เที่ยวไปชี้หน้าด่าคนอื่นว่าชอบประดิษฐ์โวหาร... ทั้งๆ ที่ “ระบอบทักษิณ”พรรคพวกตัวเองนั่นแหละ ที่หากินกับโวหารและการประดิษฐ์วาทกรรมมากที่สุด!
ไล่ตั้งแต่ตัวพ่อ ทักษิณ ชินวัตร เมื่อกระทำผิดกฎหมาย ก็ประดิษฐ์ข้ออ้าง “บกพร่องโดยสุจริต”-“รวยแล้วไม่โกง”-“ศาลยุติความ
เป็นธรรม” ฯลฯ
เฉลิม อยู่บำรุง ขี้ข้าทักษิณอีกคน ก็บอกว่า “ทักษิณไม่ได้ทำผิดกฎหมาย แค่ทำในสิ่งที่กฎหมายห้าม”
แดงทั้งขบวนการก็สร้างวาทกรรม “ฆาตกร 91 ศพ” โดยนับเอาการเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงรวมอยู่ด้วย
โดยเฉพาะเจ้าของวาทะ “เผาเลยพี่น้อง ผมรับผิดชอบเอง”ผู้ใช้วาทะ โต้วาที ปราศรัยปลุกระดมคนเสื้อแดง กระทั่งเกิดเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง บุกปล้นสะดมขโมยทรัพย์สินในห้างหรู กลบเกลื่อนด้วยวาทกรรม “ตกใจ”
นั่นคือ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
1) นายณัฐวุฒิเคยตีฝีปาก อวดโวหาร รับปากกับเกษตรกรผู้ปลูกยางพารา คุยโวว่า “จะทำให้ราคายางพาราถีบตัวสูงกว่า 120 บาทต่อกิโลกรัม และจะมีมาตรการระยะยาวต่อไป”
ทั้งๆ ที่ เมื่อปี 2552-53 เกษตรกรเคยขายยางได้กิโลกรัมละ 180 บาท
ในที่สุด เมื่อล้มเหลว ถลุงเงินแผ่นดินไปหลายหมื่นล้านบาทแต่ราคายางยังต่ำเตี้ย
นายณัฐวุฒิออกมาพลิกลิ้นแก้ตัวว่า “ตัวเลข 120 บาท เป็นเพียงตัวเลขนำร่อง”
2) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ปราศรัยหาเสียงใหญ่ของพรรคเพื่อไทย ณ สนามราชมังคลาฯ เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2554
ประกาศสัญญาประชาคมว่า พรรคเพื่อไทยจะไม่กู้มาสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูง บอกว่า
“...จะมีรถไฟความเร็วสูงไปทั่วทุกมุมเมือง จะมีรถไฟรางคู่ไปทุกมุมเมือง พรรคประชาธิปัตย์บอกเราโกหกเพราะจะหาตังค์มาจากไหน ประเทศไทยไม่มีตังค์ทำไม่ได้ พี่น้องที่เคารพ ไปบอกนายอภิสิทธิ์ด้วยว่าถ้าเราโง่เท่าคุณ เราไม่เสนอตัวเป็นรัฐบาลหรอกแต่นี่เรามั่นใจว่า เราทำได้พี่น้องที่เคารพครับพรรคเพื่อไทยไม่ต้องกู้เงิน แต่หมุนเงินเป็นไม่ต้องยืมใครแต่ใช้เงินในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
วันนี้ รัฐบาลยิ่งลักษณ์เตรียมกู้ 2.2 ล้านล้านบาท เพื่อมาทำโครงการรถไฟความเร็วสูงและโครงการขนาดใหญ่มหึมาอื่นๆ แบบลืมอาย ลืมไปว่าจะใช้เงินในอากาศ
รัฐบาลเพื่อไทยกลายเป็นรัฐบาลที่อภิมหาโคตรกู้
การใช้โวหารวาทะ “ไม่กู้” แต่ “ใช้เงินในอนาคต” – “หมุนเงินเป็น” หลอกคนที่มีความรู้ไม่ได้ ถึงวันนี้คงหลอกได้แค่ตัวเองและคนที่ยอมตนเป็นขี้ข้าทักษิณ
3) ล่าสุด... ไม่แปลกใจที่คนอย่างนายณัฐวุฒิจะใช้สติปัญญาที่ตนคิดว่าเต็มเปี่ยมบริบูรณ์
กลั่นสมองในฐานะรัฐมนตรีช่วยพาณิชย์ ผลิตไปไอเดียที่จะแก้ปัญหาของร้านโชห่วย
ก่อนประกาศว่า จะเปลี่ยนชื่อ “โชห่วย” มาเป็น “โชว์สวย”
อ้างว่า คนปัจจุบันไม่ทราบแล้วว่าโชห่วยมีความหมายอย่างไร การเรียกแบบนี้ทำให้คนเข้าใจว่าเป็นร้านที่จัดโชว์สินค้าห่วย ไม่มีความสวยงาม
นี่คือผลงานรัฐมนตรี “โชว์ห่วย(แตก)” ของแท้
ปัญหาของร้านค้าโชห่วยมิได้อยู่ที่ชื่อเรียกขาน คือความเข้าใจของคนที่เกิดจากชื่อเลย
ปัญหาความสามารถในการแข่งขันของร้านโชห่วย หลักๆ มาจากต้นทุนสินค้า ค่าโสหุ้ย รวมถึงการจัดการที่สู้กับร้านสะดวกซื้อสมัยใหม่ไม่ได้
ไม่ใช่เพราะชื่อมีคำว่า “ห่วย”
จะเอาเงินภาษีแผ่นดินไปโฆษณา สร้างภาพ สร้างชื่อใหม่ เปลี่ยนชื่อใหม่ เปลี่ยนตัวรัฐมนตรีซะจะดีกว่า
วิธีคิดที่นำมาซึ่งคำตอบแบบของนายณัฐวุฒิ คือ วิธีคิดของพวกโต้วาที
คิดเป็นแต่จะเอาชนะด้วยคำพูด วาทะ และโวหาร
ลาออกจากรัฐมนตรี กลับไปเป็นเล่นสภาโจ๊กเถอะไป๊
4) การใช้วิธีคิดและสติปัญญาเยี่ยงนายณัฐวุฒิ ทำให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์มุ่งแต่จะสร้าง “วาทกรรม” – “โวหาร” – “ตีฝีปาก”กลายเป็น “ดีแต่พูด” และ “ดีแต่โม้” ของแท้!
รับซื้อข้าวราคาแพงกว่าตลาด เรียกว่า “จำนำข้าว”
ใครประจานเผาบ้านเผาเมือง อ้างว่า “มุขเก่า”
ล้างผิดคนโกง เรียกว่า “ปรองดอง”
กาสิโน ก็จะเรียกว่า “เอนเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์”
หนี้ท่วมประเทศ ก็คงจะเรียกว่า “เครดิตดี” ฯลฯ
รัฐมนตรีโวหารคู่กับรัฐบาลจำอวด... น่าหัวร่อ น่าสมเพช
แทนที่จะแก้ปัญหา กลับเน้นการแก้ตัว แก้เกี้ยว และแก้แค้น
แทนที่จะสร้างผลงาน กลับประดิษฐ์วาทกรรม
และแทนที่จะใช้สมองและสองมือทุ่มเททำงาน กลับใช้การกระดกลิ้นและน้ำลายเป็นเครื่องหาเลี้ยงชีพสำหรับตน!
ที่มา:
http://www.naewna.com/politic/columnist/5744
ปล.อ่านแล้วพิจรณากันเอาเองนะครับว่า...จริงไหม...สำหรับผมมันเป็นแบบนั้นจริง ๆ ครับ..เอิ๊ก ๆ ๆ
รัฐมนตรีโวหาร รัฐบาลจำอวด
ไล่ตั้งแต่ตัวพ่อ ทักษิณ ชินวัตร เมื่อกระทำผิดกฎหมาย ก็ประดิษฐ์ข้ออ้าง “บกพร่องโดยสุจริต”-“รวยแล้วไม่โกง”-“ศาลยุติความ
เป็นธรรม” ฯลฯ
เฉลิม อยู่บำรุง ขี้ข้าทักษิณอีกคน ก็บอกว่า “ทักษิณไม่ได้ทำผิดกฎหมาย แค่ทำในสิ่งที่กฎหมายห้าม”
แดงทั้งขบวนการก็สร้างวาทกรรม “ฆาตกร 91 ศพ” โดยนับเอาการเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงรวมอยู่ด้วย
โดยเฉพาะเจ้าของวาทะ “เผาเลยพี่น้อง ผมรับผิดชอบเอง”ผู้ใช้วาทะ โต้วาที ปราศรัยปลุกระดมคนเสื้อแดง กระทั่งเกิดเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง บุกปล้นสะดมขโมยทรัพย์สินในห้างหรู กลบเกลื่อนด้วยวาทกรรม “ตกใจ”
นั่นคือ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
1) นายณัฐวุฒิเคยตีฝีปาก อวดโวหาร รับปากกับเกษตรกรผู้ปลูกยางพารา คุยโวว่า “จะทำให้ราคายางพาราถีบตัวสูงกว่า 120 บาทต่อกิโลกรัม และจะมีมาตรการระยะยาวต่อไป”
ทั้งๆ ที่ เมื่อปี 2552-53 เกษตรกรเคยขายยางได้กิโลกรัมละ 180 บาท
ในที่สุด เมื่อล้มเหลว ถลุงเงินแผ่นดินไปหลายหมื่นล้านบาทแต่ราคายางยังต่ำเตี้ย
นายณัฐวุฒิออกมาพลิกลิ้นแก้ตัวว่า “ตัวเลข 120 บาท เป็นเพียงตัวเลขนำร่อง”
2) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ปราศรัยหาเสียงใหญ่ของพรรคเพื่อไทย ณ สนามราชมังคลาฯ เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2554
ประกาศสัญญาประชาคมว่า พรรคเพื่อไทยจะไม่กู้มาสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูง บอกว่า
“...จะมีรถไฟความเร็วสูงไปทั่วทุกมุมเมือง จะมีรถไฟรางคู่ไปทุกมุมเมือง พรรคประชาธิปัตย์บอกเราโกหกเพราะจะหาตังค์มาจากไหน ประเทศไทยไม่มีตังค์ทำไม่ได้ พี่น้องที่เคารพ ไปบอกนายอภิสิทธิ์ด้วยว่าถ้าเราโง่เท่าคุณ เราไม่เสนอตัวเป็นรัฐบาลหรอกแต่นี่เรามั่นใจว่า เราทำได้พี่น้องที่เคารพครับพรรคเพื่อไทยไม่ต้องกู้เงิน แต่หมุนเงินเป็นไม่ต้องยืมใครแต่ใช้เงินในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
วันนี้ รัฐบาลยิ่งลักษณ์เตรียมกู้ 2.2 ล้านล้านบาท เพื่อมาทำโครงการรถไฟความเร็วสูงและโครงการขนาดใหญ่มหึมาอื่นๆ แบบลืมอาย ลืมไปว่าจะใช้เงินในอากาศ
รัฐบาลเพื่อไทยกลายเป็นรัฐบาลที่อภิมหาโคตรกู้
การใช้โวหารวาทะ “ไม่กู้” แต่ “ใช้เงินในอนาคต” – “หมุนเงินเป็น” หลอกคนที่มีความรู้ไม่ได้ ถึงวันนี้คงหลอกได้แค่ตัวเองและคนที่ยอมตนเป็นขี้ข้าทักษิณ
3) ล่าสุด... ไม่แปลกใจที่คนอย่างนายณัฐวุฒิจะใช้สติปัญญาที่ตนคิดว่าเต็มเปี่ยมบริบูรณ์
กลั่นสมองในฐานะรัฐมนตรีช่วยพาณิชย์ ผลิตไปไอเดียที่จะแก้ปัญหาของร้านโชห่วย
ก่อนประกาศว่า จะเปลี่ยนชื่อ “โชห่วย” มาเป็น “โชว์สวย”
อ้างว่า คนปัจจุบันไม่ทราบแล้วว่าโชห่วยมีความหมายอย่างไร การเรียกแบบนี้ทำให้คนเข้าใจว่าเป็นร้านที่จัดโชว์สินค้าห่วย ไม่มีความสวยงาม
นี่คือผลงานรัฐมนตรี “โชว์ห่วย(แตก)” ของแท้
ปัญหาของร้านค้าโชห่วยมิได้อยู่ที่ชื่อเรียกขาน คือความเข้าใจของคนที่เกิดจากชื่อเลย
ปัญหาความสามารถในการแข่งขันของร้านโชห่วย หลักๆ มาจากต้นทุนสินค้า ค่าโสหุ้ย รวมถึงการจัดการที่สู้กับร้านสะดวกซื้อสมัยใหม่ไม่ได้
ไม่ใช่เพราะชื่อมีคำว่า “ห่วย”
จะเอาเงินภาษีแผ่นดินไปโฆษณา สร้างภาพ สร้างชื่อใหม่ เปลี่ยนชื่อใหม่ เปลี่ยนตัวรัฐมนตรีซะจะดีกว่า
วิธีคิดที่นำมาซึ่งคำตอบแบบของนายณัฐวุฒิ คือ วิธีคิดของพวกโต้วาที
คิดเป็นแต่จะเอาชนะด้วยคำพูด วาทะ และโวหาร
ลาออกจากรัฐมนตรี กลับไปเป็นเล่นสภาโจ๊กเถอะไป๊
4) การใช้วิธีคิดและสติปัญญาเยี่ยงนายณัฐวุฒิ ทำให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์มุ่งแต่จะสร้าง “วาทกรรม” – “โวหาร” – “ตีฝีปาก”กลายเป็น “ดีแต่พูด” และ “ดีแต่โม้” ของแท้!
รับซื้อข้าวราคาแพงกว่าตลาด เรียกว่า “จำนำข้าว”
ใครประจานเผาบ้านเผาเมือง อ้างว่า “มุขเก่า”
ล้างผิดคนโกง เรียกว่า “ปรองดอง”
กาสิโน ก็จะเรียกว่า “เอนเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์”
หนี้ท่วมประเทศ ก็คงจะเรียกว่า “เครดิตดี” ฯลฯ
รัฐมนตรีโวหารคู่กับรัฐบาลจำอวด... น่าหัวร่อ น่าสมเพช
แทนที่จะแก้ปัญหา กลับเน้นการแก้ตัว แก้เกี้ยว และแก้แค้น
แทนที่จะสร้างผลงาน กลับประดิษฐ์วาทกรรม
และแทนที่จะใช้สมองและสองมือทุ่มเททำงาน กลับใช้การกระดกลิ้นและน้ำลายเป็นเครื่องหาเลี้ยงชีพสำหรับตน!
ที่มา:http://www.naewna.com/politic/columnist/5744
ปล.อ่านแล้วพิจรณากันเอาเองนะครับว่า...จริงไหม...สำหรับผมมันเป็นแบบนั้นจริง ๆ ครับ..เอิ๊ก ๆ ๆ