ศาลจังหวัดมีนบุรีพิพากษายกฟ้อง คดี “ทักษิณ” ฟ้อง “สนธิ” และ แกนนำ พธม.ฐานหมิ่นประมาท กรณีออกปฏิญญา 28 มี.ค. 51 ศาลระบุจำเลยเป็นแกนนำพันธมิตรฯ นำเอาจุดบกพร่องในการบริหารราชการแผ่นดินของโจทก์ที่เคยเป็นนายกฯ มาวิพากษ์วิจารณ์ เป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำได้ และเป็นการติชมด้วยความเป็นธรรม
ข้อนำสืบของจำเลยทั้งหกแสดงให้เห็นว่า สมัยที่โจทก์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โจทก์บริหารประเทศไม่โปร่งใส มีการทุจริตคอร์รัปชัน มีการออกนโยบายที่เอื้อประโยชน์ต่อตนเองและพวกพ้องทำให้โจทก์และพวกร่ำรวยยิ่งขึ้น ซึ่งต่อมาอัยการสูงสุดได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองริบทรัพย์สินของโจทก์กับพวกฐานร่ำรวยผิดปกติให้ตกเป็นของแผ่นดิน ตามสำเนาคำพิพากษาเอกสารหมาย ล.26 แม้โจทก์จะไม่ยอมรับคำพิพากษาดังกล่าวแต่ก็แสดงให้เห็นว่า โจทก์มีพฤติกรรมบริหารประเทศส่อไปในทางไม่สุจริตจริง สำหรับข้อความที่กล่าวหาโจทก์ว่ากดขี่ ข่มเหง และเข่นฆ่าประชาชนนั้น สืบเนื่องจากนโยบายปราบปรามยาเสพติดของโจทก์ที่แข็งกร้าว เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตจากนโยบายดังกล่าวถึง 2,600 คน
ส่วนข้อความที่กล่าวหาว่าโจทก์
ไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น ก็ปรากฏจากทางนำสืบของจำเลยทั้งหกว่า ภายหลังจากโจทก์พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โจทก์ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนต่างประเทศหลายแขนงต่อเนื่องว่า
“ตนเองเป็นภัยคุกคามชนชั้นสูง” และยังให้สัมภาษณ์ต่อไปว่า “บรรดาชนชั้นสูงที่มีอภิสิทธิ์ทั้งหลาย เชื่อถือในทุกสิ่ง ยกเว้นประชาธิปไตย” ตามสำเนาหนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 24 ตุลาคม 2551 เอกสารหมาย ล.8 พฤติกรรมของโจทก์ดังกล่าวย่อมทำให้คนทั่วไปเข้าใจว่าโจทก์ไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ นอกจากนี้ยังแสดงออกอย่างต่อเนื่องว่าเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน ด้วยการสนับสนุนคนที่มีความใกล้ชิดกับตนเองเป็นนายกรัฐมนตรี การตั้งรัฐมนตรี ข้าราชการในระดับสูงด้วย พฤติกรรมของโจทก์ย่อมทำให้ประชาชาชนทั่วไปเข้าใจได้ว่าโจทก์อยู่เบื้องหลังการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 เป็นแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่มีความเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกับโจทก์ และไม่เห็นด้วยกับนโยบายการบริหารราชการแผ่นดินของโจทก์
การที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 นำเอาจุดบกพร่องในการบริหารราชการแผ่นดินของโจทก์มาวิพากษ์วิจารณ์ โดยเฉพาะโจทก์เคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีย่อมเป็นบุคคลสาธารณะ อันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำได้ เป็นการป้องกันส่วนได้เสียของตนตามคลองธรรม ในฐานะประชาชนชาวไทยที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำหรือพฤติกรรมของรัฐบาลที่บริหารราชการแผ่นดินในขณะนั้นและ
เป็นการติชมด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำได้ การกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 จึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 (1) (3) เมื่อศาลวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ไม่มีความผิด จำเลยที่ 5 ถึงที่ 6 ในฐานะผู้สนับสนุนการกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ย่อมไม่มีความผิดด้วย พิพากษายกฟ้อง
http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9560000025328
ลิ้ม พ่อทุกสถาบัน ของเค้าดีจริงๆ
ลิ้ม เค้าใหญ่เจงๆ ศาลยกฟ้อง “สนธิ-แกนนำ พธม.” ออกคำปฏิญญาปี 51 ไม่หมิ่น
ศาลจังหวัดมีนบุรีพิพากษายกฟ้อง คดี “ทักษิณ” ฟ้อง “สนธิ” และ แกนนำ พธม.ฐานหมิ่นประมาท กรณีออกปฏิญญา 28 มี.ค. 51 ศาลระบุจำเลยเป็นแกนนำพันธมิตรฯ นำเอาจุดบกพร่องในการบริหารราชการแผ่นดินของโจทก์ที่เคยเป็นนายกฯ มาวิพากษ์วิจารณ์ เป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำได้ และเป็นการติชมด้วยความเป็นธรรม
ข้อนำสืบของจำเลยทั้งหกแสดงให้เห็นว่า สมัยที่โจทก์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โจทก์บริหารประเทศไม่โปร่งใส มีการทุจริตคอร์รัปชัน มีการออกนโยบายที่เอื้อประโยชน์ต่อตนเองและพวกพ้องทำให้โจทก์และพวกร่ำรวยยิ่งขึ้น ซึ่งต่อมาอัยการสูงสุดได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองริบทรัพย์สินของโจทก์กับพวกฐานร่ำรวยผิดปกติให้ตกเป็นของแผ่นดิน ตามสำเนาคำพิพากษาเอกสารหมาย ล.26 แม้โจทก์จะไม่ยอมรับคำพิพากษาดังกล่าวแต่ก็แสดงให้เห็นว่า โจทก์มีพฤติกรรมบริหารประเทศส่อไปในทางไม่สุจริตจริง สำหรับข้อความที่กล่าวหาโจทก์ว่ากดขี่ ข่มเหง และเข่นฆ่าประชาชนนั้น สืบเนื่องจากนโยบายปราบปรามยาเสพติดของโจทก์ที่แข็งกร้าว เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตจากนโยบายดังกล่าวถึง 2,600 คน
ส่วนข้อความที่กล่าวหาว่าโจทก์ไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น ก็ปรากฏจากทางนำสืบของจำเลยทั้งหกว่า ภายหลังจากโจทก์พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โจทก์ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนต่างประเทศหลายแขนงต่อเนื่องว่า “ตนเองเป็นภัยคุกคามชนชั้นสูง” และยังให้สัมภาษณ์ต่อไปว่า “บรรดาชนชั้นสูงที่มีอภิสิทธิ์ทั้งหลาย เชื่อถือในทุกสิ่ง ยกเว้นประชาธิปไตย” ตามสำเนาหนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 24 ตุลาคม 2551 เอกสารหมาย ล.8 พฤติกรรมของโจทก์ดังกล่าวย่อมทำให้คนทั่วไปเข้าใจว่าโจทก์ไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ นอกจากนี้ยังแสดงออกอย่างต่อเนื่องว่าเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน ด้วยการสนับสนุนคนที่มีความใกล้ชิดกับตนเองเป็นนายกรัฐมนตรี การตั้งรัฐมนตรี ข้าราชการในระดับสูงด้วย พฤติกรรมของโจทก์ย่อมทำให้ประชาชาชนทั่วไปเข้าใจได้ว่าโจทก์อยู่เบื้องหลังการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 เป็นแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่มีความเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกับโจทก์ และไม่เห็นด้วยกับนโยบายการบริหารราชการแผ่นดินของโจทก์
การที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 นำเอาจุดบกพร่องในการบริหารราชการแผ่นดินของโจทก์มาวิพากษ์วิจารณ์ โดยเฉพาะโจทก์เคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีย่อมเป็นบุคคลสาธารณะ อันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำได้ เป็นการป้องกันส่วนได้เสียของตนตามคลองธรรม ในฐานะประชาชนชาวไทยที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำหรือพฤติกรรมของรัฐบาลที่บริหารราชการแผ่นดินในขณะนั้นและเป็นการติชมด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำได้ การกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 จึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 (1) (3) เมื่อศาลวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ไม่มีความผิด จำเลยที่ 5 ถึงที่ 6 ในฐานะผู้สนับสนุนการกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ย่อมไม่มีความผิดด้วย พิพากษายกฟ้อง
http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9560000025328
ลิ้ม พ่อทุกสถาบัน ของเค้าดีจริงๆ