ทั้ง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์และอดีตรองนายกรัฐมนตรี ก็ย่อมหนีไม่พ้นกฎเกณฑ์อันเป็นสัจธรรมในข้อนี้ได้
ที่สำคัญคือ
ผลกรรมกำลังไล่ล่าทั้งสองคนอย่างเอาเป็นเอาตายในหลายรูปแบบ ทั้งที่พิสูจน์แล้วว่า เป็นผู้ก่อกรรมนั้นจริง และอยู่ระหว่างการพิสูจน์ทางกฎหมาย
ที่ร้ายไปกว่านั้นอยู่ตรงที่ไม่เพียงแค่ทั้งสองเท่านั้นที่นอนสะดุ้งจนเรือนไหว หากแต่ยังเผื่อแผ่เจือจานไปถึง
“ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร” ที่ลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในนามพรรคประชาธิปัตย์ด้วย เพราะได้กลายเป็นประเด็นที่กระทบต่อคะแนนเสียงที่จะได้รับจากประชาชนคนกรุงเทพมหานครอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
กรรมดอกแรกที่พรรคประชาธิปัตย์ ที่ต้องเจอไปเต็มๆ แม้จะยังไม่เด่นชัดในกระบวนการทางกฎหมาย แต่ก็เล่นเอาดูโอแห่งพรรคประชาธิปัตย์งอมพระรามอยู่ไม่น้อย
นั่นก็คือ ปัญหาการก่อสร้าง สถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน 396 แห่งทั่วประเทศ และการก่อสร้างแฟลตตำรวจทั่วประเทศกว่า 163 หลัง มูลค่าของโครงการเกือบ 1 หมื่นล้านบาท ที่พรรคเพื่อไทย รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และกรมสอบสวนคดีพิเศษภายใต้การนำของ “ธาริต เพ็งดิษฐ์”
จุดล่อเป้าครั้งนี้มุ่งไปที่
“สุเทพ เทือกสุบรรณ” อดีตรองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ซึ่งได้อนุมัติเปลี่ยนโครงการ จากการประมูลรายภาคมาเป็นการประมูลที่ส่วนกลางรายเดียว โดยบริษัทที่ชนะการประมูล คือ บริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด
ขณะเดียวกัน จะมีการลาก
“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีขณะนั้นมาร่วมรับผิดชอบด้วย เนื่องจากก่อนการประมูล บริษัท พีซีซี ที่ชนะการประมูล ได้ทำหนังสือร้องคัดค้านไปยัง “อภิสิทธิ์” ไม่เห็นด้วยที่จะให้มีการประมูลไว้ที่ส่วนกลางเพียงแห่งเดียว
งานนี้ แม้จะมีหลายฝ่ายมองว่า เป็นการเล่นงานเพื่อหวังผลทางการเมือง คดีนี้เป็นหนังตัวอย่างอีกหนึ่งเรื่องที่ ดีเอสไอ และฝ่ายรัฐบาล ตั้งใจเชือดนักการเมืองฝ่ายตรงกันข้ามและบิ๊กตำรวจที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว เพื่อหวังเรียกความนิยมและลดคะแนนฝ่ายตรงกันข้ามในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่กำลังขับเคี่ยวกันอย่างระทึก
แต่ถามว่า หากไม่มีมูลดีเอสไอ จะสรรหาหลักฐานอะไรมาฟ้อง ซึ่งเรื่องนี้ทั้งนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพเอง น่ารับรู้ดีที่สุด(คลิกอ่านรายละเอียด....อัปยศ!! ฮั้วประมูลสร้างโรงพักหมัดน็อก “คู่กรรม” แห่ง “ปชป.”?)
ขณะเดียวกัน งานเข้าอีกคำรบหนึ่งของพรรคแมลงสาบ คือประเด็นที่ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ หนึ่งแกนนำกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ ได้รับการอภัยโทษ เนื่องในโอกาส พระราชพิธีพระบรมศพพระบาทสมเด็จนโรดมสีหนุ หลังจากถูกจับกุมตัว ด้วยข้อหาเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย รุกล้ำพื้นที่เขตทหาร และข้อหาจารกรรมข้อมูล ตั้งแต่วันที่ 29 ธ.ค. 2553 ทำให้ถูกจองจำอยู่ใน เรือนจำเปรยซอว์ เป็นเวลา 2 ปี จากบทลงโทษทั้งหมด 6 ปี
ประเด็นที่ต้องขีดเส้นใต้และยืนอยู่บนความจริงก็คือ ต้นสายปลายเหตุของการที่ทำให้ นายวีระ สมความคิด แกนนำกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ และ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ต้องระหกระเหินไปติดคุกอยู่แรมปี
หาใช่ผลงานของใคร หากแต่เกิดจากฝีมือของของพรรคประชาธิปัตย์ล้วนๆ
ที่เจ็บปวดก็คือหลังจากกลับมา
น ส.ราตรี ได้เปิดปากถึงความชั่วร้ายถึง อภิสิทธิ์-ประชาธิปัตย์ อย่างรู้ไส้รู้พุง ตอนเป็นฝ่ายค้านรู้ทุกเรื่อง พอเป็นรัฐบาลไม่ทำอะไร แล้วยังขยายปัญหาให้บานปลายด้วยซ้ำไป
“รัฐบาลที่ผ่านมาไม่ช่วย และปล่อยให้สู้โดยลำพัง ทั้งยังรับรองให้ทางการกัมพูชาในการบอกว่าคนไทยหาเรื่องเข้าไปในพื้นที่เอง”
"ไม่โกรธ(พรรคประชาธิปัตย์)ว่าทำไมไม่ช่วยเรา แต่โกรธว่าทำไมไม่ดูแลประเทศชาติ เหมือนจะเอาประเทศชาติใส่พานไปถวาย ตนและนายวีระถูกกระทำมันเป็นการเสียอิสรภาพของเรา แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่แค่นั้น ยิ่งกว่านั้นคือผลประโยชน์ประเทศชาติ ที่รัฐบาลไม่ดูแลรักษาไว้ทั้งที่เป็นหน้าที่ ตรงนี้ที่น่าโกรธมากกว่า เรียกว่าเจ็บปวดรวดร้าวแทงใจดำพรรคแมลงสาบเข้าอย่างจัง ที่ถูกแฉว่า รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นคนตอกย้ำการันตีดินแดนให้ประเทศกัมพูชา" น.ส.ราตรี กล่าวพร้อมน้ำตาที่นองหน้า(คลิกอ่านรายละเอียด....สันดาน “แมลงสาบ” ซ้ำเติม “วีรสตรีราตรี” แทน “กราบเท้า” ขอขมา)
แน่นอนว่า ทั้งสองเรื่องดังกล่าวย่อมส่งผลกระทบกับศึกเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าอีกด้านหนึ่งอาจไม่ทำให้ฝ่ายเพื่อไทยได้คะแนนเพิ่มแต่รับรองว่าย่อมส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของชาวบ้าน อย่างน้อยกับความรู้สึกของคนกรุงเทพฯและโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพในอดีตเมื่อครั้งที่วีระ-ราตรี ถูกจับกุมและถูกขังฟรีในคุกเขมร
กลับมาตอกย้ำภาพของพรรคประชาธิปัตย์ที่บริหารประเทศในหลักสูตร “ดีแต่พูด” อีกครั้ง
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9560000016723
ณเดช กับ บี้ หลบไป คู่กรรม คู่เวร ตัวจริง มาแว้ว
“มาร์ค-เทือก” คู่เวร คู่กรรม ไม่มีใครหนีกรรมได้พ้น
ทั้ง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์และอดีตรองนายกรัฐมนตรี ก็ย่อมหนีไม่พ้นกฎเกณฑ์อันเป็นสัจธรรมในข้อนี้ได้
ที่สำคัญคือ ผลกรรมกำลังไล่ล่าทั้งสองคนอย่างเอาเป็นเอาตายในหลายรูปแบบ ทั้งที่พิสูจน์แล้วว่า เป็นผู้ก่อกรรมนั้นจริง และอยู่ระหว่างการพิสูจน์ทางกฎหมาย
ที่ร้ายไปกว่านั้นอยู่ตรงที่ไม่เพียงแค่ทั้งสองเท่านั้นที่นอนสะดุ้งจนเรือนไหว หากแต่ยังเผื่อแผ่เจือจานไปถึง “ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร” ที่ลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในนามพรรคประชาธิปัตย์ด้วย เพราะได้กลายเป็นประเด็นที่กระทบต่อคะแนนเสียงที่จะได้รับจากประชาชนคนกรุงเทพมหานครอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
กรรมดอกแรกที่พรรคประชาธิปัตย์ ที่ต้องเจอไปเต็มๆ แม้จะยังไม่เด่นชัดในกระบวนการทางกฎหมาย แต่ก็เล่นเอาดูโอแห่งพรรคประชาธิปัตย์งอมพระรามอยู่ไม่น้อย
นั่นก็คือ ปัญหาการก่อสร้าง สถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน 396 แห่งทั่วประเทศ และการก่อสร้างแฟลตตำรวจทั่วประเทศกว่า 163 หลัง มูลค่าของโครงการเกือบ 1 หมื่นล้านบาท ที่พรรคเพื่อไทย รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และกรมสอบสวนคดีพิเศษภายใต้การนำของ “ธาริต เพ็งดิษฐ์”
จุดล่อเป้าครั้งนี้มุ่งไปที่ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” อดีตรองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ซึ่งได้อนุมัติเปลี่ยนโครงการ จากการประมูลรายภาคมาเป็นการประมูลที่ส่วนกลางรายเดียว โดยบริษัทที่ชนะการประมูล คือ บริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด
ขณะเดียวกัน จะมีการลาก “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีขณะนั้นมาร่วมรับผิดชอบด้วย เนื่องจากก่อนการประมูล บริษัท พีซีซี ที่ชนะการประมูล ได้ทำหนังสือร้องคัดค้านไปยัง “อภิสิทธิ์” ไม่เห็นด้วยที่จะให้มีการประมูลไว้ที่ส่วนกลางเพียงแห่งเดียว
งานนี้ แม้จะมีหลายฝ่ายมองว่า เป็นการเล่นงานเพื่อหวังผลทางการเมือง คดีนี้เป็นหนังตัวอย่างอีกหนึ่งเรื่องที่ ดีเอสไอ และฝ่ายรัฐบาล ตั้งใจเชือดนักการเมืองฝ่ายตรงกันข้ามและบิ๊กตำรวจที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว เพื่อหวังเรียกความนิยมและลดคะแนนฝ่ายตรงกันข้ามในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่กำลังขับเคี่ยวกันอย่างระทึก แต่ถามว่า หากไม่มีมูลดีเอสไอ จะสรรหาหลักฐานอะไรมาฟ้อง ซึ่งเรื่องนี้ทั้งนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพเอง น่ารับรู้ดีที่สุด(คลิกอ่านรายละเอียด....อัปยศ!! ฮั้วประมูลสร้างโรงพักหมัดน็อก “คู่กรรม” แห่ง “ปชป.”?)
ขณะเดียวกัน งานเข้าอีกคำรบหนึ่งของพรรคแมลงสาบ คือประเด็นที่ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ หนึ่งแกนนำกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ ได้รับการอภัยโทษ เนื่องในโอกาส พระราชพิธีพระบรมศพพระบาทสมเด็จนโรดมสีหนุ หลังจากถูกจับกุมตัว ด้วยข้อหาเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย รุกล้ำพื้นที่เขตทหาร และข้อหาจารกรรมข้อมูล ตั้งแต่วันที่ 29 ธ.ค. 2553 ทำให้ถูกจองจำอยู่ใน เรือนจำเปรยซอว์ เป็นเวลา 2 ปี จากบทลงโทษทั้งหมด 6 ปี
ประเด็นที่ต้องขีดเส้นใต้และยืนอยู่บนความจริงก็คือ ต้นสายปลายเหตุของการที่ทำให้ นายวีระ สมความคิด แกนนำกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ และ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ต้องระหกระเหินไปติดคุกอยู่แรมปี หาใช่ผลงานของใคร หากแต่เกิดจากฝีมือของของพรรคประชาธิปัตย์ล้วนๆ
ที่เจ็บปวดก็คือหลังจากกลับมา น ส.ราตรี ได้เปิดปากถึงความชั่วร้ายถึง อภิสิทธิ์-ประชาธิปัตย์ อย่างรู้ไส้รู้พุง ตอนเป็นฝ่ายค้านรู้ทุกเรื่อง พอเป็นรัฐบาลไม่ทำอะไร แล้วยังขยายปัญหาให้บานปลายด้วยซ้ำไป
“รัฐบาลที่ผ่านมาไม่ช่วย และปล่อยให้สู้โดยลำพัง ทั้งยังรับรองให้ทางการกัมพูชาในการบอกว่าคนไทยหาเรื่องเข้าไปในพื้นที่เอง”
"ไม่โกรธ(พรรคประชาธิปัตย์)ว่าทำไมไม่ช่วยเรา แต่โกรธว่าทำไมไม่ดูแลประเทศชาติ เหมือนจะเอาประเทศชาติใส่พานไปถวาย ตนและนายวีระถูกกระทำมันเป็นการเสียอิสรภาพของเรา แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่แค่นั้น ยิ่งกว่านั้นคือผลประโยชน์ประเทศชาติ ที่รัฐบาลไม่ดูแลรักษาไว้ทั้งที่เป็นหน้าที่ ตรงนี้ที่น่าโกรธมากกว่า เรียกว่าเจ็บปวดรวดร้าวแทงใจดำพรรคแมลงสาบเข้าอย่างจัง ที่ถูกแฉว่า รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นคนตอกย้ำการันตีดินแดนให้ประเทศกัมพูชา" น.ส.ราตรี กล่าวพร้อมน้ำตาที่นองหน้า(คลิกอ่านรายละเอียด....สันดาน “แมลงสาบ” ซ้ำเติม “วีรสตรีราตรี” แทน “กราบเท้า” ขอขมา)
แน่นอนว่า ทั้งสองเรื่องดังกล่าวย่อมส่งผลกระทบกับศึกเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าอีกด้านหนึ่งอาจไม่ทำให้ฝ่ายเพื่อไทยได้คะแนนเพิ่มแต่รับรองว่าย่อมส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของชาวบ้าน อย่างน้อยกับความรู้สึกของคนกรุงเทพฯและโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพในอดีตเมื่อครั้งที่วีระ-ราตรี ถูกจับกุมและถูกขังฟรีในคุกเขมร กลับมาตอกย้ำภาพของพรรคประชาธิปัตย์ที่บริหารประเทศในหลักสูตร “ดีแต่พูด” อีกครั้ง
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9560000016723
ณเดช กับ บี้ หลบไป คู่กรรม คู่เวร ตัวจริง มาแว้ว