WHA ,DELTA ,BAT-3K กางแผนปีมะเส็ง

กระทู้สนทนา

นายแพทย์สมยศ อนันตประยูร ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA ผู้นำด้าน Built to Suit คลังสินค้า - ศูนย์กระจายสินค้า และโรงงานระดับพรีเมี่ยม เปิดเผยกับ www.HoonInside.com  ว่ารู้สึกดีใจที่การไปโรดโชว์ที่ฮ่องกงเมื่อวันที่ 23-24 มกราคม 2556 กับบริษัทหลักทรัพย์ ซี แอล เอส เอ (ประเทศไทย) หรือ CLSA ได้รับผลตอบรับดีจากสถาบัน


    ทั้งนี้สถาบันในฮ่องกงให้ความสนใจประมาณ 24 กองทุน โดยเข้าใจธุรกิจมากขึ้นซึ่งจุดเด่นของ WHA คือผู้นำด้าน Built to Suit ที่มีการเติบโตดีและมีลูกค้าเกรดดีที่มาเช่าพื้นที่ของ WHA  โดยส่วนใหญ่จะเช่าพื้นที่แบบระยะยาวอีกทั้งยังมีลูกค้าใหม่เข้ามาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

    นายแพทย์สมยศ กล่าวเพิ่มเติมว่า ประมาณช่วงเดือน มีนาคม 2556 บริษัทฯ มีแผนเดินทางไปโรดโชว์โดยครั้งนี้จะไปในประเทศแถบยุโรป ทั้งนี้บริษัทฯไปตามคำชวนของบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่งซึ่งเป็นโบรกเกอร์ขนาดใหญ่ ซึ่งบริษัทฯมีความยินดีที่ร่วมเดินทางไปให้ข้อมูลกับกองทุนในต่างประเทศ ซึ่งจากการไป 2 ครั้งแรกที่ผ่านมาได้รับการตอบรับดี

    พร้อมทั้งย้ำว่า ปี2556 บริษัทฯ ตั้งเป้าพื้นที่เช่าเติบโต30% จากปีก่อน เนื่องจากบริษัทฯมีแผนขยายพื้นที่เช่าเพิ่มขึ้น 2.5-3 แสนตารางเมตร อีกทั้ง ปีนี้มีแผนเปิด warehouse farm เพิ่มขึ้นเนื่องจาก warehouse farm  ที่เปิดไปได้รับการตอบรับดีมากมีลูกค้าเข้ามาจองเต็มพื้นที่แล้วโดยปัจจุบันบริษัทฯ มีwarehouse farm อยู่จำนวน 5 แห่ง อาทิ ในย่านถนนบางนา-ตราด กิโลเมตรที่ 18,กิโลเมตรที่ 19 และกิโลเมตรที่ 23.5 รวมไปถึงในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและจังหวัดชลบุรี


นายอนุสรณ์ มุทราอิศ กรรมการบริหาร บมจ.เดลต้า อีเลคโทรอนิคส์ (ประเทศไทย)(DELTA)  เปิดเผยกับ www.HoonInside.comว่า ปี 2556 บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายโต10-15% จากปีก่อน โดยบริษัทฯ ขยายตลาดต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นทั้งนี้จะเน้นขยายในประเทศกลุ่ม AEC  อาทิ สาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยบริษัทฯมีสัดส่วนรายได้จากการขายสินค้าชินส่วน อิเล็กทรอนิกส์ในประเทศแถบAEC ไม่มากแต่ปีนี้จะเน้นมากขึ้น

    นอกจากนี้ปี 2556 บริษัทฯ ตั้งงงบลงทุนไว้ประมาณ 500-600 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักรให้ทันสมัยมากขึ้นโดยเป็นการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาใช้ในกระบวนการผลิต ส่วนการลงทุนขนาดใหญ่ในปี 2556 บริษัทฯ ยังไม่มีแผนขยายการลงทุนเพิ่ม เพราะต้องระวังตัวโดยหากจะลงทุนอะไรต้องพิจารณาให้ดีก่อน

    
            สำหรับแนวโน้มรายได้ไตรมาส4/2555 ดีกว่าช่วงเดียวกันปีก่อนแน่นอน เพราะปี2555 ไม่มีเหตุการน้ำท่วมเหมือนปลายปี 2554 และยอดขายในปี 2555 ก็ถือว่าฟื้นตัวดีแม้เศรษฐกิจโลกจะมีปัญหาแต่บริษัทฯ ยังบริหารจัดการได้ดี อีกทั้งคาดว่ากำไรปี 2555 จะดีกว่าปีก่อนเพราะ 9 เดือนแรกบริษัทฯ ทำกำไรได้ค่อนข้างดีโดยมีกำไรแล้ว 3,533.25  ล้านบาท มากกว่าปี 2554

    อนึ่งปี 2554 บริษัทฯ มีรายได้อยู่ที่ 39,167.15 ล้านบาท และมีกำไร 2,864.33 ล้านบาท ส่วน 9 เดือนแรกปี 2555 มีรายได้อยู่ที่ 30,874.87 ล้านบาท และมีกำไรอยู่ที่ 3,533.25 ล้านบาท


            นายอนุสรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่าค่าเงินบาทที่ปรับตัวแข็งค่าขึ้นมากในช่วงนี้ ไม่มีผลกระทบกับบริษัทฯ แต่อย่างใด เนื่องจากบริษัทฯ ป้องกันความเสี่ยงจากเรื่องดังกล่าวโดยจะซื้อฟอร์เวิร์ดล่วงหน้าไว้เป็นปี เพราะรายได้ของบริษัทฯ มีสัดส่วนรายได้มาจากต่างประเทศเป็นหลักที่ประมาณ 99% มีเพียง 1% ที่ขายในประเทศเท่านั้น

    "เรื่องค่าเงินบาทแข็งค่าไม่มีกระทบอะไรกับเรา เพราะเราปิดความเสี่ยงไว้หมดแล้วเราซื้อฟอร์เวิร์ด ไว้เป็นปี เรื่องนี้สะบายใจได้เราไม่กังวลเลย  " นายอนุสรณ์  กล่าว


             นายวีรวัฒน์ ขอไพบูลย์ กรรมการ บมจ.ไทยสโตเรจ แบตเตอรี่(BAT- 3K) เปิดเผยกับ www.HoonInside.com ว่า บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ในปี 2556 ไว้ที่ประมาณ 6.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จากปีก่อนที่มีรายได้ประมาณ 5 พันล้านบาท  เนื่องยอดขายแบ็ตเตอรี่ของบริษัทจะขยายตัวตามความมั่นใจใช้จ่าย ส่งผลให้ความต้องการใช้แบตเตอรี่ทดแทนที่ใช้ในรถทั้งกระบะและรถบรรทุกเพื่อการขนส่งสินค้ามีเพิ่มขึ้นตามการบริโภคที่มีเพิ่มขึ้นและในปีนี้บริษัทยังมีแผนที่ออกแบตเตอรี่ใหม่คุณภาพดีอีก 2-3  ตัวในปีนี้สำหรับรถกระบะ สำหรับตลาดส่งออกในปีนี้ของบริษัทมีสัดส่วนประมาณ 50% คือในอาเซียน,แอฟริกาและตะวันออกกลางยังมีสัดส่วนใกล้เคียงกับปี 2555 ที่ผ่านมา โดยในปีนี้ยังเน้นการขยายฐานลูกค้าในตลาดเดิม

       สำหรับในปีนี้บริษัทยังไม่มีแผนการลงทุนขยายกำลังการผลิตเพิ่มเพราะปัจจุบันกำลังการผลิตที่ 3.5 แสนลูกต่อเดือนโดยในปี 2555 ใช้กำลังการผลิตรวมที่ประมาณ 80% ที่ยังรองรับยอดขายที่เติบโตในปีนี้ได้ซึ่งคาดว่ากำลังการผลิตในปี 2556 จะเพิ่มขึ้นจากปีก่อน

    
                หากผลการดำเนินของบริษัทงวดปี 2556 มีกำไรตามที่ได้คาดการณ์ไว้ยืนยันว่าจะมีการจ่ายเงินปันผลอย่างแน่นอน โดยคาดว่าจะจ่ายในอัตราเฉลี่ยประมาณ 30% ของกำไรสุทธิ


          บริษัทฯ มีความมั่นใจว่าผลการดำเนินในปี 2556 ของบริษัทจะสามารถมีกำไรได้อย่างแน่นอน เนื่องจากในปีนี้ธุรกิจของบริษัทจะได้รับอานิสงส์จากภาพรวมการขยายของเศรษฐกิจในปีนี้ ส่งผลให้ทุกฝ่ายมีความมั่นใจในการขยายการลงทุนและประชาชนกล้าจับจ่ายใช้สอยจึงส่งผลดีให้มีความต้องแบตเตอรี่เพิ่มขึ้น ประกอบราคาวัตถุดิบหลักคือตะกั่วปัจจุบันเริ่มนิ่งโดยคาดว่าราคาในปีนี้จะอยู่ที่ระดับไม่เกิน 3 พันเหรียญฯ/ตัน

    “ปีนี้น่าจะเป็นปีที่บริษัทจะ Turn Around กลับมาได้เพราะตอนนี้ภาพรวมเศรษฐกิจสดใส ทำให้ตลาดรถยนต์คึกคักมากซึ่งจะดีต่อธุรกิจเราทุกคนมีความมั่นใจกล้าใช้จ่ายและกล้าลงทุนทำให้มีการซ่อมแซมรถยนต์เพิ่มขึ้นแบตเตอรี่เราก็ขายดีขึ้น”นายวีรวัฒน์ กล่าว

    ส่วนผลประกอบการของบริษัททั้งปี 2555 ยังไม่มั่นใจว่าจะออกมามีกำไรหรือไม่ หลังจากผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของบริษัทมีผลขาดทุนที่ 287 ล้านบาท  เนื่องจากราคาวัตถุดิบหลักคือตะกั่วที่ใช้ในการผลิตแบตเตอรี่ในปี 2555 ที่ผ่านมาราคาค่อนข้างมีความผันผวนสูง โดยขณะนี้อยู่ระหว่างรวมข้อมูลของไตรมาส 4/55 เพื่อปิดงบการเงิน ทั้งนี้บริษัทจะมีการประชุมคณะกรรมการบริษัท(บอร์ด) เพื่ออนุมัติงบปี 55 ในวันที่ 20 ก.พ.นี้ และรายงานผลประกอบการปี 55 ต่อตลาดหลักทรัพย์ในช่วงวันที่ 21-22 ก.พ. 2556


             บทวิเคราะห์ บล.กรุงศรี  เปิดเผยว่า บมจ.เดลต้า อีเลคโทรอนิคส์ (ประเทศไทย) DELTA แนะนำ ซื้อ ราคาพื้นฐาน ที่ 37.50 บ. ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานเข้าสู่ระยะฟื้นตัว ปรับเพิ่มคำแนะนำเป็น “ซื้อ” ด้วยมูลค่าพื้นฐานใหม่ที่ 37.50 บาท เพิ่มขึ้นจากเดิม 21%จากมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่องของผลประกอบการปี 56-57 ตามการฟื้นตัวของอุตสาหกรรม และการเติบโตภายในกิจการ ประกอบด้วย การปรับส่วนผสมผลิตภัณฑ์โดยเน้นกลุ่มสินค้าที่มีอัตรากำไรสูง และการควบคุมค่าใช้จ่าย ขณะที่ราคาหุ้นซื้อขายถูกกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มในภูมิภาคที่ 12xP/E และให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลถึง 5% ต่อปี ทั้งนี้ ผลประกอบการที่คาดว่ายังคงอ่อนแอใน 4Q55-1Q56 จะเป็นโอกาสในการทะยอยสะสมสำหรับการลงทุนในระยะสิบสองเดือน


การปรับกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์และควบคุมค่าใช้จ่ายจะผลักดันการเติบโตปี 56-57

    เรามองว่าผลการดำเนินงาน DELTA มีความผันผวนในระยะ 2 ปีที่ผ่านมา (ปี 54-55) ตามแรงกดดันของอุปสรรคจากการขายผลิตภัณฑ์ใหม่ ทั้ง Solar inverter และ Telecom solutionsรวมถึงอุปสงค์ที่ชะลอตัวจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ซบเซา ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นผันผวนจากนโยบายบัญชีที่มีการบันทึกค่าใช้จ่าย และการกลับรายการตั้งสำรองสินค้าคงคลังล้าสมัย กำไรสุทธิเฉลี่ยปี 54-55 ที่ 3.60 พันล้านบาท จึงหดตัว 13% เมื่อเทียบกับกำไรปี 53 อย่างไรก็ตามการปรับกลยุทธ์ของ DELTA ในปี 55 ได้แก่ (i) การปรับส่วนผสมผลิตภัณฑ์มาเน้นสินค้ามาร์จิ้นสูงในกลุ่ม Data center power supply, Telecom power supply, Automotive และSolution service (ii) การขยายตลาด Solar inverter ไปยังภูมิภาคต่างๆ ปรับรูปแบบการขายและการใช้งานเพื่อตอบสนองความต้องการ และ (iii) การควบคุมค่าใช้จ่ายการขาย/บริหารที่มีประสิทธิภาพผ่านการปรับโครงสร้างองค์กร และค่าวิจัย/พัฒนาที่ลดลง จะเริ่มเห็นผลเชิงบวกตั้งแต่ปี 56 ขณะเดียวกันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ, มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทั้งจีนและญี่ปุ่นรวมถึงเศรษฐกิจยุโรปที่เข้าใกล้จุดต่ำสุด จะสนับสนุนการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมอิเล็กโทรนิกส์ ส่งผลประกอบการของบริษัทจะกลับมาเติบโตชัดเจนในปี 56-57 โดยเราประมาณการกำไรจากการดำเนินงานปี 56-57 ที่ 3.89 พันล้านบาท และ 4.24 พันล้านบาท ตามลำดับ หรือเติบโตต่อเนื่องกว่าปีละ 8% จากค่าเฉลี่ยกำไรสุทธิปี 54-55 ข้างต้น ทั้งนี้ ประมาณการกำไรปี56 ถูกปรับขึ้น 10% ตามการเพิ่มสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นจาก 25% เป็น 26%

คาดกำไรสุทธิ 4Q55 เติบโต YoY แต่หดตัว QoQ และยังอ่อนแอใน 1Q56

    เราประมาณการกำไรก่อนรายการพิเศษ 4Q55 ที่ 794 ล้านบาท ขยายตัว 60%YoY จากฐานต่ำใน 4Q54 ซึ่งเป็นผลของอุทกภัยที่กดดันการขาดแคลนวัตถุดิบ แต่หดตัว 59%QoQ เนื่องจากเข้าสู่ช่วงนอกฤดูกาลขาย และการชะลอคำสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ของกลุ่ม Data center ประมาณการของเราอิงกับสมมติฐาน (i) ยอดขายสกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐฯที่ US$303 ล้าน (+2%YoY,-15%QoQ)(ii) อัตรากำไรขั้นต้นที่ 27% ขยายตัวจาก 24.1% ใน 4Q54 ตามส่วนผสมผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้น แต่ลดลงจาก 30.9% ใน 3Q55 ที่มีการกลับรายการตั้งสำรองมูลค่า US$6 ล้าน ของผลิตภัณฑ์Solar Inverter (iii) อัตราส่วน SG&A/sales เท่ากับ 19% ลดลงจาก 19.7% ใน 4Q54 แต่เพิ่มขึ้นจาก 14.7% ใน 3Q55 จากการปรับปรุงรายการค่าใช้จ่ายในทุกไตรมาสสุดท้าย และประมาณการกำไรสุทธิปี 55 เติบโต 51%YoY ทำสิถิติใหม่ที่ 4.32 พันล้านบาท จากยอดขายที่เติบโตเพียง 3%YoY แต่มีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้นเป็น 27.2% จาก 23.5% ในปี 54 ตามส่วนผสมผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรสูง โดยเฉพาะเพาเวอร์ซัพพลายสำหรับตลาด Premium และSolar Inverter และ การกลับรายการตั้งสำรองที่ที่สูงถึง US$6 ล้าน ใน 3Q55 เราคาดว่าผลการดำเนินงานยังคงอ่อนแอใน 1Q56 ก่อนจะเริ่มฟื้นตัว QoQ ตั้งแต่ไตรมาสสอง ตามวัฎจักรของธุรกิจ และภายหลังการเริ่มใช้ Platform ใหม่ของอุปกรณ์ Data center

ปรับเพิ่มคำแนะนำเป็น “ซื้อ” จากทิศทางขาขึ้นของผลประกอบการ และปันผลที่จูงใจ

    เราปรับเพิ่มคำแนะนำจาก “เก็งกำไร” เป็น “ซื้อ” สะท้อนแนวโน้มผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในสองปีข้างหน้า, ROE ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 14% ในปี 54 เป็น 16% ในปี 57 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่ม และฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง (สถานะเงินสดสุทธิ) ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันค่อนข้างถูก ซื้อขายที่ 10.6xP/E ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มในภูมิภาคที่ 12x และคาดว่าจะจ่ายเงินปันผลในอัตราผลตอบแทนจูงใจเฉลี่ย 5% ต่อปี นอกจากนี้ เราได้ปรับเพิ่มมูลค่าพื้นฐานปี 56 ขึ้น 21%จากรายงานครั้งก่อน เป็น 37.50 บาท โดยปรับเพิ่ม P/E เป้าหมายจาก 11 เท่า เป็น 12 เท่าตามค่าเฉลี่ยของกลุ่มในภูมิภาค และแนวโน้มการเติบโตของกำไร อย่างไรก็ตาม การอ่อนตัวของราคาหุ้นจากความคาดหวังเชิงลบต่อผลประกอบการ 4Q55-1Q56 จะเป็นจังหวะทยอยสะสมสำหรับการลงทุนในระยะสิบสองเดือน DELTA จะประกาศผลประกอบการปี 55 วันที่ 6 ก.พ. 56


            ปิดการซื้อขาย วันที่ 25 มกราคม 2556 ราคาหุ้น WHA  อยู่ที่  48.50 บาท ลดลง 0.25 บาท หรือ0.51%  มูลค่าการซื้อขาย 57.23 ล้านบาท , ราคาหุ้น DELTA  อยู่ที่ 33.50 บาท เพิ่มขึ้น  0.50บาท หรือ 1.52% มูลค่าการซื้อขาย 56.25  ล้านบาท และ ราคาหุ้น BAT-3K อยู่ที่ 73.00 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 0.36  ล้านบาท
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่