายๆพื้นที่แถวโทโฮคุที่ไม่ติดทะเล หรือไม่ได้รับผลกระทบจากซึนามิก็มีนะคะ
แต่นักท่องเที่ยวน้อยลงเยอะเลย ทั้งๆที่แถวนั้นยังมีเทศกาลน่าสนใจเยอะนะคะ อาหารทะเลก็อร่อย
ถ้ามีโอกาสไปเที่ยวแถวนั้นบ้างก็น่าสนใจนะคะ ^__^
[CR] Review ย้อนหลัง Great East japan eartquake ทริปลงพื้นที่ประสบภัยซึนามิ(ไปมาเมื่อมี.ค 2012)รำลึกในวันครบรอบ 2ปี
เจ้าของกระทู้กำลังเรียนสถาปัตยกรรม เกี่ยวกับภัยพิบัติอยู่ที่ญี่ปุ่นค่ะ
พอดีในโอกาสครบรอบ 2 ปีของเหตุการณ์ซึนามิที่ญี่ปุ่นเลยอยากจะเอาบันทึก ที่เคยเขียนไว้ตอนที่ไปลงพื้นที่ตอนครบรอบ 1ปี หลังเหตุการณ์มาแชร์ให้อ่านกันค่ะ เป็นบันทึกส่วนตัวจากมุมมองของเจ้าของกระทู้เองนะคะ
เราได้ไปที่เมืองเซนได มิยางิ และอิวาเตะ เพื่อดูสภาพความเสียหาย และความเป็นอยู่ของผู้ประสบภัยค่ะ
ไปทั้งหมดสองครั้งคือเดือนมีนาคมปี 2012 กับเดือน สิงหา 2012 นี่เป็นรีวิวจากเดือนมีนานะคะ
================================================================
...เป็น exchange program คือการไปดูสถานที่จริงพร้อมกับเด็กญี่ปุ่น กับเด็กจากมหาวิทยาลัย บาเซโลน่า
เซนได คือหนึ่งในพื้นที่ที่โดนซึนามิหนัก (เมืองที่ไปมีหลายเมือง เช่น อันที่เห็นน้ำวนในภาพข่าว และคลื่นสูงกว่าต้นสน)
เวลาผ่านไป 1 ปีแล้ว....แต่สำหรับคนที่อยู่ที่นั่น...เวลาเหมือนถูกหยุดไว้ที่ 11 มีนา 2011
"สถานที่จริง"
คำนี้....กระทบจิตใจอย่างน่ากลัว ตลอดเวลาที่อยู่ที่เซนไดหลายๆวัน
ตอนแรกเราเตรียมตัว เตรียมของไป ประมาณว่าเหมือนไปออกรบ!!!...มีกระทั่งไฟฉาย
มีแผ่นทำความร้อน...มีมาม่า....คือเราไม่เข้าใจหรอก ว่าเขาเป็นอยู่กันยังไง
ที่บ้านก็ไม่ได้ว่า แม่แค่บอกให้ระวังแผ่นดินไหวอีก วิ่งไวๆนะลูก...กับถามเรื่องมันยังมีกัมมันตรังสีรึเปล่า
นั่งรถบัสคืนนึงจากโอซาก้า ไปเซนได แล้วนั่งมินิบัสไปพร้อมทุกคน จากตัวเมือง ไปถึงชายฝั่ง...เป็นที่ที่ โดนซึนามิเยอะที่สุด
เราจะอธิบายในเรื่องของข้อมูล อย่างละเอียด...หรือในเชิงหัวข้อวิจัย housing recovery ที่ทำธีสิสอยู่ตอนหลัง(ถ้ามีโอกาส)
แต่ตอนนี้ขอเล่าถึงการไปเยี่ยมเซนได....ในฐานะปุถุชนคนธรรมดา
จะพยายามบรรยายความรู้สึกออกมาให้มากที่สุด...ถึงมันจะยากมากๆๆๆๆๆๆ T___T
เรารู้สึก....เหมือนเราไปยืนที่สุสาน....ขนาดใหญ่ที่สุด เท่าที่เคยเห็นมาในชีวิตนี้
สุสานนี่เราไม่ได้หมายถึงมิติลี้ลับ หรืออะไรน่ากลัวนะ
แต่มันเป็นความสงบ...เงียบ...เหมือนไม่มีอะไรจะเคลื่อนไหว...ไม่มีวันพรุ่งนี้อีกแล้วที่นั่น
ตอนที่ยืนอยู่ริมฝั่งทะเล....มองซากของเมืองทั้งเมืองที่กลายเป็นพื้นที่ราบโล่ง
มันเงียบมากๆ....เงียบจนน่ากลัว
ความกว้าง...โล่ง...นิ่ง...ทำให้คนที่ไม่เคยเจอแผ่นดินไหวหนักๆซักครั้งอย่างเรา หนาวไปเลย
เมืองทั้งเมืองเหลือแต่เศษซาก...คำว่า "ราบเป็นหน้ากลอง"ของจริงมันเป็นอย่างนี้นี่เอง....ไม่มีต้นไม้สักต้น
ทะเลที่อยู่ตรงหน้าก็ราบนิ่ง....เหมือนมันทำเนียนว่า มันไม่เคยเป็นทะเลที่น่ากลัวมาก่อน T^T (คือยิ่งนิ่งกรุยิ่งกลัวมาก...ได้โปรด)
ตลอดทาง มีอาจารย์โคบายาชิ แกบรรยายถึง แต่ละเมืองให้ฟัง
อาจารย์แก่มากแล้ว...แต่ต้องมาจากมหาลัยทุกเดือน
มาเพื่อช่วยฟื้นฟูชุมชน ให้กลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้
อาจารย์เป็นเพื่อนของอาจารย์ชิโอซากิ(อาจารย์คนโตที่แลป) แล้วก็เป็นอาจารย์ของอาจารย์ที่ปรึกษาเราอีกที
ที่เมือง Kesanuma/Minami-sanrinku/Higashi matsu shima เราได้เห็นคนที่รอดหลายคน
พยายามอย่างเต็มที่ ที่จะอยู่เพื่อวันพรุ่งนี้...แล้วก็อยู่เพื่อคนที่จากไปด้วย
คุโด้ซังกับ ยูสุเกะคุง
คุโด้ซังเป็นคนเล่านิทานภาพ...เป็นลูกสาวรุ่นที่สามของศาลเจ้า
คุโด้ซังเล่าว่า วันนั้นคุโด้ซังออกไปซื้อของ ให้ลูกชาย น้องยูสึเกะอยู่กับยาย
ระหว่างที่ปั่นจักรยานกลับจากร้านค้า...มือถือของคุโด้ซังก็ดังขึ้นถี่มากๆๆ(เวลามีแผ่นดินไหวจะมีการแจ้งเตือนเข้ามือถือทุกคน)
แล้วในตอนเดียวกัน....แผ่นดินไหวก็ไหวอย่างรุนแรง
คุโด้ซังที่เป็นแม่...คำเดียวที่ตะโกนออกมาในภาวะตกใจ คือ "ยูสุเกะ!!!"
คุโด้ซัง วิ่งกลับมาที่บ้าน...ยายกับหลายกำลังกอดกันอยู่ที่มุมนึง...รอแม่กลับมาพอดี
ถึงบ้านของคุโด้ซังจะสูงและไกลจากทะเล...แต่เค้าก็บอกยายกับลูกชายว่า "เราต้องหนีขึ้นเขา!!!"
สามคนพากันวิ่งขึ้นไปบนเขา หลังศาลเจ้าขึ้นไปอีก...บนนั้นมีที่หลบภัยของเมือง
ไปเจอคุณพ่อของยูสุเกะ ที่กลับที่ทำงานบนนั้นพอดี ครอบครัวสี่คนได้เจอกันแล้ว
....แต่หลายๆครอบครัวไม่ได้โชคดีแบบนั้น....
ซึนามิสูงสิบกว่าเมตร....สูงจนกลืน ศูนย์เตือนภัยซึนามิ สูงสามชั้นหายไปทั้งหลัง
เสียงของผุ้หญิงที่เป็นเจ้าหน้าที่...ซึ่งประกาศให้ทุกคนอพยพหนีซึนามิ
ก็หายไปพร้อมคลื่นกับจังหวะที่คลื่นมา
....เจ้าหน้าที่พยายามทำหน้าที่แจ้งให้ทุกคนรอดชีวิต จนนาทีสุดท้าย
ตอนที่เราไปฟังเรื่องนี้....เราอยู่บนศาลเจ้าบนเขา
มองออกไปที่หน้าต่าง...ก็เห็นศูนย์เตือนภัยนั้น...เหลือแต่โครงศร้างเหล็กสีแดง
ไม่มีเมืองหรือศูนย์การค้าตามที่บอกในเรื่อง
มองไปจากภูเขา....เราเห็นแต่ที่โล่ง...กว้างสุดลูกหูลูกตา
ยูสุเกะคุงบอกว่า...เกลียดแผ่นดินไหว...ตอนนี้แผ่นดินไหวทำให้ยูสุเกะมี "ฟุรุซาโตะ(บ้านเกิด)"ที่พังไปแล้ว
แต่คุณแม่บอกว่า "ยูสุเกะมีบ้านเกิด...ที่เราต้องช่วยกันซ่อม..ต่างหาก"
คุโด้ซังบอกว่าที่เธอมาเป็นนักเล่านิทานภาพ...เพราะอยากจะช่วยให้ความรู้...ไม่ใช่ในเชิงข้อมูล
แต่เป็นความรู้สึกจริง...ของคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นจริงๆ...นอกจากนั้นการมาฟังนิทาน
ก็ช่วยบรรเทา ความเจ็บปวด หรือความรู้สึกข้างในด้วย...เพราะไม่ใช่มีแต่ผู้ใหญ่ที่ทั้งตกใจ กลัว และเสียใจ
สำหรับเด็กๆ....ยิ่งยากกว่าที่จะบรรยายความเจ็บปวดข้างในใจ....เพราะเขายังไม่โตพอ เด็กเกินกว่าจะเข้าใจ "ความเจ็บปวด โศกเศร้า เสียใจ"
ตอนที่เราไปเดินที่ศูนย์ชอปปิ้งชั่วคราว(ร้านค้าที่เป็นตู้คอนเทนเนอร์)
มีคนมาเล่นดนตรีให้เด็กๆฟัง เด็กๆร้องเพลง แล้วก็ยกไม้ยกมือตาม
ขนาดไม่ใช่คนรักเด็กมากๆๆ
เรายังน้ำตาไหลอ่ะ...แบบว่า...เด็กๆพวกนี้ ไม่รู้ว่าเสียใครไปบ้าง ไม่รู้ว่าตกใจแค่ไหนกับซึนามิ
แต่ตอนนี้ กลางอากาศหนาวๆ...ยังหัวเราะได้ เอิ้กอ้าก...รู้สึกว่าเจ้าหน้าที่ฟื้นฟูทุกคน พยายามกันสุดความสามารถจริงๆ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆแค่ไหน
เมืองสุดท้ายที่เราไป....T__T เมืองนี้เรียกได้ว่า "จัดหนัก"
higashi matsu shima
เมืองนี้ถ้าคนที่เคยดูข่าวซึนามิ...ก็คงจะเห็นรูป คลื่นที่สูงกว่าต้นสนใช่ไหม?
เราไปเยือนมาแล้ว....อยากจะบอกว่า "ต้นสนในภาพนั้น....สูง!!!!! (ขออภัยที่ต้องหยาบคาย)"
คือมันสูง พอๆกับตึกสักหกเจ็ดชั้นอ่ะ...T__T แต่คลื่นตรงนั้น สูงกว่านั้นอีก
หัวหน้าชุมชน อธิบายให้เราฟังถึงเหตุการณ์เล้กน้อย กับแผนปรับปรุงเมือง รับกับซึนามิในอนาคต
แต่ที่แบบว่าทำเอานักวิจัยไปไม่เป็น....ก็ตอนที่คุณลุงโอโนะ(หัวหน้าชุมชน)พาไปดูสถานที่จริง
ตอนข้ามสะพานไปในเขตเมือง...ลุงแกบอกว่าขอให้ดูธงปลาคราฟสีน้ำเงินที่แขวนอยู่ที่สะพานสักครู่
แล้วรถก็ขับไปต่อ ลุงก็ชี้ให้ดูบ้านลุง...ซึ่งมีเรือเดินสมุทรลำใหญ่มากมาจอดตรงหน้าบ้าน
T__T บ้านเหลือแต่ซาก.....แต่นั่นยังไม่ใช่ไฮไลท์
ลุงบอกว่าบ้านลุงโชคดี...หนีรอดกันทุกคน
แต่บ้านข้างหลัง...สูงสองชั้น
บ้านนั้นมีลูกชายสามคน
วันที่เกิดเหตุ....แม่ ตา ยาย และริทคุงอายุ 4 ขวบ...อยู่ที่บ้าน
บ้านญี่ปุ่นที่มีลูกชาย...จะประดับธงปลาคาร์ฟ ไล่ตั้งแต่ตัวใหญ่ไปเล็ก สีแดง เหลือง น้ำเงิน
...บ้านนี้มีลูกชายสามคน อยู่ม.ปลาย ม.ต้น และ ริทคุงคนเล็กอยู่อนุบาล
ริทคุงเลยเข้าใจว่า...ธงปลาคาร์ฟสีน้ำเงิน "เป็นธงปลาคาร์ฟของริทคุง" อีกสองตัวคือพี่ชายสองคน
ปีนี้ บ้านนี้ยังไม่ได้ประดับธงเลย...เพราะก่อนวันเด็กผู้ชาย( 5 พ.ค) ซึนามิก็เกิดขึ้นไปแล้ว
ครอบครัวนี้....มีคนรอดชีวิต แค่สามคน คือคุณพ่อ พี่ชายคนโต และพี่ชายคนรอง ที่ไปทำงานและไปโรงเรียนในวันนั้น
ริทคุง...ไม่ได้อยู่เห็นธงปลาคาร์ฟสีน้ำเงินของตัวเองในปีนี้
พี่ชายสองคน....ในวันที่เกิดเหตุ....เลยขอให้คนญี่ปุ่น
ร่วมกันระลึกถึงผู้เป็นที่รักที่จากไป....ให้ช่วยส่งธงปลาคาร์ฟสีน้ำเงิน
ช่วยพาตัวแทนของน้องชายคนเล็กที่เป็นที่รัก...กลับมาที่บ้าน
คุณลุงเล่าไปก็ร้องไห้....เพื่อนที่ช่วยแปลเป็นภาษาอังกฤษก็ร้องไห้....เราเองก็ร้องไห้
รถมินิบัสของเราจอดอยู่หน้าบ้านหลังนั้น
หน้าบ้านมีธงปลาคราฟสีน้ำเงินประดับอยู่....แต่นอกจากนั้น...ไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่ในบ้านนั้นแล้ว
เราข้ามสะพานกลับมาอีกครั้ง
คุณลุงบอกว่า เมื่อวันที่ 11 มีนา...พี่ชายสองคน กับเพื่อนๆ มาที่สะพานนี้
มาตีกลองไทโกะ เพื่อระลึกถึงคนที่จากไป....ทุกคนยืนฟังกลอง....แล้วก็ร้องไห้เหมือนกัน
ไม่มีใครไม่สูญเสีย
แต่ทุกคนก็บอกว่า "ต้องพยายามอยู่ แทนคนที่จากไป"
เราโคตรนับถืออ่ะ...T__T ไปเอาเพาเวอร์ขนาดนี้มาจากไหน
แต่คุณลุงบอกว่า บางคนก็ยังเสียใจอยู่
ที่ไม่อยากมีชีวิตต่อก็มีเยอะ...ไม่ใช่ไม่มี
มีคุณแม่ลูกสองคนนึง พาเด็กๆ หนีแผ่นดินไหวไปถึงศูนย์อพยพ
พออยู่ไปสักพัก...เด็กๆบ่นหนาว...แม่เลยพาขับรถกลับมาแวะ เอาผ้าห่มที่บ้าน
เป็นเวลาเดียวกับที่คลื่นมาถึง....รถของสามคนแม่ลูก ถูกซัดลอยไปชนรถบรรทุก
คนขับรถบรรทุกรีบช่วยดึงแม่ออกมา...แต่คลื่นแรงมาก...หลังจากที่ดึงแม่ออกมาได้
เด็กๆก็ถูกซัดหายไป พร้อมกับเสียงที่ร้องว่า "แม่...ช่วยด้วย!!!!"
คนเป็นแม่บอกคนขับรถบรรทุกว่า "คุณไม่ควรช่วยชีวิตฉันไว้...คุณควรปล่อยให้ฉันตายไปพร้อมกับเด็กๆ"
แต่คนขับรถก็ทำอย่างนั้นไม่ได้...เขาเองก็เสียใจที่ไม่สามารถช่วยเด็กๆไว้ได้
นี่ไม่ใช่เรื่องเล่าจากหนังดราม่า หรือว่าข่าวทีวี
ตอนที่ฟังคุณลุงเล่าไปร้องไห้ไป....ต่อให้ไม่เคยเจอคลื่นสึนามิ...ก็ยังเข้าใจในความน่ากลัวของการสูญเสีย
อาจารย์บอกว่า....สิ่งที่จำเป็นคือทำยังไง...ให้คนที่รอดมาได้
สามารถอยู่ต่อไปได้....ใกล้เคียงกับคำว่า "ชีวิตปกติ" ที่สุด
ถึงแม้จะรู้ว่าบางอย่าง...ไม่ว่าเราจะพยายามสร้างอะไรทดแทน
...ก็ไม่สามารถเรียกสิ่งนั้นคืนมาได้ก็ตาม
=======================================
ตอนนี้เป็นเวลาผ่านไป 2 ปีแล้วค่ะ เมื่อกลับมาอ่านบันทึกนี้
ก็นึกถึงคนที่เราได้ไปเยี่ยมมา
เจ้าของกระทู้เป็นคนอยุธยา เมื่อคุณตาคุณยายแถวนั้นรู้ว่าเป็นคนไทยก็ทักขึ้นมาว่า
"ได้ยินว่าที่ไทยน้ำท่วมที่บ้านเป็นยังไงบ้าง"
"ที่บ้านน้ำท่วมไปชั้นนึงค่ะ"
"ครอบครัวไม่เป็นไรใช่ไหม? ...ไม่เป็นไรนะ ...ต้องพยายามเข้านะ"นึกถึงการตูนหรือหนังญี่ปุ่นไว้ค่ะ จะชอบพูดไดอะลอกนี่มาก...ไม่เป็นไรนะ พยายามเข้านะ)
คุณตาคุณยายไม่มีบ้านแล้ว อาศัยอยู่ในบ้านชั่วคราวทำจากคอนเทนเนอร์
แต่อุตส่าห์ให้กำลังใจเรา....ทำเอาน้ำตาซึมเลยค่ะ T___T
ปีนี้น่าจะได้ไปอีกรอบ.....ถ้าโอกาสหวังว่าจะได้มาแบ่งบันประสบการณ์กันอีกนะคะ
หลายๆพื้นที่แถวโทโฮคุที่ไม่ติดทะเล หรือไม่ได้รับผลกระทบจากซึนามิก็มีนะคะ
แต่นักท่องเที่ยวน้อยลงเยอะเลย ทั้งๆที่แถวนั้นยังมีเทศกาลน่าสนใจเยอะนะคะ อาหารทะเลก็อร่อย
ถ้ามีโอกาสไปเที่ยวแถวนั้นบ้างก็น่าสนใจนะคะ ^__^