[CR] Review ย้อนหลัง Great East japan eartquake ทริปลงพื้นที่ประสบภัยซึนามิ(ไปมาเมื่อมี.ค 2012)รำลึกในวันครบรอบ 2ปี

เป็นการรีวิวครั้งแรก ถ้าผิดพลาดอะไรขอโทษด้วยนะคะ

เจ้าของกระทู้กำลังเรียนสถาปัตยกรรม เกี่ยวกับภัยพิบัติอยู่ที่ญี่ปุ่นค่ะ

พอดีในโอกาสครบรอบ 2 ปีของเหตุการณ์ซึนามิที่ญี่ปุ่นเลยอยากจะเอาบันทึก ที่เคยเขียนไว้ตอนที่ไปลงพื้นที่ตอนครบรอบ 1ปี หลังเหตุการณ์มาแชร์ให้อ่านกันค่ะ เป็นบันทึกส่วนตัวจากมุมมองของเจ้าของกระทู้เองนะคะ

เราได้ไปที่เมืองเซนได มิยางิ และอิวาเตะ เพื่อดูสภาพความเสียหาย และความเป็นอยู่ของผู้ประสบภัยค่ะ

ไปทั้งหมดสองครั้งคือเดือนมีนาคมปี 2012 กับเดือน สิงหา 2012 นี่เป็นรีวิวจากเดือนมีนานะคะ






================================================================
...เป็น exchange program คือการไปดูสถานที่จริงพร้อมกับเด็กญี่ปุ่น กับเด็กจากมหาวิทยาลัย บาเซโลน่า





เซนได คือหนึ่งในพื้นที่ที่โดนซึนามิหนัก (เมืองที่ไปมีหลายเมือง เช่น อันที่เห็นน้ำวนในภาพข่าว และคลื่นสูงกว่าต้นสน)







เวลาผ่านไป 1 ปีแล้ว....แต่สำหรับคนที่อยู่ที่นั่น...เวลาเหมือนถูกหยุดไว้ที่ 11 มีนา 2011


"สถานที่จริง"


คำนี้....กระทบจิตใจอย่างน่ากลัว ตลอดเวลาที่อยู่ที่เซนไดหลายๆวัน

ตอนแรกเราเตรียมตัว เตรียมของไป ประมาณว่าเหมือนไปออกรบ!!!...มีกระทั่งไฟฉาย

มีแผ่นทำความร้อน...มีมาม่า....คือเราไม่เข้าใจหรอก ว่าเขาเป็นอยู่กันยังไง

ที่บ้านก็ไม่ได้ว่า แม่แค่บอกให้ระวังแผ่นดินไหวอีก วิ่งไวๆนะลูก...กับถามเรื่องมันยังมีกัมมันตรังสีรึเปล่า


นั่งรถบัสคืนนึงจากโอซาก้า ไปเซนได แล้วนั่งมินิบัสไปพร้อมทุกคน จากตัวเมือง ไปถึงชายฝั่ง...เป็นที่ที่ โดนซึนามิเยอะที่สุด


เราจะอธิบายในเรื่องของข้อมูล อย่างละเอียด...หรือในเชิงหัวข้อวิจัย housing recovery ที่ทำธีสิสอยู่ตอนหลัง(ถ้ามีโอกาส)


แต่ตอนนี้ขอเล่าถึงการไปเยี่ยมเซนได....ในฐานะปุถุชนคนธรรมดา

จะพยายามบรรยายความรู้สึกออกมาให้มากที่สุด...ถึงมันจะยากมากๆๆๆๆๆๆ T___T



เรารู้สึก....เหมือนเราไปยืนที่สุสาน....ขนาดใหญ่ที่สุด เท่าที่เคยเห็นมาในชีวิตนี้



สุสานนี่เราไม่ได้หมายถึงมิติลี้ลับ หรืออะไรน่ากลัวนะ



แต่มันเป็นความสงบ...เงียบ...เหมือนไม่มีอะไรจะเคลื่อนไหว...ไม่มีวันพรุ่งนี้อีกแล้วที่นั่น



ตอนที่ยืนอยู่ริมฝั่งทะเล....มองซากของเมืองทั้งเมืองที่กลายเป็นพื้นที่ราบโล่ง


มันเงียบมากๆ....เงียบจนน่ากลัว


ความกว้าง...โล่ง...นิ่ง...ทำให้คนที่ไม่เคยเจอแผ่นดินไหวหนักๆซักครั้งอย่างเรา หนาวไปเลย


เมืองทั้งเมืองเหลือแต่เศษซาก...คำว่า "ราบเป็นหน้ากลอง"ของจริงมันเป็นอย่างนี้นี่เอง....ไม่มีต้นไม้สักต้น


ทะเลที่อยู่ตรงหน้าก็ราบนิ่ง....เหมือนมันทำเนียนว่า มันไม่เคยเป็นทะเลที่น่ากลัวมาก่อน T^T (คือยิ่งนิ่งกรุยิ่งกลัวมาก...ได้โปรด)

ตลอดทาง มีอาจารย์โคบายาชิ แกบรรยายถึง แต่ละเมืองให้ฟัง

อาจารย์แก่มากแล้ว...แต่ต้องมาจากมหาลัยทุกเดือน

มาเพื่อช่วยฟื้นฟูชุมชน ให้กลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้

อาจารย์เป็นเพื่อนของอาจารย์ชิโอซากิ(อาจารย์คนโตที่แลป) แล้วก็เป็นอาจารย์ของอาจารย์ที่ปรึกษาเราอีกที


ที่เมือง Kesanuma/Minami-sanrinku/Higashi matsu shima เราได้เห็นคนที่รอดหลายคน

พยายามอย่างเต็มที่ ที่จะอยู่เพื่อวันพรุ่งนี้...แล้วก็อยู่เพื่อคนที่จากไปด้วย



คุโด้ซังกับ ยูสุเกะคุง

คุโด้ซังเป็นคนเล่านิทานภาพ...เป็นลูกสาวรุ่นที่สามของศาลเจ้า

คุโด้ซังเล่าว่า วันนั้นคุโด้ซังออกไปซื้อของ ให้ลูกชาย น้องยูสึเกะอยู่กับยาย

ระหว่างที่ปั่นจักรยานกลับจากร้านค้า...มือถือของคุโด้ซังก็ดังขึ้นถี่มากๆๆ(เวลามีแผ่นดินไหวจะมีการแจ้งเตือนเข้ามือถือทุกคน)

แล้วในตอนเดียวกัน....แผ่นดินไหวก็ไหวอย่างรุนแรง

คุโด้ซังที่เป็นแม่...คำเดียวที่ตะโกนออกมาในภาวะตกใจ คือ "ยูสุเกะ!!!"

คุโด้ซัง วิ่งกลับมาที่บ้าน...ยายกับหลายกำลังกอดกันอยู่ที่มุมนึง...รอแม่กลับมาพอดี

ถึงบ้านของคุโด้ซังจะสูงและไกลจากทะเล...แต่เค้าก็บอกยายกับลูกชายว่า "เราต้องหนีขึ้นเขา!!!"

สามคนพากันวิ่งขึ้นไปบนเขา หลังศาลเจ้าขึ้นไปอีก...บนนั้นมีที่หลบภัยของเมือง

ไปเจอคุณพ่อของยูสุเกะ ที่กลับที่ทำงานบนนั้นพอดี ครอบครัวสี่คนได้เจอกันแล้ว


....แต่หลายๆครอบครัวไม่ได้โชคดีแบบนั้น....


ซึนามิสูงสิบกว่าเมตร....สูงจนกลืน ศูนย์เตือนภัยซึนามิ สูงสามชั้นหายไปทั้งหลัง

เสียงของผุ้หญิงที่เป็นเจ้าหน้าที่...ซึ่งประกาศให้ทุกคนอพยพหนีซึนามิ

ก็หายไปพร้อมคลื่นกับจังหวะที่คลื่นมา

....เจ้าหน้าที่พยายามทำหน้าที่แจ้งให้ทุกคนรอดชีวิต จนนาทีสุดท้าย



ตอนที่เราไปฟังเรื่องนี้....เราอยู่บนศาลเจ้าบนเขา

มองออกไปที่หน้าต่าง...ก็เห็นศูนย์เตือนภัยนั้น...เหลือแต่โครงศร้างเหล็กสีแดง

ไม่มีเมืองหรือศูนย์การค้าตามที่บอกในเรื่อง

มองไปจากภูเขา....เราเห็นแต่ที่โล่ง...กว้างสุดลูกหูลูกตา


ยูสุเกะคุงบอกว่า...เกลียดแผ่นดินไหว...ตอนนี้แผ่นดินไหวทำให้ยูสุเกะมี "ฟุรุซาโตะ(บ้านเกิด)"ที่พังไปแล้ว

แต่คุณแม่บอกว่า "ยูสุเกะมีบ้านเกิด...ที่เราต้องช่วยกันซ่อม..ต่างหาก"

คุโด้ซังบอกว่าที่เธอมาเป็นนักเล่านิทานภาพ...เพราะอยากจะช่วยให้ความรู้...ไม่ใช่ในเชิงข้อมูล

แต่เป็นความรู้สึกจริง...ของคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นจริงๆ...นอกจากนั้นการมาฟังนิทาน

ก็ช่วยบรรเทา ความเจ็บปวด หรือความรู้สึกข้างในด้วย...เพราะไม่ใช่มีแต่ผู้ใหญ่ที่ทั้งตกใจ กลัว และเสียใจ

สำหรับเด็กๆ....ยิ่งยากกว่าที่จะบรรยายความเจ็บปวดข้างในใจ....เพราะเขายังไม่โตพอ เด็กเกินกว่าจะเข้าใจ "ความเจ็บปวด โศกเศร้า เสียใจ"

ตอนที่เราไปเดินที่ศูนย์ชอปปิ้งชั่วคราว(ร้านค้าที่เป็นตู้คอนเทนเนอร์)

มีคนมาเล่นดนตรีให้เด็กๆฟัง เด็กๆร้องเพลง แล้วก็ยกไม้ยกมือตาม

ขนาดไม่ใช่คนรักเด็กมากๆๆ

เรายังน้ำตาไหลอ่ะ...แบบว่า...เด็กๆพวกนี้ ไม่รู้ว่าเสียใครไปบ้าง ไม่รู้ว่าตกใจแค่ไหนกับซึนามิ

แต่ตอนนี้ กลางอากาศหนาวๆ...ยังหัวเราะได้ เอิ้กอ้าก...รู้สึกว่าเจ้าหน้าที่ฟื้นฟูทุกคน พยายามกันสุดความสามารถจริงๆ

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆแค่ไหน



เมืองสุดท้ายที่เราไป....T__T เมืองนี้เรียกได้ว่า "จัดหนัก"


higashi matsu shima

เมืองนี้ถ้าคนที่เคยดูข่าวซึนามิ...ก็คงจะเห็นรูป คลื่นที่สูงกว่าต้นสนใช่ไหม?


เราไปเยือนมาแล้ว....อยากจะบอกว่า "ต้นสนในภาพนั้น....สูงยิ้ม!!!!! (ขออภัยที่ต้องหยาบคาย)"

คือมันสูง พอๆกับตึกสักหกเจ็ดชั้นอ่ะ...T__T แต่คลื่นตรงนั้น สูงกว่านั้นอีก

หัวหน้าชุมชน อธิบายให้เราฟังถึงเหตุการณ์เล้กน้อย กับแผนปรับปรุงเมือง รับกับซึนามิในอนาคต


แต่ที่แบบว่าทำเอานักวิจัยไปไม่เป็น....ก็ตอนที่คุณลุงโอโนะ(หัวหน้าชุมชน)พาไปดูสถานที่จริง


ตอนข้ามสะพานไปในเขตเมือง...ลุงแกบอกว่าขอให้ดูธงปลาคราฟสีน้ำเงินที่แขวนอยู่ที่สะพานสักครู่


แล้วรถก็ขับไปต่อ ลุงก็ชี้ให้ดูบ้านลุง...ซึ่งมีเรือเดินสมุทรลำใหญ่มากมาจอดตรงหน้าบ้าน

T__T บ้านเหลือแต่ซาก.....แต่นั่นยังไม่ใช่ไฮไลท์

ลุงบอกว่าบ้านลุงโชคดี...หนีรอดกันทุกคน


แต่บ้านข้างหลัง...สูงสองชั้น


บ้านนั้นมีลูกชายสามคน

วันที่เกิดเหตุ....แม่ ตา ยาย และริทคุงอายุ 4 ขวบ...อยู่ที่บ้าน


บ้านญี่ปุ่นที่มีลูกชาย...จะประดับธงปลาคาร์ฟ ไล่ตั้งแต่ตัวใหญ่ไปเล็ก สีแดง เหลือง น้ำเงิน

...บ้านนี้มีลูกชายสามคน อยู่ม.ปลาย ม.ต้น และ ริทคุงคนเล็กอยู่อนุบาล

ริทคุงเลยเข้าใจว่า...ธงปลาคาร์ฟสีน้ำเงิน "เป็นธงปลาคาร์ฟของริทคุง" อีกสองตัวคือพี่ชายสองคน

ปีนี้ บ้านนี้ยังไม่ได้ประดับธงเลย...เพราะก่อนวันเด็กผู้ชาย( 5 พ.ค) ซึนามิก็เกิดขึ้นไปแล้ว


ครอบครัวนี้....มีคนรอดชีวิต แค่สามคน คือคุณพ่อ พี่ชายคนโต และพี่ชายคนรอง ที่ไปทำงานและไปโรงเรียนในวันนั้น


ริทคุง...ไม่ได้อยู่เห็นธงปลาคาร์ฟสีน้ำเงินของตัวเองในปีนี้



พี่ชายสองคน....ในวันที่เกิดเหตุ....เลยขอให้คนญี่ปุ่น

ร่วมกันระลึกถึงผู้เป็นที่รักที่จากไป....ให้ช่วยส่งธงปลาคาร์ฟสีน้ำเงิน

ช่วยพาตัวแทนของน้องชายคนเล็กที่เป็นที่รัก...กลับมาที่บ้าน


คุณลุงเล่าไปก็ร้องไห้....เพื่อนที่ช่วยแปลเป็นภาษาอังกฤษก็ร้องไห้....เราเองก็ร้องไห้



รถมินิบัสของเราจอดอยู่หน้าบ้านหลังนั้น


หน้าบ้านมีธงปลาคราฟสีน้ำเงินประดับอยู่....แต่นอกจากนั้น...ไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่ในบ้านนั้นแล้ว



เราข้ามสะพานกลับมาอีกครั้ง

คุณลุงบอกว่า เมื่อวันที่ 11 มีนา...พี่ชายสองคน กับเพื่อนๆ มาที่สะพานนี้

มาตีกลองไทโกะ เพื่อระลึกถึงคนที่จากไป....ทุกคนยืนฟังกลอง....แล้วก็ร้องไห้เหมือนกัน

ไม่มีใครไม่สูญเสีย


แต่ทุกคนก็บอกว่า "ต้องพยายามอยู่ แทนคนที่จากไป"

เราโคตรนับถืออ่ะ...T__T ไปเอาเพาเวอร์ขนาดนี้มาจากไหน

แต่คุณลุงบอกว่า บางคนก็ยังเสียใจอยู่

ที่ไม่อยากมีชีวิตต่อก็มีเยอะ...ไม่ใช่ไม่มี

มีคุณแม่ลูกสองคนนึง พาเด็กๆ หนีแผ่นดินไหวไปถึงศูนย์อพยพ

พออยู่ไปสักพัก...เด็กๆบ่นหนาว...แม่เลยพาขับรถกลับมาแวะ เอาผ้าห่มที่บ้าน

เป็นเวลาเดียวกับที่คลื่นมาถึง....รถของสามคนแม่ลูก ถูกซัดลอยไปชนรถบรรทุก

คนขับรถบรรทุกรีบช่วยดึงแม่ออกมา...แต่คลื่นแรงมาก...หลังจากที่ดึงแม่ออกมาได้


เด็กๆก็ถูกซัดหายไป พร้อมกับเสียงที่ร้องว่า "แม่...ช่วยด้วย!!!!"


คนเป็นแม่บอกคนขับรถบรรทุกว่า "คุณไม่ควรช่วยชีวิตฉันไว้...คุณควรปล่อยให้ฉันตายไปพร้อมกับเด็กๆ"


แต่คนขับรถก็ทำอย่างนั้นไม่ได้...เขาเองก็เสียใจที่ไม่สามารถช่วยเด็กๆไว้ได้


นี่ไม่ใช่เรื่องเล่าจากหนังดราม่า หรือว่าข่าวทีวี

ตอนที่ฟังคุณลุงเล่าไปร้องไห้ไป....ต่อให้ไม่เคยเจอคลื่นสึนามิ...ก็ยังเข้าใจในความน่ากลัวของการสูญเสีย



อาจารย์บอกว่า....สิ่งที่จำเป็นคือทำยังไง...ให้คนที่รอดมาได้

สามารถอยู่ต่อไปได้....ใกล้เคียงกับคำว่า "ชีวิตปกติ" ที่สุด

ถึงแม้จะรู้ว่าบางอย่าง...ไม่ว่าเราจะพยายามสร้างอะไรทดแทน


...ก็ไม่สามารถเรียกสิ่งนั้นคืนมาได้ก็ตาม




=======================================

ตอนนี้เป็นเวลาผ่านไป 2 ปีแล้วค่ะ เมื่อกลับมาอ่านบันทึกนี้

ก็นึกถึงคนที่เราได้ไปเยี่ยมมา


เจ้าของกระทู้เป็นคนอยุธยา เมื่อคุณตาคุณยายแถวนั้นรู้ว่าเป็นคนไทยก็ทักขึ้นมาว่า

"ได้ยินว่าที่ไทยน้ำท่วมที่บ้านเป็นยังไงบ้าง"

"ที่บ้านน้ำท่วมไปชั้นนึงค่ะ"

"ครอบครัวไม่เป็นไรใช่ไหม? ...ไม่เป็นไรนะ ...ต้องพยายามเข้านะ"ร้องไห้นึกถึงการตูนหรือหนังญี่ปุ่นไว้ค่ะ จะชอบพูดไดอะลอกนี่มาก...ไม่เป็นไรนะ พยายามเข้านะ)

คุณตาคุณยายไม่มีบ้านแล้ว อาศัยอยู่ในบ้านชั่วคราวทำจากคอนเทนเนอร์

แต่อุตส่าห์ให้กำลังใจเรา....ทำเอาน้ำตาซึมเลยค่ะ T___T


ปีนี้น่าจะได้ไปอีกรอบ.....ถ้าโอกาสหวังว่าจะได้มาแบ่งบันประสบการณ์กันอีกนะคะ


หลายๆพื้นที่แถวโทโฮคุที่ไม่ติดทะเล หรือไม่ได้รับผลกระทบจากซึนามิก็มีนะคะ

แต่นักท่องเที่ยวน้อยลงเยอะเลย ทั้งๆที่แถวนั้นยังมีเทศกาลน่าสนใจเยอะนะคะ อาหารทะเลก็อร่อย


ถ้ามีโอกาสไปเที่ยวแถวนั้นบ้างก็น่าสนใจนะคะ ^__^













ชื่อสินค้า:   Japan Tohoku
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่