"บ่วงวันวาร"ตอนที่12 (จบบริบูรณ์)....สำหรับคนที่อยากรู้ แต่ไม่อยากรอ

บ่วงวันวาร ตอนที่ ๑๒ อวสาน


       
       เวลาเดียวกันที่สนามฝึกยิงปืน ยินเสียงปืนดังรัวติดๆ กันหลายนัด เห็นลูกกระสุนเข้าเป้าตรงจุดสำคัญอย่างแม่นยำทุกนัด เสียงปืนยังดังรัวติดกันขึ้นอีก ที่แท้คนยิงเป็นพิมพิลาสที่สีหน้า แววตามุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว
       
       พิมพิลาสหยุดยิง มองดูผลงานจากฝีมือตัวเองอย่างพึงพอใจ
       
       ขณะที่พิมพิลาสกำลังล้างมืออยู่ที่อ่างในห้องน้ำของสนามยิงปืน
       พิศปรากฏตัวขึ้น แทนเงาของพิมพิลาสในกระจก กล่าวชื่นชม
       “เอ็งพร้อมแล้ว”
       พิมพิลาสมองเข้าไปในกระจกสู้หน้าพิศ ทั้งคู่เหมือนจ้องตากัน
       “ทีนี้ก็เหลือแต่ว่าเอ็งจะหาทางเข้าไปหามันยังไง”
       พิศมองมายังพิมพิลาส
       
       ครู่ต่อมาพิมพิลาสเดินออกมาที่ลานจอดรถ เปิดประตูรถ และเข้าไปนั่งในรถ ห่างออกมาป้าทิพย์แอบดูอยู่ มองตามรถพิมพิลาสแล่นออกไป สีหน้าแปลกใจ
       “หนูพิมมาฝึกยิงปืนทำไม”
       ป้าทิพย์สงสัย
       
       รุ่งเช้าที่บ้าน “โกสินทร์พิทักษ์” ยายสร้อยนั่งเก้าอี้โยกอยู่ที่ระเบียง สักครู่หนึ่ง บุษบันกับภีร์ภูมิเดินเข้ามา ภีร์ภูมิวางกระเช้าผลไม้ไว้ที่โต๊ะ สองคนไหว้ทักทายยายสร้อย
       “ผมเอาผลไม้มาฝากครับ”
       “ขอบใจ ว่าแต่ฉันควรรับไหว้หรือไหว้เธอดีนะ”
       ทั้งสามคนหัวเราะกันเบาๆ
       “ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ ที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น”
       “ผมก็คิดไม่ถึงเหมือนกันครับว่าจะมีเรื่องนี้อยู่จริง
       “มันไม่ใช่เรื่องธรรมดา การที่ทุกคนกลับมาพบกันใหม่ ต้องมีใครกำหนดไว้แล้ว ถ้าไม่กลับมาแก้ไขก็ต้องกลับมาชดใช้”
       “เรื่องนี้แหละค่ะที่ทำให้บุษมาหาคุณยายอีก”
       ยายสร้อยมองหน้าบุษบัน
       “บุษอยากรู้ว่า ใครเป็นคนที่ทำให้เราสองคนต้องตายในชาติที่แล้วคะ”
       ยายสร้อยนิ่งอึ้ง
       
       อีกมุมหนึ่งในบ้าน ยายสร้อยค่อยๆ เล่าเรื่องรักสามเส้าแสนรันทด จนมองเห็นเป็นภาพในอดีตประกอบเสียงบรรยายของแก
       
       “เธอชื่อคุณพิศ เป็นลูกสาวของพระยาสมาน ตอนแรกผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายตั้งใจจะให้แต่งงานกับปู่ฉัตร แต่ปู่ฉัตรไม่ได้รักเธอ ทั้งๆ ที่เธอเป็นคนที่สวย เพียบพร้อม และเหมาะสมที่สุด”
       
       “แล้วยังไงต่อคะ” บุษบันซัก
       ยายสร้อยเล่าต่อ “พอถึงวันแต่งงานปู่ฉัตรยกเลิกงานแต่งอย่างกะทันหัน และหนีไปกับบ่าวคนรัก คุณพิศโกรธมากเลยตามไปขัดขวาง”
       ภีร์ภูมิเป็นฝ่ายพูดต่อ “แล้วคุณพิศก็เลยจับเราสองคนถ่วงน้ำไปพร้อมกับตรวน”
       ยายสร้อยพยักหน้า ก่อนจะออกตัวว่าตนก็ได้ยินคนอื่นเล่าต่อมา
       “แต่นั่นก็เป็นเพียงเรื่องเล่าที่เล่าต่อ ๆ กันมา ไม่มีใครยืนยันได้แน่นอน”
       บุษบันนึกสงสัย “หลังจากที่คุณพิศฆ่าเราสองคนแล้วเธอทำยังไงต่อคะ”
       “เธอก็ฆ่าตัวตายตามทั้งคู่ไปเพื่อหนีความผิด” ยายสร้อยว่า
       บุษบันกับภีร์ภูมิได้ยินก็รู้สึกสลดใจไปด้วย
       “น่าสงสารคุณพิศเธอจังเลย คงจะเสียใจ และผิดหวังมาก” บุษบันว่า
       “แต่ก็โหดร้ายเหลือเกิน จนผมอยากเห็นว่าหน้าตาเป็นยังไง คุณยายพอจะมีรูปของคุณพิศไหมครับ” ภีร์ภูมิถามด้วยความอยากเห็น
       “ไม่มี เมื่อตอนฉันเป็นเด็กยังถูกห้ามให้พูดเรื่องนี้เลย แล้วฉันจะเอารูปมาจากไหน” ยายสร้อยบอก
       “แล้วเราจะทำยังไงถึงจะได้เห็นรูปคุณพิศ”
       ยายสร้อยนิ่ง คิดอะไรบางอย่างในใจ
       “ถ้าอยากเห็นจริง ๆ ก็ยังพอมีทาง”
       ภีร์ภูมิกับบุษบันมองหน้ากัน ยิ้มมีความหวัง
       
       ในเวลาต่อมา สองคนพากันมาอยู่ที่บ้านทายาทพระยาสมาน ภีร์ภูมิกับบุษบันยืนมองรูปพระยาสมานที่ติดเด่นเป็นสง่าอยู่ ตรงผนังเบื้องหน้า ยายสร้อยยืนอยู่ข้างๆ
       “ทายาทที่หลงเหลือยู่ของพระยาสมานก็มีแค่ที่นี่แหละ” ยายสร้อยสำทับ
       “และหวังว่าคงจะมีรูปคุณพิศนะครับ” ภีร์ภูมิพูดอย่างมีหวัง
       สักครู่ ก็มีชายสูงวัยอายุประมาณ 40 กว่าๆ ถือหีบหนังโบราณ ใบขนาด กว้าง 1 เมตร ยาว 0.5 เมตรเข้ามา
       “นี่ครับ หีบที่มีรูปของต้นตระกูลผม”
       ทายาทพระยาสมานวางหีบหนังไว้บนโต๊ะ
       “ในหีบใบนี้ต้องมีรูปคุณพิศแน่ๆ ครับ” ทายาทคนนั้นบอก
       สามคนเดินเข้ามาดูใกล้ ๆ ภีร์ภูมิใจร้อน เอื้อมมือไปเปิดหีบ แต่เปิดไม่ได้
       “เปิดไม่ได้นี่ครับ”
       “ครับ! ล็อคกุญแจมันเสีย ผมเคยพยายามเปิดหีบหลายครั้งแล้ว แต่เปิดยังไงก็เปิดไม่ออก ถ้าคุณมีวิธีเปิดได้ก็เอาไปเถอะครับ แต่ผมขอร้อง อย่าทำลายหีบนะครับ” ทายาทพระยาสมานกล่าวขอร้อง
       
       บุษบันกับภีร์ภูมิพยักหน้ารับคำ ทั้งคู่มองไปยังหีบหนังอย่างมีความหวัง



หลังฉันเพล หลวงพ่อกสินนั่งอยู่ที่ม้านั่งใต้ต้นไม้ กำลังให้ข้าวหมาตัวหนึ่งอยู่
       
       “เจ้านายเอ็งไม่รู้ไปอยู่ไหน มันจะเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่รู้ แต่เอ็งไม่ต้องห่วงมันหรอก ยังไงมันก็ต้องกลับมาหาเอ็ง เพราะมันกับเอ็งทำเวรทำกรรมร่วมกันมา”
       น่าอัศจรรย์นัก หมาตัวเมียที่ชื่อ “แด่น” ทำท่าเหมือนจะฟังหลวงพ่อกสินรู้เรื่อง
       
       ระหว่างนั้นรถของตะวันฉายแล่นเข้ามาจอดที่ลานวัด ครู่หนึ่งตะวันฉายกับกนิษฐาก้าวลงมาจากรถ และพยายามพามากลงมาจากรถแต่มากจับเบาะไว้แน่นไม่ยอมลง
       “ฉันไม่ลง! ฉันไม่ลง!”
       “ลงมาเถอะลุง จะได้รู้ว่าคุณหนูคนนั้นเป็นใคร”
       “ไม่! ฉันไม่อยากรู้ ฉันกลัว”
       หลวงพ่อกสินเดินมาหา
       “เอ็งจะกลัวอะไร อะไรจะเกิดก็ต้องให้มันเกิด”
       “หลวงพ่อ ฉันกลัว! ฉันกลัวคุณหนูจะฆ่าฉัน” มากละล่ำละลัก
       ตะวันฉายหันไปเห็นหลวงพ่อกสินรู้สึกศรัทธาขึ้นมาอย่างประหลาดล้ำ
       ตะวันฉายไหว้หลวงพ่อกสิน
       “หลวงพ่อรู้จักคุณหนูคนนั้นเหรอครับ”
       ตะวันฉายมองหลวงพ่อรอฟัง หลวงพ่อกสินนิ่ง
       
       ตะวันฉาย กับกนิษฐานั่งสนทนาอยู่กับหลวงพ่อกสินบนศาลาการเปรียญในวัด
       “หลวงพ่อรู้เรื่องที่คุณหนูมาทำพิธีอะไรนั่นใช่ไหมคะ”
       “เขามาทำพิธีดูอนาคต แต่มันฝืนกฎธรรมชาติ เป็นเรื่องที่ไม่ถูกไม่ควร”
       “ถ้าอย่างงั้นก็แสดงว่าเป็นเรื่องจริง จะมีคนตายเพราะตรวนจริงๆ เหรอครับ” ตะวันฉายบอก
       “โยมอย่าไปรู้เรื่องของอนาคตเลย ถ้ามันจะเกิดขึ้นจริงๆ ใครก็ห้ามไม่ได้” หลวงพ่อพูดเทศนา
       กนิษฐาสงสัยมาก “แล้วหลวงพ่อรู้ไหมคะว่าคุณหนูคนนั้นเป็นใคร”
       หลวงพ่อกสินตอบนิ่งๆ
       “อาตมาบอกโยมไม่ได้หรอก แล้วสักวันโยมจะรู้เอง เมื่อลิขิตแห่งกรรมโคจรให้ทั้งหมดมาพบกัน”
       กนิษฐาหมดหวัง
       “อาตมาขอให้โยมทุกคนเลิกยุ่งกับเรื่องนี้ ให้อยู่กับปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เพราะมันจะส่งผลไปถึงอนาคต ใครเคยทำกรรมอะไรไว้ก็ต้องชดใช้กรรมนั้น เหมือนอย่างไอ้มากกับหมาของมัน”
       หลวงพ่อกสินมองออกไปที่ลานวัดเห็นมากนั่งอยู่ที่ม้านั่งกำลังเล่นอยู่กับหมาที่นั่งอยู่ที่พื้น
       กนิษฐาสงสัย “ลุงมากกับหมาตัวนั้นเคยทำอะไรไว้คะ”
       “ไอ้มากกับหมาตัวนั้น เคยผูกพันกันมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว มันเคยอุปถัมภ์กันมา ชาตินี้เลยต้องเกิดมาชดใช้กันอีก”
       หลวงพ่อกสินมองออกไปที่มากอีกครั้ง แต่กลับเห็นเป็นภาพพระยาสมานนั่งอยู่บนตั่ง มีนางด้วงนั่งอยู่ที่พื้นคอยรับใช้
       ครั้นมองไปอีกครั้งกลับเป็นนายมากนั่งอยู่ที่ม้านั่งมีหมาอีแด่นนั่งอยู่ที่พื้นตามเดิม
       “คนกับหมาจะเกิดมาชดใช้อะไรกันได้เหรอครับ”
       “กรรมไงโยม มันมีกรรมของมัน”
       ตะวันฉายกับกนิษฐามองออกไปที่มาก
       
       หลวงพ่อกสิน เห็นตะวันฉายกับกนิษฐาเดินผ่านหน้ามากไป
       มากรู้ พยายามเดินตาม
       หมาอีแด่นวิ่งตามมากมา เข้าไปคลอเคลียดักหน้าดักหลัง มากตัดสินใจอุ้มหมาตัวนั้นไปด้วย
       หลวงพ่อกสินที่ยืนดูอยู่
       “ลิขิตแห่งกรรมกำลังตามพวกโยมมาติดๆ จงเตรียมรับมือมันไว้ให้ดี”
       หลวงพ่อกสินมองไปทางคนทั้งสาม สีหน้านิ่ง
       
       ขณะที่พิมพิลาสกำลังเดินเข้ามาในบ้าน ถึงห้องโถง ป้าทิพย์เข้ามาคุย
       “หนูพิมออกไปไหนมาหรือลูก”
       “พิมออกไปธุระค่ะป้า”
       “เดี๋ยวนี้หนูพิมดูมีความลับกับป้านะคะ” ป้าทิพย์หลุดปากพูด “เมื่อวันก่อนก็ออกไปหัดยิงปีนมา
       “ป้ารู้ได้ยังไง ป้าแอบตามพิมไปเหรอ”
       ป้าทิพย์สารภาพ “ใช่! หนูพิมไปหัดยังปืนทำไม เล่นกับปืนผาหน้าไม้มันอันตรายนะ”
       “พิมจะทำอะไรก็เรื่องของพิม ป้าอยู่เฉย ๆ ดีกว่าค่ะ” พิมพิลาสเสียงแข็ง
       ป้าทิพย์อึ้ง พูดไม่ออก พิมพิลาสเดินขึ้นบันไดไป
       หญิงชรากังวลมาก กดโทรศัพท์มือถือหาภีร์ภูมิทันที
       “คุณภูมิคะ”
       เย็นนั้น สองคนอยู่ในห้องทำงานของภีร์ภูมิที่ไซต์งานก่อสร้าง ภีร์ภูมิตกใจหลังฟังเรื่องจบ
       “พิมไปหัดยิงปืนทำไมครับป้า”
       “ป้าก็ไม่รู้ แล้วยิ่งช่วงนี้หนูพิมไม่ยอมให้ใครเข้าห้องเลย เหมือนแอบอะไรไว้ ป้าได้ยินหนูพิมพูดถึงตรวนๆ อะไรสักอย่างนี่แหละ”
       ภีร์ภูมิฉงนทวนคำ “ตรวน”
       “ค่ะ! ป้าก็รู้นะคะว่าคุณภูมิกับหนูพิมเลิกกันแล้ว แต่ให้เห็นถึงความผูกพันที่เคยมีให้กันมา ป้าขอให้คุณภูมิไปพูดเรื่องนี้กับหนูพิมหน่อยได้ไหมคะ ขอร้องให้หนูพิมเลิกทำตัวแบบนี้ได้ไหม”
       
       ฟังคำร้องขอของป้าทิพย์ ภีร์ภูมินิ่งงันไป
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่