ฟองสบู่ AI กำลังระเบิด?

นักวิชาการ MIT ชี้ AI ไม่ได้มาช่วยงานมนุษย์ดังคาด กระตุ้นเศรษฐกิจเพียง 5% แต่เม็ดเงินลงทุนกลับเพิ่มพูนมหาศาล เสี่ยงระเบิด ทิศทางของปัญญาประดิษฐ์หลังจากนี้ เกิดขึ้น 3 ทาง

ตั้งแต่ ChatGPT เปิดตัวในปลายปี 2022 ความตื่นตัวเรื่องประญาประดิษฐ์กว่าแพร่กระจายไปกว้างขวาง ทั้งในฝั่งของผู้ใช้งานที่ตื่นเต้นกับความสามารถใหม่ๆ ที่โมเดลซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์เหล่านี้สร้างขึ้น ฝั่งเอกชนเองก็มองหาโอกาสที่จะนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ และ “ขาย” มันให้ได้
แน่นอนว่าบริษัทเทคโนโลยีก็พยายามจะปรับปรุงให้มันเก่งขึ้น  คลื่นแห่งการระดมทุนก็เพิ่มพูนมหาศาล การสั่งจองฮาร์ดแวร์อย่าง “ชิปเอไอ” ก็แน่นข้ามปี พร้อมกับคำพูดที่ว่า เอไอ คือสิ่งที่เปลี่ยนวิถีการผลิตของมนุษย์ในยุคถัดไป

นี่คือภาวะที่เรียกว่า “เอไอซัมเมอร์” ที่เม็ดเงินมหาศาลอัดฉีดลงไปที่การพัฒนาซอฟต์แวร์เอไออย่างบ้าคลั่ง
แต่กระนั้น การที่บริษัท นำมาซึ่งคำถามที่ว่า การโหมระดมทุนเหล่านี้มากเกินไปหรือไม่ การลงทุนในเอไอจะกลายเป็นฟองสบู่ที่พร้อมระเบิดแล้วหรือยัง และ เอไอ จะเข้ามาปฏิวัติ “วิถีการผลิต” ที่กำกับทั้งผลิตภาพ และความสัมพันธ์ในการผลิตของมนุษย์ได้จริงไหม

“แดรอน อเซมอกลู” ศาสตราจารย์จากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) ผู้ร่วมเขียนหนังสือเรื่อง Why Nations Fail ที่เขาร่วมเขียนเมื่อกว่าทศวรรษที่แล้ว ที่มองเห็นการมาถึงของ AI และเทคโนโลยีใหม่ ๆ ซึ่งเป็นรากฐานให้งานงานด้านเศรษฐศาสตร์ของเขามาหลายปี
เขาได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว บลูมเบิร์ก ในประเด็นข้างต้นนี้อย่างน่าสนใจ

โดยเขาชี้แจงให้ชัดเจนตั้งแต่แรกว่าเขาไม่ได้ต่อต้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) เขาเข้าใจถึงศักยภาพของมัน แต่สิ่งที่ทำให้เขาเห็น คือ ภัยทางเศรษฐกิจและการเงินที่กำลังจะเกิดขึ้น เพราะ กระแสโฆษณาเกินจริงเกี่ยวกับเทคโนโลยี AI และวิธีที่มันกระตุ้นการลงทุนและการพุ่งขึ้นของหุ้นเทคโนโลยี

แม้ว่า AI จะดูมีความหวัง แต่ “อเซมอกลู” ระบุว่า มีโอกาสน้อยที่มันจะเป็นไปตามโฆษณานั้น ตามการคำนวณของเขา มีเพียงสัดส่วนเล็ก ๆ ในเนื้องาน ประมาณ 5% เท่านั้น ที่พร้อมจะถูกเอไอแทนที่ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ได้รับความช่วยเหลือจาก AI ซึ่งจะเกิดราวทศวรรษหน้า

แม้นี่เป็นข่าวดีสำหรับคนทำงาน แต่เป็นข่าวร้ายสำหรับบริษัทที่ลงทุนหลายพันล้านในเทคโนโลยีนี้ โดยคาดหวังว่าจะเกิดการเพิ่มผลผลิตอย่างมหาศาล
“เงินจำนวนมากจะสูญเปล่า คุณจะไม่ได้รับการปฏิวัติทางเศรษฐกิจ จากงานเพียงแค่ 5% นี้” อเซมอกลู กล่าว

ผู้ที่เชื่อมั่นใน AI ระบุว่า เทคโนโลยีนี้จะช่วยให้ธุรกิจสามารถทำงานได้โดยอัตโนมัติในหลาย ๆ ส่วน และจะนำมาซึ่งการค้นพบทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ที่ล้ำหน้าในยุคใหม่

“เจสัน หวง”  ซีอีโอของ Nvidia ซึ่งเป็นบริษัทที่กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของ AI ระบุว่าความต้องการใช้เทคโนโลยี AI ที่เพิ่มขึ้นจากบริษัทและรัฐบาลทั่วโลก อาจต้องใช้เงินลงทุนมากถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการอัปเกรดอุปกรณ์ในศูนย์ข้อมูลในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
ความสงสัยต่อคำกล่าวอ้างเหล่านี้เริ่มมีมากขึ้น เนื่องจากการลงทุนใน AI ทำให้ต้นทุนพุ่งสูงขึ้นเร็วกว่ารายได้ของบริษัทต่าง ๆ อย่างเช่น Microsoft และ Amazon แต่ถึงอย่างนั้น นักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงยินดีจ่ายราคาสูงสำหรับหุ้นที่มีแนวโน้มจะเติบโตตามกระแส AI
3 ฉากทัศน์สำหรับเอไอ อาจจบไม่สวย

“อเซมอกลู” มองว่าเรื่องราวเกี่ยวกับ AI ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าอาจเกิดขึ้นได้สามทาง
ทางแรก และเป็นทางที่ “อันตรายน้อยที่สุด” คือกระแสโฆษณาจะค่อย ๆ ซาลง และการลงทุนใน AI แบบ “พอเหมาะพอควร” จะเริ่มมีบทบาท
ทางที่สอง คือ กระแสความตื่นเต้นยังคงดำเนินต่อไปอีกประมาณปีหนึ่ง ส่งผลให้เกิดการล่มสลายของหุ้นเทคโนโลยี ทำให้นักลงทุน ผู้บริหาร และนักเรียนเกิดความผิดหวังกับเทคโนโลยีนี้ Acemoglu เรียกสถานการณ์นี้ว่า “ฤดูใบไม้ผลิของ AI ตามด้วยฤดูหนาวของ AI”
ทางที่สาม และเป็นทางที่น่ากลัวที่สุด คือความคลั่งไคล้ใน AI ดำเนินต่อไปเป็นเวลาหลายปี ส่งผลให้บริษัทลดจำนวนงานและทุ่มเงินหลายแสนล้านดอลลาร์ใน AI โดยไม่รู้ว่าจะใช้มันอย่างไรและสุดท้ายต้องพยายามจ้างคนงานกลับมาหลังจากที่เทคโนโลยีนี้ไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ ซึ่งจะส่งผลกระทบด้านลบอย่างกว้างขวางต่อเศรษฐกิจทั้งหมด

ทางที่เป็นไปได้มากที่สุด? ที่ “อเซมอกลู” มอง คือ น่าจะเป็นการผสมผสานระหว่างทางที่สองและสาม เพราะในห้องประชุมผู้บริหาร มีความกลัวที่จะพลาดโอกาสในการลงทุนตามกระแส AI อย่างมาก จนทำให้ยากที่จะจินตนาการถึงการชะลอตัวของกระแสนี้ในเร็ววัน และเมื่อกระแสโฆษณาแรงขึ้น การล่มสลายของตลาดก็จะรุนแรง
ตัวเลขการลงทุนในไตรมาสที่สองแสดงให้เห็นถึงความบ้าคลั่งในการใช้จ่ายใน AI บริษัทเพียงสี่แห่ง ได้แก่ Microsoft, Alphabet, Amazon และ Meta Platforms ลงทุนไปมากกว่า 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ในไตรมาสนั้น โดยส่วนใหญ่ใช้ในการลงทุนใน AI

“อเซมอกลู” กล่าวถึงโมเดลภาษาขนาดใหญ่ในปัจจุบัน เช่น ChatGPT ของ OpenAI ว่าน่าประทับใจในหลายด้าน แต่ไม่สามารถแทนที่มนุษย์หรือช่วยงานมนุษย์ได้มากเท่าที่ควร เพราะปัญหาด้านความน่าเชื่อถือ และการขาดวิจารณญาณหรือปัญญาในระดับมนุษย์ ซึ่งทำให้คนไม่ไว้วางใจให้ AI ทำงานในงานประเภท white-collar (งานที่ใช้สมอง) มากในเร็ว ๆ นี้

และ AI ก็ไม่สามารถทำงานทางกายภาพ เช่น การก่อสร้างหรือทำความสะอาดได้เช่นกัน... 

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/ict/news-1667822

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่