Stocks Mania/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

Credit : http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=7&t=55025
ขอบคุณ คุณ Thai VI Article    และ ดร.นิเวศน์ครับ
__________________________________________________

โลกในมุมมองของ Value Investor        2 กุมภาพันธ์ 56
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
Stocks Mania
ดอกไม้

   สถานการณ์หรือภาวะตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ทำให้ผมนึกไปถึงเรื่องของการ  “เก็งกำไรกันอย่างบ้าคลั่ง”  ในตลาดของทรัพย์สินต่าง ๆ  ที่มักเกิดขึ้นเป็นครั้งเป็นคราวในที่ต่าง ๆ  ทั่วโลกและในประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมาหลายสิบปีเท่าที่ผมยังจำความได้  และแน่นอน  ผมต้องนึกถึงประวัติของการเก็งกำไรระดับโลกที่ได้มีการจารึกไว้และเล่าขานต่อเนื่องกันมานานนั่นก็คือเรื่องของการเก็งกำไรอย่าง  “บ้าคลั่ง”  ในหัวดอกทิวลิปที่เกิดขึ้นในประเทศเนเธอร์แลนด์ในช่วงปี ค.ศ. 1634-1637  ซึ่งเรียกกันในภาษาอังกฤษว่า  “Tulip Mania”

   เล่ากันว่าในช่วงนั้นผู้คน  “ขายบ้านขายช่อง” เพื่อที่จะนำเงินมาซื้อหัวทิวลิปที่มีลวดลายสวยงามที่เกิดขึ้นจากการที่มัน “ติดเชื้อไวรัส”  หรือจะเกิดขึ้นจากอะไรก็ตามที่ทำให้มันแปลกตาและหายากที่ทำให้คน  “อยากเล่น”  เพื่อที่จะ  “ขายต่อ”  ให้คนอื่นที่จะเข้ามา  “บิดราคา”  เพื่อที่จะซื้อและก็  “ขายต่อ”  ให้กับคนอื่นไปเรื่อย ๆ  ผ่าน  “ตลาดล่วงหน้า”  ที่เป็น  “สัญญากระดาษ”    ว่ากันว่าในช่วงที่ราคาหัวทิวลิปขึ้นสูงสุดนั้น  ทิวลิปที่  “สวยจริง ๆ” จะมีราคาเท่ากับรายได้ของช่างชำนาญงานถึง 10 ปี  คนที่เล่นเก็งกำไรหัวทิวลิปนั้นมีตั้งแต่ชาวบ้านไปจนถึงคนร่ำรวย  คนชั้นสูงและขุนนางที่ต่างก็  “ทนไม่ไหว”  กับการที่เห็นคนอื่น “รวยเอา ๆ  อย่างง่าย ๆ”  โดยการเข้าไปซื้อหัวทิวลิปในตลาด

   แน่นอนว่าราคาของหัวทิวลิปที่ขึ้นไปจน  “เกินพื้นฐาน”  ไปมาก ๆ  นั้น  ในที่สุดก็อยู่ไม่ได้และก็ตกลงมาจนแทบจะไม่มีค่าหรือเท่ากับพื้นฐานของมัน   ว่าที่จริง  มูลค่าที่แท้จริงของทิวลิปนั้น  ถ้าไม่คิดถึงสีสันลวดลายของมันที่เป็นเรื่องของจิตใจแล้ว  มันก็คือดอกไม้ธรรมดา ๆ  ที่มีค่าน้อยมาก  การที่คนให้คุณค่ามันมากมายนั้น   แท้ที่จริงแล้วก็คือ  คุณค่าของการ  “เก็งกำไร”  คือซื้อเพื่อหวังจะขายต่อในราคาที่สูงขึ้น  แต่ตัวของมันสร้างรายได้หรือทำเงินน้อยมาก  หลังจากกรณีของ  “ฟองสบู่ดอกทิวลิป”  แล้ว  โลกและประเทศไทยเองก็มีประวัติศาสตร์ของการเก็งกำไรมาเรื่อย ๆ  ราวกับว่าคนไม่ได้รับรู้เหตุการณ์ในครั้งนั้น  หรือถ้าจะอธิบายอีกทางหนึ่งก็คือ  คนไม่ได้สนใจว่า  “จุดสุดท้าย” จะเป็นอย่างไร  พวกเขาอาจจะเพียงแต่คิดว่าในระหว่างที่ราคากำลังขึ้นอย่าง “บ้าคลั่ง” นั้น  โอกาสทำเงินนั้นสูงลิ่ว  “ยิ่งรอก็ยิ่งเสียโอกาส”  ดังนั้นเขาจึงเข้าไปเล่น  เหนือสิ่งอื่นใด  ฟองสบู่แต่ละครั้งมักจะอยู่นานเป็นปี ๆ

   ในประเทศไทยเองนั้น  ผมยังจำได้ว่าในช่วงที่ผมเริ่มทำงานใหม่ ๆ  ซึ่งก็ประมาณเกือบ 40 ปีมาแล้ว  ผมจำไม่ได้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร  แต่อยู่ ๆ  คนไทยก็เริ่มสนใจและเริ่มซื้อขายหินสวยงามชนิดหนึ่งที่เรียกว่า  “โป่งข่าม”  นี่คือหินที่มีสีและลวดลายแปลก ๆ ในแต่ละเม็ดไม่ซ้ำกัน  ขนาดของแต่ละเม็ดก็แตกต่างกันไปตามธรรมชาติของหิน  เมื่อได้มาแล้วคนก็จะนำไปเจียระไนเพื่อนำไปทำหัวแหวนและเครื่องประดับอื่น ๆ เพื่ออวดกันในหมู่เพื่อนฝูง  เมื่อความนิยมในสังคมมีมากขึ้น  การซื้อขายเปลี่ยนมือก็ตามมา  หนังสือพิมพ์และสื่อต่าง ๆ  ก็เริ่มตีพิมพ์เรื่องราวและความสวยงามของหินชนิดนี้  และแล้วเรื่องราว“ปาฏิหาริย์”  ก็ตามมา   บ้างก็ว่าเมื่อสวมใส่โป่งขามแล้วทำให้โชคดี  บ้างก็อ้างว่ามันมี  “พลัง”  ในตัวที่ทำให้โรคภัยบางอย่างของผู้สวมใส่เช่นอาการหืดหอบหาย   ผู้หญิงบางคนบอกว่าใส่โป่งข่ามแล้วทำให้ใบหน้า  “มีน้ำมีนวลขึ้น”  ด้วย   ราคาของโป่งข่ามพุ่งขึ้นไปสูงมาก  บางเม็ดอาจจะขึ้นไปเป็นหมื่นหรือเท่าไรผมก็จำไม่ได้เนื่องจากไม่ได้เข้าไป “เล่น” เลย   แต่หลังจากนั้นความนิยมก็ลดลงเรื่อย ๆ  จนแทบไม่มีราคา  เดี๋ยวนี้ผมคิดว่าคนรุ่นใหม่ก็ไม่รู้จักแล้วว่าโป่งข่ามนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร

   เมื่อราวซัก 10 ปีที่ผ่านมาเราคงจำกันได้ว่าคนไทยเริ่ม  “บ้า”  จตุคาม ที่เป็นเหรียญที่เข้าใจว่ามีคนจัดทำขึ้นเพื่อเป็น  “สิ่งศักดิสิทธ์”  เริ่มต้นจากนครศรีธรรมราชถ้าผมจำไม่ผิด  ต่อมาก็มีคนจัดทำมากขึ้น  ส่วนหนึ่งเพราะเห็นว่าเป็นช่องทางที่วัดหรือหน่วยงานจะหารายได้มาทำนุบำรุงองค์กรของตน   เมื่อมีการทำกันมากขึ้นก็เริ่มมีเรื่องราว  “ปาฏิหาริย์”  ตามมา   บางคนก็เริ่มสนใจในความ “งดงาม”  ของจตุคามที่ออกกันมามากขึ้นเรื่อย ๆ   หลายคนแขวนจตุคาม  “เต็มคอ”  กลายเป็นแฟชั่น  และก็เช่นเคย  สื่อมวลชนและหนังสือพิมพ์ก็เริ่มจับเรื่องนี้มาเล่น  ราคาของจตุคามบางรุ่นถูก  “ไล่ราคา”  ขึ้นไป   ผมก็ไม่แน่ใจว่ารุ่นที่แพงมาก ๆ  เป็นเท่าไร   แต่ราคาในระดับแสนบาทก็น่าจะมีอยู่บ้าง  อย่างไรก็ตาม   การเล่นจตุคามก็ตกลงอย่างรวดเร็ว  ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะ  Supply หรือของใหม่นั้นออกมาได้เร็วและมากอย่างไม่มีข้อจำกัด  เดี๋ยวนี้คนเลิกหมดแล้ว  และผมเชื่อว่าจตุคามที่เคยโด่งดังก็คงมีราคาน้อยมาก

   ความ “บ้าคลั่ง” ของการเก็งกำไรที่มีผลกระทบ “ระดับชาติ”  ของไทยนั้นก็คือการเล่น  “แชร์แม่ชม้อย”  ซึ่งเป็น  “แชร์ลูกโซ่”  กองแรก ๆ ของไทยเมื่อประมาณซัก 35 ปีก่อน  นั่นก็คือ  การที่ “เจ้ามือ”  เสนอการลงทุนในอะไรบางอย่างที่กำลัง  “ร้อนแรง” เช่น  น้ำมันในกรณีของแม่ชม้อย  คนที่เข้ามาเล่นจะต้องจ่ายเงินค่าแชร์เช่น  ซื้อน้ำมันหนึ่งคันรถอาจจะเท่ากับ 10,000 บาท  หลังจากนั้นแต่ละเดือนเขาจะได้รับเงินปันผลตอบแทนเช่น  1,000 บาททุกเดือน   แน่นอน  เงินนั้นไม่ได้นำไปลงทุนซื้อน้ำมัน  แต่ถูกนำไปจ่ายเป็นปันผลให้กับคนที่ลงทุนมาก่อน   ตราบใดที่ยังมีคนใหม่มาลงทุนเพิ่ม  คนเก่าที่ลงทุนไว้ก็จะได้ผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมเดือนละ 10% ไปเรื่อย ๆ  ซึ่งนี่ทำให้คนที่ยังไม่ได้ลงทุนเห็นและอยากเข้ามาลงทุนเพราะเป็นหนทางที่จะทำเงินได้ง่าย ๆ  บางคนอาจจะ “ขายบ้าน”  มาลงทุน  เพราะ  “ถ้าอยู่ได้ถึงปี  เงินก็ได้คืนมาหมดแล้ว”  ซึ่งผมเชื่อว่ามีหลายคนที่เข้ามาตั้งแต่แรก ๆ  และอยู่ได้เกินปีแต่น่าเสียดายที่ว่าเขาไม่ได้เงินคืนเลย  เพราะเมื่อได้ปันผลมา  เขาก็ “โลภ”  แทนที่จะเก็บไว้  กลับนำไปลงทุนต่อ  ซึ่งทำให้ต้องหมดตัวเมื่อแชร์ “ล้ม”

   สุดท้ายของเรื่องความ “บ้าคลั่ง”  ของการเก็งกำไรที่แทบทุกประเทศต้องเคยประสบถ้าตลาดหุ้นไม่ได้เพิ่งเกิดก็คือ  การเก็งกำไรในหุ้นที่รุนแรงจนกลายเป็น  “ฟองสบู่”  แน่นอน  ประวัติศาสตร์ได้จารึกเรื่องของ  “ฟองสบู่เซ้าท์ซี”  และฟองสบู่ในปี 1929 ในตลาดสหรัฐที่มีผลกระทบกว้างขวางทั่วโลกและกระทบไปถึงภาวะเศรษฐกิจโดยรวมเมื่อ  “ฟองสบู่แตก”  ราคาหุ้นตกลงมาเหลือเพียงประมาณ 10%  แต่ความบ้าคลั่งหรือฟองสบู่ขนาดย่อม ๆ  นั้นก็เกิดขึ้นอยู่เรื่อย ๆ  แต่ละครั้งก็มักจะทิ้งเวลาห่างกันไม่น้อยกว่า 15-20 ปีขึ้นไป  ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับภาพรวมของประเทศอาจจะมีน้อย   อย่างไรก็ตาม  สำหรับคนที่อยู่ในตลาดแล้ว  บ่อยครั้งมันเป็น  “หายนะ”   เกือบทุกครั้งที่เกิดขึ้นนั้น  แทบจะไม่มี “สัญญาณเตือน”  หรือมีก็ “ไม่มีใครเชื่อ”  เหตุเพราะว่า  “ฟองสบู่”  นั้นมักเกิดขึ้นจากสถานการณ์ที่ดีเยี่ยม  โดยทั่วไปก็มักจะเริ่มต้นจากเศรษฐกิจที่กำลังเติบโตดี  เศรษฐกิจกำลังมีการเปลี่ยนแปลงไปสู่พื้นฐานใหม่ เช่น  “การเปิดเสรีทางการเงิน”  “การเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า”  “การเกิดขึ้นของเศรษฐกิจใหม่”  หรือไม่ก็หลาย ๆ  เรื่องประกอบกันที่ทำให้คนเห็นว่า  หุ้นนั้นจะมีแต่ขึ้นไปเรื่อย ๆ  และยังไม่เห็นว่าจะมีอะไรที่ทำให้ราคาที่สูงลิ่วนั้นคงอยู่ไม่ได้  ต่อเมื่อหุ้นตกลงมาแล้ว  คนถึงได้รู้ว่าราคาที่เห็นนั้นเป็น  “ฟองสบู่”

   ก่อนที่จะจบบทความนี้  ผมคงต้องออกตัวก่อนว่าผมไม่ได้หมายความว่าตลาดหุ้นไทยในเวลานี้เป็นฟองสบู่แล้ว  เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะรู้  ผมเพียงแต่รู้สึกว่าในช่วงเวลานี้  คนไทยจำนวนไม่น้อยกำลังสนใจลงทุนในหุ้นกันมากอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน  ดังนั้น  ถ้าผมจะบอกว่าในช่วงนี้เป็นช่วง  “Stocks Mania”  หรือคนกำลังคลั่งไคล้ในหุ้น  ก็คงไม่ผิดจากความจริงไปมากนัก



แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่