ผลการเลือกตั้งผู้ว่า กทม.ในภาพรวมซึ่ง ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร อดีตผู้ว่า กทม.จากพรรคประชาธิปัตย์ ยังคงรักษาแชมป์ด้วยการเอาชนะคู่แข่งสำคัญคือ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้ท้าชิงจากพรรคเพื่อไทย สะท้อนให้เห็นปฏิกิริยาของคนกรุงอย่างมีนัยยะสำคัญทางการเมือง
ผลการเลือกตั้งผู้ว่าเมืองหลวงที่ออกมาถือเป็นการตอกย้ำตบหน้าสำนักโพลล์บางสำนักที่ก่อนหน้านี้เผยแพร่ผลสำรวจระบุว่า พล.ต.อ.พงศพัศ จะชนะการเลือกตั้งครั้งนี้แบบขาดลอย
ผลเลือกตั้งผู้ว่า กทม.ครั้งนี้เป็นการตอกย้ำว่า พรรคประชาธิปัตย์ยังคงครองใจเสียงส่วนใหญ่ของคนกรุงไว้ได้ และยังคงรักษาเก้าอี้ผู้ว่าเมืองหลวงไว้ได้เป็นสมัยที่ 4 ติดต่อกัน ขณะที่พรรคเพื่อไทยยังคงพ่ายแพ้ยังไม่ประสบความสำเร็จในการช่วงชิงเก้าอี้ผู้ว่า กทม.จากพรรคประชาธิปัตย์ได้เลยแม้แต่ครั้งเดียวนับตั้งแต่ก่อตั้งระบอบทักษิณเป็นต้นมา
ผลเลือกตั้งที่ออกมายังอาจเป็นการสะท้อนนัยยะทางการเมืองที่ว่าชาวเมืองหลวงยังคงไม่ลืมเหตุการณ์ก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองเมื่อปี 2553 ซึ่งมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้มีบารมีเหนือรัฐบาลหุ่นเชิดชุดนี้ เป็นผู้บงการคนสำคัญและมีบรรดาแกนนำคนเสื้อแดงเป็นผู้รับคำสั่งสร้างสถานการณ์
นอกจากนี้ ยังอาจเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า นโยบาย”ไร้รอยต่อ” ที่พรรคเพื่อไทยชูเป็นประเด็นสำคัญในการรณรงค์หาเสียงหวังใช้เป็นจุดขายดึงคะแนนจากคนกรุงไม่ประสบผล โดยคนเมืองหลวงยังคง“รู้ทัน” ไม่ไว้ใจระบอบทักษิณที่พยายามทุกทุกวีถีทางเดินหน้ารุกคืบที่ยึดเมืองหลวงอันปูทางไปสู่แผนผูกขาดอำนาจยึดครองทุกองคพายพของประเทศอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดหวังเปลี่ยนแปลงประเทศครั้งใหญ่ในอนาคต
ที่สำคัญยังอาจเป็นการสั่งสอนระบอบทักษิณหลังจากที่ก่อนหน้านี้ พ.ต.ท.ทักษิณ เคยประกาศดูถูกคนกรุงว่าถึงจะส่ง เสาไฟฟ้า ลงสมัครรับเลือกตั้งก็ยังชนะแน่นอน
ขณะเดียวกันอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ยังคงครองใจคนเมืองหลวงไว้ได้ก็คือสปิริตการร่วมแรงร่วมใจกันของคนในพรรคโดยเฉพาะบรรดาบุคคลอาวุโสของพรรค อาทิ นายมารุต บุนนาค อดีตหัวหน้าพรรค นายชวน หลีกภัย อดีตหัวหน้าพรรคและอดีตนายกฯสองสมัย ที่มีภาพพจน์ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ยอมรับทั่วไป รวมทั้งแกนนำทุกระดับจากทั่วประเทศต่างมาช่วย ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ รณรงค์หาเสียงอย่างเต็มที่
แต่แม้พรรคเพื่อไทยพ่ายศึกยึดอำนาจเมืองหลวงครั้งนี้ แต่ยังคงอยู่ในฐานะที่ได้เปรียบเพราะยังคงยึดกุมอำนาจรัฐและผลักดันคนของระบอบทักษิณเข้าไปคุมอำนาจในแทบทุกองคพายพของประเทศผ่านรัฐบาลหุ่นเชิดภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และแน่นอนว่าระบอบทักษิณยังไม่ละแผนการที่จะรุกคืบผูกขาดอำนาจยึดครองประเทศอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
ศึกเลือกตั้งผู้ว่าเมืองกรุงจะผ่านพ้นไปแล้ว จากนี้ไปสถานการณ์บ้านเมืองกลับสู่สภาพความเป็นจริงและมีแนวโน้มกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง โดยสถานการณ์ซึ่งเปรียบเสมือนระเบิดเวลาที่ต้องจับตาก็คือการลุกฮืออกมาแสดงพลังครั้งใหญ่ของพลังมวลชนกลุ่มต่างๆ จากประเด็นซึ่งเติมเชื้อไฟสร้างเงื่อนไขก็คือ ความพยายามที่จะผลักดันกฏหมายนิรโทษกรรมหรือแก้ไขรัฐธรรมนูญที่อ้างการสร้างความปรองดองบังหน้า แต่มีเป้าหมายแอบแฝงสำคัญคือฟอกโทษความผิดทั้งหมดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ และเหล่าแกนนำคนเสื้อแดงที่เป็นผู้ต้องหาก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมือง
ส่วนระเบิดเวลาอีกลูกหนึ่งที่ต้องจับตาก็คือคดีเขาพระวิหารซึ่งฝ่ายกัมพูชาหาเรื่องร้องเรียนให้ศาลโลกตัดสินว่าพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบประสาทเขาพระวิหาร และรวมถึงพื้นที่ตลอดแนวชายแดนไทยอีกเกือบ 2 ล้านไร่ภายใต้แผนที่อัตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ซึ่งร่างขึ้นโดยฝรั่งเศส เป็นของกัมพูชา โดยรัฐบาลหุ่นเชิดระบอบทักษิณกำลังถูกจับตาว่ากายไทยแต่ใจเขมรพยายามแบะท่าเปิดช่องให้กัมพูชาฮุบดินแดนไทยเพื่อแลกกับผลประโยชน์ต่างตอบแทนทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างระบอบทักษิณกับระบอบฮุนเซ็น
ศาลโลกจะตัดสินคดีเขาพระวิหารในเดือนต.ค.นี้ ซึ่งหากผลการตัดสินทำให้ไทยเสียดินแดนแก่กัมพูชาแน่นอนว่าพลังมหาชนคนไทยจำนวนไม่น้อยจะลุกฮือออกมาชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่อย่างแน่อน
นี่ยังไม่รวมความล้มเหลวเละเทะอื้อฉาวของรัฐบาลที่นับวันจะปรากฏให้เห็นชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆและกำลังเป็นวิบากกรรมทั้งจากพิษสารพัดโครงการประชานิยมซึ่งกำลังจะนำพาประเทศไปสู่ความหายนะล่มจม รวมทั้งพฤติกรรมส่อทุจริตมโหฬารอย่างย่ามใจที่เกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจในรัฐบาล
ที่มา:
http://www.naewna.com/creative/43610
ปล.เหลือระเบิดเวลาอีก 2 ลูก รัฐบาลจะไหวไหมเนี้ย...เอิ๊ก ๆ ๆ
คนกรุงรู้ทันตอกย้ำ ไม่เอาระบอบทักษิณ....
ผลการเลือกตั้งผู้ว่าเมืองหลวงที่ออกมาถือเป็นการตอกย้ำตบหน้าสำนักโพลล์บางสำนักที่ก่อนหน้านี้เผยแพร่ผลสำรวจระบุว่า พล.ต.อ.พงศพัศ จะชนะการเลือกตั้งครั้งนี้แบบขาดลอย
ผลเลือกตั้งผู้ว่า กทม.ครั้งนี้เป็นการตอกย้ำว่า พรรคประชาธิปัตย์ยังคงครองใจเสียงส่วนใหญ่ของคนกรุงไว้ได้ และยังคงรักษาเก้าอี้ผู้ว่าเมืองหลวงไว้ได้เป็นสมัยที่ 4 ติดต่อกัน ขณะที่พรรคเพื่อไทยยังคงพ่ายแพ้ยังไม่ประสบความสำเร็จในการช่วงชิงเก้าอี้ผู้ว่า กทม.จากพรรคประชาธิปัตย์ได้เลยแม้แต่ครั้งเดียวนับตั้งแต่ก่อตั้งระบอบทักษิณเป็นต้นมา
ผลเลือกตั้งที่ออกมายังอาจเป็นการสะท้อนนัยยะทางการเมืองที่ว่าชาวเมืองหลวงยังคงไม่ลืมเหตุการณ์ก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองเมื่อปี 2553 ซึ่งมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้มีบารมีเหนือรัฐบาลหุ่นเชิดชุดนี้ เป็นผู้บงการคนสำคัญและมีบรรดาแกนนำคนเสื้อแดงเป็นผู้รับคำสั่งสร้างสถานการณ์
นอกจากนี้ ยังอาจเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า นโยบาย”ไร้รอยต่อ” ที่พรรคเพื่อไทยชูเป็นประเด็นสำคัญในการรณรงค์หาเสียงหวังใช้เป็นจุดขายดึงคะแนนจากคนกรุงไม่ประสบผล โดยคนเมืองหลวงยังคง“รู้ทัน” ไม่ไว้ใจระบอบทักษิณที่พยายามทุกทุกวีถีทางเดินหน้ารุกคืบที่ยึดเมืองหลวงอันปูทางไปสู่แผนผูกขาดอำนาจยึดครองทุกองคพายพของประเทศอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดหวังเปลี่ยนแปลงประเทศครั้งใหญ่ในอนาคต
ที่สำคัญยังอาจเป็นการสั่งสอนระบอบทักษิณหลังจากที่ก่อนหน้านี้ พ.ต.ท.ทักษิณ เคยประกาศดูถูกคนกรุงว่าถึงจะส่ง เสาไฟฟ้า ลงสมัครรับเลือกตั้งก็ยังชนะแน่นอน
ขณะเดียวกันอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ยังคงครองใจคนเมืองหลวงไว้ได้ก็คือสปิริตการร่วมแรงร่วมใจกันของคนในพรรคโดยเฉพาะบรรดาบุคคลอาวุโสของพรรค อาทิ นายมารุต บุนนาค อดีตหัวหน้าพรรค นายชวน หลีกภัย อดีตหัวหน้าพรรคและอดีตนายกฯสองสมัย ที่มีภาพพจน์ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ยอมรับทั่วไป รวมทั้งแกนนำทุกระดับจากทั่วประเทศต่างมาช่วย ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ รณรงค์หาเสียงอย่างเต็มที่
แต่แม้พรรคเพื่อไทยพ่ายศึกยึดอำนาจเมืองหลวงครั้งนี้ แต่ยังคงอยู่ในฐานะที่ได้เปรียบเพราะยังคงยึดกุมอำนาจรัฐและผลักดันคนของระบอบทักษิณเข้าไปคุมอำนาจในแทบทุกองคพายพของประเทศผ่านรัฐบาลหุ่นเชิดภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และแน่นอนว่าระบอบทักษิณยังไม่ละแผนการที่จะรุกคืบผูกขาดอำนาจยึดครองประเทศอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
ศึกเลือกตั้งผู้ว่าเมืองกรุงจะผ่านพ้นไปแล้ว จากนี้ไปสถานการณ์บ้านเมืองกลับสู่สภาพความเป็นจริงและมีแนวโน้มกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง โดยสถานการณ์ซึ่งเปรียบเสมือนระเบิดเวลาที่ต้องจับตาก็คือการลุกฮืออกมาแสดงพลังครั้งใหญ่ของพลังมวลชนกลุ่มต่างๆ จากประเด็นซึ่งเติมเชื้อไฟสร้างเงื่อนไขก็คือ ความพยายามที่จะผลักดันกฏหมายนิรโทษกรรมหรือแก้ไขรัฐธรรมนูญที่อ้างการสร้างความปรองดองบังหน้า แต่มีเป้าหมายแอบแฝงสำคัญคือฟอกโทษความผิดทั้งหมดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ และเหล่าแกนนำคนเสื้อแดงที่เป็นผู้ต้องหาก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมือง
ส่วนระเบิดเวลาอีกลูกหนึ่งที่ต้องจับตาก็คือคดีเขาพระวิหารซึ่งฝ่ายกัมพูชาหาเรื่องร้องเรียนให้ศาลโลกตัดสินว่าพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบประสาทเขาพระวิหาร และรวมถึงพื้นที่ตลอดแนวชายแดนไทยอีกเกือบ 2 ล้านไร่ภายใต้แผนที่อัตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ซึ่งร่างขึ้นโดยฝรั่งเศส เป็นของกัมพูชา โดยรัฐบาลหุ่นเชิดระบอบทักษิณกำลังถูกจับตาว่ากายไทยแต่ใจเขมรพยายามแบะท่าเปิดช่องให้กัมพูชาฮุบดินแดนไทยเพื่อแลกกับผลประโยชน์ต่างตอบแทนทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างระบอบทักษิณกับระบอบฮุนเซ็น
ศาลโลกจะตัดสินคดีเขาพระวิหารในเดือนต.ค.นี้ ซึ่งหากผลการตัดสินทำให้ไทยเสียดินแดนแก่กัมพูชาแน่นอนว่าพลังมหาชนคนไทยจำนวนไม่น้อยจะลุกฮือออกมาชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่อย่างแน่อน
นี่ยังไม่รวมความล้มเหลวเละเทะอื้อฉาวของรัฐบาลที่นับวันจะปรากฏให้เห็นชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆและกำลังเป็นวิบากกรรมทั้งจากพิษสารพัดโครงการประชานิยมซึ่งกำลังจะนำพาประเทศไปสู่ความหายนะล่มจม รวมทั้งพฤติกรรมส่อทุจริตมโหฬารอย่างย่ามใจที่เกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจในรัฐบาล
ที่มา:http://www.naewna.com/creative/43610
ปล.เหลือระเบิดเวลาอีก 2 ลูก รัฐบาลจะไหวไหมเนี้ย...เอิ๊ก ๆ ๆ