และแล้ว …ก็ถึงวันนั้น
อนัตดา พุทธิกุล
ขึ้นชื่อว่าลูกผู้ชาย… ร้อยทั้งร้อยนั่นแหละ ที่มักจะภาคภูมิใจในชาติกำเหนิดของตน และสิ่งหนึ่งที่ยึดมั่นประจำใจชายทุกคน ก็คือเกียรตินั่นไง
คุณหลายคนอาจจะได้ยินได้ฟังผ่านหู มาบ้าง ผมได้ยินจิ๊กโก๋ปากซอยมันพูด เห็นว่าเข้าท่า มันว่า
“ลูกผู้ชายฆ่าได้ แต่อย่าหยาม “ ให้ตายซิ ผมชอบสำนวนนี้จัง หรือจะเป็นเพราะว่า ผมนั้น ก็ลูกผู้ชายคนหนึ่ง
แน่ละ ผมต้องยอมรับว่า ครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว ผมเคยภาคภูมิใจในความเป็นชายของผม ซะเหลือเกิน
ตอนนั้น.. ผมยังอยู่ในวัยแรกแย้ม สง่า และผยอง ไม่ว่าจะย่างก้าว เยื้องกรายไปแห่งหนใด จะมีอิตสัตรีมารุมล้อม คลั่งใคล้เหมือนจะเป็นจะตาย
แต่ก็อย่างที่เขาว่ากัน นั่นแหละ
อดีต ก็คือเหตุการณ์ที่ผ่านไป มักจะไม่หวลคืนมา จะทำได้ ก็แต่เพียงถวิล นึกถึงมัน
ผมอดใจหายมิได้ ทุกครั้งที่เห็นรูปลักษณ์ตัวเอง ในกระจก
ผม .. ที่โทรมทรุดทั้งร่างกาย และจิตใจ
ผม.. ที่ผม เริ่มหงอก หลังเริ่มงอ
ผม .. ผู้ตกเหมือนอยู่ในฝันร้าย ทั้งนี้ทั้งนั้น เป็นเพราะ ทั้งร่างกาย และจิตใจของผมได้ตกอยู่ใต้อำนาจมืด ที่แฝงมาในรูปของพลัง ที่เหนือกว่าพลังทั้งปวง
เจ้าสิ่งที่ว่า คลืบคลาน ไม่ผิดกับตัวทาก พอเจอที่หมายคือผม ก็เกาะหมับ ชนิดต่อให้ทั้งดึงและกระชากก็ไม่มีวันร่วงหลุด
และเจ้าสิ่ง สิ่งนี้ นี่แหละ ที่นับวันจะทำให้ เกียร์ติภูมิของผม รูดร่น ถดถอยลงทุกทีๆ
อย่าว่าแต่ต้องเพชิญหน้ากันเลย เพียงแค่นึกถึงผมยังสยอง จะเกิดอาการ รันทดท้อ ถึงขั้นหมดอาลัยตายอยาก
และผม เลยขอพูดอย่างไม่อาย ผมกำลังพ่ายแพ้ต่อมัน
และเจ้าสิ่งที่ว่านี้ จะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจาก เอิ๊ก….ม ม้า สระ เอีย ก็เมียนะซิคุณ จะอะไรเสียอีก
บ่อยครั้งเต็มทน ที่ผมมักจะหวนนึกถึงอดีต ที่ผลของมันสืบเนื่องมาถึงปัจจุบัน
คิดถึงความแส่ นึกชังความคะนอง ผลที่ได้คือทุกข์มหันต์
ผู้หญิงคนนี้นะเหรอ ที่ผมเลือกเอามาเป็นคู่ชีวิต มันช่างเป็นการตัดสินใจที่น่าบัดซบ อย่างไม่น่าให้อภัยตัวเอง
แต่คุณต้องเข้าใจนะว่า เธอวันนี้ กับเธอวันวาน ห่างไกลราวกับฟ้ากับดิน
เธอที่ผมพบในครั้งกระโน้น อาจพูดได้เต็มปากว่าเป็นเลิพ แอท เฟิร์ท ไซท์
คือทั้งที่ยังไม่รู้ชื่อแซ่ เพียงแค่สบตาก็นึกรักเสียแล้ว เพราะหน้าตาเธอออกจิ้มลิ้ม ผมดำสลวยยาวเคลียไหล่
ตางามคู่นั้นดำราวกับนิล และเมื่อเธอแย้มยิ้ม ผมไม่ลังเล จะเรียกหล่อน แม่สาวน้อย ผู้มีลักยิ้มพิมพ์ใจ
นอกจากรอยยิ้ม ก็คงจะเป็นเสียงนี่ละ เสียงของเธอนุ่มนวล เสนาะโสต ผมจึงขนานนามให้เธอ แม่คีรีบูนเสียงทอง แม่นกน้อย ผู้มีเสียงอันสดใส
“ฉันอยากรู้นัก ทำมั๊ยถึง ได้ตะบี้ตะบัน กินมันเข้าไป ไอ้เหล้ายาปลาปิ้งนี่ จะกินเข้าไปให้มันได้อะไรขึ้นมา ดูซิ สารรูปนะดูได้ที่ไหน ใกล้จะลงโลงอยู่รอมร่อ ยังไม่รู้สึกตัว จะบอกอะไรให้ไม๊ ถ้าคิดจะฆ่าตัวตายด้วยวิธีนี่ละก้อ กรุณาทำประกันไว้ให้ด้วยก็แล้วกัน อย่าลืม”
เสียงนั้นดังสนั่นหวั่นไหวได้ยินไปทั่วทั้งหัวตรอกท้ายตรอก
ส่วนผมก็นั่งอ้าปากหวอ ตัวลีบ เกือบลืมหายใจ เฝ้ามองเธอขยับขากรรไกรขึ้นลง รัวใส่ ผมราวกับห่ากระสูนปืนครก
ไม่มีอีกแล้วรอยยิ้มพิมพ์ใจ ที่ใช้เป็นกับดักล่อผมให้ตกหลุมพลาง อีกทั้งเสียงอันทุ้ม ฟังนุ่มหูก็มลายหายไป
ผมมองหล่อนอย่างจะค้นหาความจริง อะไรบางอย่าง กระทั่งโดนเธอตวาดเอา
“มองหน้าข้องใจเรอะ แน๊ะ ว่าแล้วยังไม่สลด เดี๋ยวแม่ตบตาเล็ด”
ผมจะทำอะไรได้ นอกจากจะมานั่งคร่ำครวญกับตัวเอง ว่าโอ้โอ๋เป็นกรรมเวรของลูกช้างแท้ๆ
จากนั้นจึงเฝ้าภาวนา นึกถึงคุณพระคุณเจ้า คุณบิดา มรรดาให้มาป้องปก
ป่วยการที่จะมานั่งโทษทัณฑ์ตัวเอง เรื่องของเรื่อง เพราะผมทำมาจนเบื่อ มันเอียนเสียแล้วละคุณ
“ กินเข้าไปเถอะหมู เนื้อ ใข่ ไม่นึกเลี่ยนบ้างหรืออย่างไร ทำไมนะ ผักหญ้าจึงไม่คิดจะกิน ไม่รู้หรือว่าวิตมินมันอยู่ในผักใบเขียว ผลไม้
เนื้อสัตว์ กินมากๆ เดี๋ยวไขมันเลยจุกอก คลอแลสเตอรอล เข้าไปอุดตันในเส้นเลือดทีนี่ก็ตายกันพอดี “
ผมนั่งฟังหล่อนจารนัยถึงหลักโภชนาการ คันปากยิกๆอยากจะโต้
ปุดโธ่เอ้ย สักแต่พูด ช่างไม่ได้ดูสารรูปของตัวเอง หุ่นตัวเองไม่ผิดกับช้าง หรือว่าแรด
ผมเองก็ได้แต่คิดอยู่ในใจ มิอาจตีฝีปาก เพราะรู้ดี ถึงผลลัพน์ ที่จะตามมา ถ้าผมทำเช่นนั้น
หลังจากโจมตีผมเสร็จสรรพ หล่อนเว้นวรรคนิดหนึ่งเพื่อหยุดหายใจ ก่อนจะไปพบกับจุดยุทธศาสตร์จุดใหม่ ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นยายชมพู่ลูกสาวคนเล็กของเรานั่นเอง
“อ้าว แม่ชมพู่ มัวแต่นั่งละเลียดอยู่นั่น เดี๋ยวเลยได้ไปทำงานสาย ขอสักทีเถอะน่า ไอ้นิสัยเชื่องช้า เฉื่อยชา
ที่แกรับมาจากพ่อแก เมื่อไหร่จะทิ้งมันไปสักที หัดทำอะไรให้มันกระตือรืนล้น แอ๊กทีฟตัวเองหน่อยซิยะ
โอ้ย อกจะแตก ทั้งลูกทั้งผัวไม่ได้ดังใจเราสักคน”
ผมสบตาลูกสาว แม้เราสองคนจะไม่พูดอะไรออกมา แต่ดวงตาเป็นหน้าต่างใจ ฉันท์ใด ….
ผมหันไปคว้ากระเป๋าเอกสาร หมุนตัวกลับ ขยับจะเดินหนี ภรรยาผม กลับฉวยข้อมือผมหมับ
“หยุดก่อน อย่าเพิ่งไป “ พูดพลางเข้าประชิดตัว จัดแจงใช้สองนิ้ว คีบเสื้อผม กระตุกถี่ๆ
ด้วยท่าทางอันเกรี้ยวกราด และเสียงอันดังแสบแก้วหู ทำเอาผมตัวสั่นงันงก ลมจะใส่เสียให้ได้
ฝ่ายลูกสาวผม ที่ตั่งท่าคอยอยู่ ได้ฉวยโอกาศทองที่ว่า วิ่งปรู๊ดออกไปโดยผู้เป็นแม่ไม่ทันเห็น
“อะไรกันนี่ สื้อผ้ายับขนาดนี้ยังมีหน้าใส่ไปทำงาน คุณไม่อายเพื่อนร่วมงานเขา หรืออย่างไร ลำพังคุณ
ฉันไม่สนใจ กลัวแต่คนอื่นจะค่อนถึงฉัน เป็นเมียประสาอะไร ถึงปล่อยปละละเลย ไม่เอาใจใส่ผัว ถอดเลย ถอดเดี๋ยวนี้ แล้วไปหาเอาใหม่ ในตู้เสื้อผ้า “
กว่าผมจะไปถึงที่ทำงานวันนั้น มีอันเลทไปร่วมครึ่งชั่วโมง เพราะมัวแต่เอาใจยาหยี สนองความหวังดีที่เธอหยิบยื่นให้ ด้วยการจับผมแต่งตัว จนเป็นที่พอใจของคุณเธอ แต่คนใส่กลายผมไปฉิบ
ผมเพียรพร่ำคร่ำครวญ บางครั้งตัวเอง และบางคราวกับคนสนิทที่รู้ใจ
เมื่อผมบ่นว่าเซ็ง และ ไม่มีความสุขในชีวิตคู่
เพื่อนๆมักจะประโลมปลอบด้วยการลูบหลังไหล่ พร้อมกับกระเซ้า แต่ผมไม่ยักขำไปด้วยจนนิดเดียว
“ทำไมความรู้สึกของนายจึงล้าช้านัก กว่าจะรู้ว่าตัวเองไม่มีความสุขก็ปล่อยให้เวลาผ่านล่วงไปตั่งยี่สิบกว่าปี
และเพื่อนคนเดียวกัน ยังทำให้ผม เฮิร์ทหนัก เมื่อเขากล่าวเยินยอไปถึงศรีภรรยาผม
“เมียนาย เท่าที่เห็น เขาก็ดีพร้อม การบ้านการเรือนไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง สมเป็นแม่ศรีเรือนโดยแท้”
ผมได้ยิน ก็พยักหน้าหงึกหงึกรับความจริงที่ว่า หากไม่วายคร่ำคราวญ
เธอดีเกินกว่าที่ผมคิด ผมไม่ได้ตั่งความหวังไว้สุง ขนาดนนั้น
คนที่ไม่ได้ตกอยู่ในที่นั่งเดียวกับผมก็พูดได้ซิว่า อะไรกัน กะอีแค่เมียคนเดียวยังเอาไม่อยู่
ผมได้ยินก็ท้วงทันควัน
เมียคนเดียวนะเมียใคร เมียผมเหมือนเมียชาวบ้านซะที่ไหน
แล้วยังมีอยู่หรอก บรรดาผู้คนที่รู้จักมักคุ้น ที่ยื่นข้อแนะนำให้ผม อย่างน่าฟัง
ไอ้คนรุ่นเรา อยู่ได้อย่างเก่ง จะถึงยี่สิบปีหรือเปล่า
เหวอ ! ผมได้ยินก็ร้องเสียงหลง
ยี่สิบปีกับเมียผมนะเหรอ ตายแล้วผมจะทำอย่างไร
และเขาคนนั้นยังคงสาธยายต่อไปอย่างผู้รอบรู้
ตอนนี้มีชีวิตอยู่ ให้ผมรีบๆตักตวงหาความสุข เสียก่อนที่เรียวแรงจะถดถอย
ก่อนจะสรุปลงในตอนท้าย ด้วยการชวนผมเข้าคลับ เที่ยวบาร์ อาษาพาผมเข้า อาบอบนวด
ดูเขาออกจะหัวเสียอยู่หรอก เมื่อผมปฏิเสธไมตรีที่เขาหยิบยื่นมา
เรื่องของเรื่อง เป็นเพราะว่า กิจกรรมดังกล่าวผมไม่เคยทำ
ชีวิตประจำวันของผม ถูกศรีภรรยา จัดตารางให้หมด
อาหารการกิน ตลอดจนเสื้อผ้าแพรพรรณ
จนบางครั้งผมอดคิดไม่ได้ว่า เออหนอ ถ้าเผื่อขาดเธอไปสักคน ผมมิกลายเป็นคน ทุพพลภาพไปหรือนี่
ว้า ! ไอ้ผมนี่ก็บ้าจริงๆ ก็ผมเองมิใช่เหรอ ที่วันๆขอให้มีเวลาว่าง เป็นต้องคิดหาช่องทางเขี่ยเธอออกไปจากชีวิต
กินเหล้า ไม่ดีผมก็รู้อยู่
ใช่ว่ากินแล้วจะช้วยแก้ปัญหาหรือก็เปล่า
แต่ทั้งๆที่ซาบซึ้ง ผมก็ยังคงกินมันเข้าไป กินเพราะว่าความคับแค้นมันกำหนด กินเพราะอยากลืมความคับอกที่สุมแน่น
เพราะทุกครั้งที่ผมเมา ผมจะลืมมันไปได้ แม้จะเป็นชั่วระยะเวลาสั้นๆ ช่วงที่มันออกฤทธ์ ผมก็ยังพอใจอยู่ดี
วันนี้ผมคลื้มใจเป็นพิเศษ ครื้มขนาดฮัมเพลงเบาๆ ขณะละเลียดน้ำสีเหลืองในแก้วบาง
เกิดความเป็นอิสระเสรีราววิหค ทั้งนั้นเป็นเพราะ แม่ยอดขมองอิ่มของผมมีอันต้องระเห็จไปนอนพังพาบหยอดน้ำเกลือ ที่โรงพยาบาล ด้วยโรคที่กำลังอยู่ระหว่างวินิจฉัย อย่างไม่มีกำหนด
ผมส่งเสียงร้องจู้ฮุกกรูๆอย่างเบิกบานใจ บ้านทั้งบ้านเงียบสงบ ไม่มีเสียงบ่นว่า ด่าทอ
ผมนอนเอกเขนก อยู่บนเก้าอี้โยกตัวโปรด จิบเหล้าไปพลาง คิดอะไรเรื่อยเปื่อย
ใครหนอช่างเปรียบเปรย ของเก่าทำให้เรานึกถึงอดีตอันดีงาม
นักเล่นของเก่า แสนจะทะนุถนอม และรักใคร่ของที่เขาสะสม
ไม่เช่นนั้น ร้านขายของเก่า คงไม่ผุดราวกับดอกเห็ด อย่างที่เห็น
ผมเผลอตัวหัวเราะออกมาเสียงดัง เมื่อนึกถึงสิ่งๆหนึ่ง ที่พอเก่าแก่ เจ้าของ ที่มีผมรวมอยู่ด้วยคนหนึ่ง ก็ร่ำๆอยากจะโละเต็มแก่ และเจ้าสิ่งที่ว่าจะเป็นอะไร้ หากไม่ใช่ แฮ่ๆ ศรีภรรยา !
เมื่อเหล้าพร่องไปครึ่งขวด ผมก็ผิวปากเป็นเพลงมาร์ช ฟังดูหนักแน่น อีกทั้งยิ้มเยือกกับตนเอง กับการตัดสินใจอันแน่วแน่
วันนี้ ..ผมขอประกาศตัวเป็นไท รอให้เธอออกจากโรงพยาบาลเมื่อไหร่ ผมขอยื่นโนติส แยกทางกับเธอ
คุณเอ๋ย แค่คิดผมยังสุขเหลือล้ำ แล้วผมจึงตอกย้ำกับตัวเอง
ไม่ว่าฟ้าจะถล่ม ดินจะทลาย จะไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลงความตั่งใจของผมได้ ไม่มีวัน !
ช่วงที่เธอไม่อยู่ ชีวิตผม จึงไม่มีตาราง
ไม่ต้องทำอะไรที่เคืองขัดใจตัวเอง
อาหารเช้า ไม่ต้องกินตอนหกโมงตรง
และไม่ต้อง หิ้วท้อง กลับมากินข้าวเย็น ตอนห้าโมง
เสื้อผ้าจะยับยู่ก็ช่าง ถุงเท้า รองเท้า ไม่จำเป็นต้องเข้ากัน
เธอยังคงนอนแซ่ว อยู่ที่โรงพยาบาล ขณะที่ผมเพียรไปเยี่ยมเยียนเธอทุกวัน
ให้ตายเถิด .. จนแล้วจนรอด ผมไม่เข้าใจตัวเองเลยพับพ่า ที่ทำไปนั้น เพราะหน้าที่ หรือว่าสมัครใจ
ลูกชายคนโต กับลูกสะไภ้ อุ้มหลานมาเยี่ยมย่า
ลูกสาวคนกลาง กำนัลผู้เป็นแม่ ด้วยดอกกุหลาบช่อใหญ่
กระทั่งลูกสาวคนเล็ก ที่ดูเป็นไม้เบื่อไม้เมา ยังควงคู่รักที่แม่ไม่ชอบขี้หน้ามาจ๊ะจ๋า คู่รัก ของหล่อนเป็นลูกครึ่งไทย อเมริกัน และแม่ยอดขมองอิ่มของผม เธอชาตินิยมอย่างรุนแรง
เมียผม ยังคงพำนักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล นานกว่าที่ผมคาด
และพอเนิ่นนานเข้า บ้านช่องกลับดูเงียบเหงา จนผมอดใจหายไม่ได้
ด้วยไอ้อะไรก็ได้ อย่างไรก็ได้ของผม นานไปชักเริ่มเซ็ง
แต่ละคนล้วนมีหน้าที่ การงานอันรัดตัว ผมหมายถึงผมกับลูกสาวทั้งสอง
นับประสาอะไร กระทั่งอาหารแต่ละมื้อ ยังต้องฝากท้องไว้กับร้านข้าวแกงหน้าปากซอย
ผมยืนกอดอกมองดูสรรพสิ่งรายรอบ เบื้องหน้า ….
กระถางดอกไม้ ที่เธอรัก ครั้นผมเผลอไผลเอามือแตะไป ก็จอกับหยากใย่ และฝุ่นหนา
ผมยืนเกาะเตียงคนใข้ ด้วยความรู้สึกเต็มตื้น ตีบตันเหมือนมีก้อนอะไร มาจุกแน่นๆที่คอหอย
ผมเพิ่งถูกเรียกตัวไปพบแพทย์ประจำตัว ของหล่อน เพื่อจะรับรู้ว่า เธอเป็นโรคร้าย และกำลังจะตาย
ผมชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ๆ หล่อน ยื่นมือไปแตะหลังมืออันเย็นเยียบนั้น ไม่สามารถพูด หรือกล่าวอะไรออกมาได้สักวลี
ไม่รู้เหมือนกันว่า ไอ้ความคับแค้นแน่นใจ มันหายไปเสียที่ไหน
เพียรถามตัวเอง ไม่ดีใจดอกหรือ ที่แม้จะไม่ต้องเขี่ยเธอออกไปจากชีวิต เธอก็กำลังจะจากไปเอง
และแล้ว….ก็ถึงวันนั้น
ผมหมดปัญญาที่จะปลอบโยนลูกสาวทั้งสองที่เอาแต่สะอึกสะอื้นปริ่มว่าจะขาดใจ
ไม่อยากมองหน้าเจ้าลูกชายที่ตาทั้งสองข้างแดงกร่ำ ร่ำจะร้องให้
ผมพาตัวออกมายืนที่ระเบียง เพียรเอาหัวโขกเสา ปล่อยให้น้ำหูน้ำตาไหลออกมาอย่างสุดกลั้น
ก่อนที่เธอจะสิ้นใจ … ผมจำได้ไม่ลืม
เธอกวักมือเรียกผมไปหา ผมจึงเข้าไปยืนจนชิดติดเตียง ก้มหน้าลงเกือบติดหน้าเธอ เงี่ยหูฟังเสียงอันแหบแห้ง
เธอรวบรวมกำลังอันอ่อนล้า เพื่อจะพูด.. พูด…
และแล้ว....ก็ถึงวันนั้น
อนัตดา พุทธิกุล
ขึ้นชื่อว่าลูกผู้ชาย… ร้อยทั้งร้อยนั่นแหละ ที่มักจะภาคภูมิใจในชาติกำเหนิดของตน และสิ่งหนึ่งที่ยึดมั่นประจำใจชายทุกคน ก็คือเกียรตินั่นไง
คุณหลายคนอาจจะได้ยินได้ฟังผ่านหู มาบ้าง ผมได้ยินจิ๊กโก๋ปากซอยมันพูด เห็นว่าเข้าท่า มันว่า
“ลูกผู้ชายฆ่าได้ แต่อย่าหยาม “ ให้ตายซิ ผมชอบสำนวนนี้จัง หรือจะเป็นเพราะว่า ผมนั้น ก็ลูกผู้ชายคนหนึ่ง
แน่ละ ผมต้องยอมรับว่า ครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว ผมเคยภาคภูมิใจในความเป็นชายของผม ซะเหลือเกิน
ตอนนั้น.. ผมยังอยู่ในวัยแรกแย้ม สง่า และผยอง ไม่ว่าจะย่างก้าว เยื้องกรายไปแห่งหนใด จะมีอิตสัตรีมารุมล้อม คลั่งใคล้เหมือนจะเป็นจะตาย
แต่ก็อย่างที่เขาว่ากัน นั่นแหละ
อดีต ก็คือเหตุการณ์ที่ผ่านไป มักจะไม่หวลคืนมา จะทำได้ ก็แต่เพียงถวิล นึกถึงมัน
ผมอดใจหายมิได้ ทุกครั้งที่เห็นรูปลักษณ์ตัวเอง ในกระจก
ผม .. ที่โทรมทรุดทั้งร่างกาย และจิตใจ
ผม.. ที่ผม เริ่มหงอก หลังเริ่มงอ
ผม .. ผู้ตกเหมือนอยู่ในฝันร้าย ทั้งนี้ทั้งนั้น เป็นเพราะ ทั้งร่างกาย และจิตใจของผมได้ตกอยู่ใต้อำนาจมืด ที่แฝงมาในรูปของพลัง ที่เหนือกว่าพลังทั้งปวง
เจ้าสิ่งที่ว่า คลืบคลาน ไม่ผิดกับตัวทาก พอเจอที่หมายคือผม ก็เกาะหมับ ชนิดต่อให้ทั้งดึงและกระชากก็ไม่มีวันร่วงหลุด
และเจ้าสิ่ง สิ่งนี้ นี่แหละ ที่นับวันจะทำให้ เกียร์ติภูมิของผม รูดร่น ถดถอยลงทุกทีๆ
อย่าว่าแต่ต้องเพชิญหน้ากันเลย เพียงแค่นึกถึงผมยังสยอง จะเกิดอาการ รันทดท้อ ถึงขั้นหมดอาลัยตายอยาก
และผม เลยขอพูดอย่างไม่อาย ผมกำลังพ่ายแพ้ต่อมัน
และเจ้าสิ่งที่ว่านี้ จะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจาก เอิ๊ก….ม ม้า สระ เอีย ก็เมียนะซิคุณ จะอะไรเสียอีก
บ่อยครั้งเต็มทน ที่ผมมักจะหวนนึกถึงอดีต ที่ผลของมันสืบเนื่องมาถึงปัจจุบัน
คิดถึงความแส่ นึกชังความคะนอง ผลที่ได้คือทุกข์มหันต์
ผู้หญิงคนนี้นะเหรอ ที่ผมเลือกเอามาเป็นคู่ชีวิต มันช่างเป็นการตัดสินใจที่น่าบัดซบ อย่างไม่น่าให้อภัยตัวเอง
แต่คุณต้องเข้าใจนะว่า เธอวันนี้ กับเธอวันวาน ห่างไกลราวกับฟ้ากับดิน
เธอที่ผมพบในครั้งกระโน้น อาจพูดได้เต็มปากว่าเป็นเลิพ แอท เฟิร์ท ไซท์
คือทั้งที่ยังไม่รู้ชื่อแซ่ เพียงแค่สบตาก็นึกรักเสียแล้ว เพราะหน้าตาเธอออกจิ้มลิ้ม ผมดำสลวยยาวเคลียไหล่
ตางามคู่นั้นดำราวกับนิล และเมื่อเธอแย้มยิ้ม ผมไม่ลังเล จะเรียกหล่อน แม่สาวน้อย ผู้มีลักยิ้มพิมพ์ใจ
นอกจากรอยยิ้ม ก็คงจะเป็นเสียงนี่ละ เสียงของเธอนุ่มนวล เสนาะโสต ผมจึงขนานนามให้เธอ แม่คีรีบูนเสียงทอง แม่นกน้อย ผู้มีเสียงอันสดใส
“ฉันอยากรู้นัก ทำมั๊ยถึง ได้ตะบี้ตะบัน กินมันเข้าไป ไอ้เหล้ายาปลาปิ้งนี่ จะกินเข้าไปให้มันได้อะไรขึ้นมา ดูซิ สารรูปนะดูได้ที่ไหน ใกล้จะลงโลงอยู่รอมร่อ ยังไม่รู้สึกตัว จะบอกอะไรให้ไม๊ ถ้าคิดจะฆ่าตัวตายด้วยวิธีนี่ละก้อ กรุณาทำประกันไว้ให้ด้วยก็แล้วกัน อย่าลืม”
เสียงนั้นดังสนั่นหวั่นไหวได้ยินไปทั่วทั้งหัวตรอกท้ายตรอก
ส่วนผมก็นั่งอ้าปากหวอ ตัวลีบ เกือบลืมหายใจ เฝ้ามองเธอขยับขากรรไกรขึ้นลง รัวใส่ ผมราวกับห่ากระสูนปืนครก
ไม่มีอีกแล้วรอยยิ้มพิมพ์ใจ ที่ใช้เป็นกับดักล่อผมให้ตกหลุมพลาง อีกทั้งเสียงอันทุ้ม ฟังนุ่มหูก็มลายหายไป
ผมมองหล่อนอย่างจะค้นหาความจริง อะไรบางอย่าง กระทั่งโดนเธอตวาดเอา
“มองหน้าข้องใจเรอะ แน๊ะ ว่าแล้วยังไม่สลด เดี๋ยวแม่ตบตาเล็ด”
ผมจะทำอะไรได้ นอกจากจะมานั่งคร่ำครวญกับตัวเอง ว่าโอ้โอ๋เป็นกรรมเวรของลูกช้างแท้ๆ
จากนั้นจึงเฝ้าภาวนา นึกถึงคุณพระคุณเจ้า คุณบิดา มรรดาให้มาป้องปก
ป่วยการที่จะมานั่งโทษทัณฑ์ตัวเอง เรื่องของเรื่อง เพราะผมทำมาจนเบื่อ มันเอียนเสียแล้วละคุณ
“ กินเข้าไปเถอะหมู เนื้อ ใข่ ไม่นึกเลี่ยนบ้างหรืออย่างไร ทำไมนะ ผักหญ้าจึงไม่คิดจะกิน ไม่รู้หรือว่าวิตมินมันอยู่ในผักใบเขียว ผลไม้
เนื้อสัตว์ กินมากๆ เดี๋ยวไขมันเลยจุกอก คลอแลสเตอรอล เข้าไปอุดตันในเส้นเลือดทีนี่ก็ตายกันพอดี “
ผมนั่งฟังหล่อนจารนัยถึงหลักโภชนาการ คันปากยิกๆอยากจะโต้
ปุดโธ่เอ้ย สักแต่พูด ช่างไม่ได้ดูสารรูปของตัวเอง หุ่นตัวเองไม่ผิดกับช้าง หรือว่าแรด
ผมเองก็ได้แต่คิดอยู่ในใจ มิอาจตีฝีปาก เพราะรู้ดี ถึงผลลัพน์ ที่จะตามมา ถ้าผมทำเช่นนั้น
หลังจากโจมตีผมเสร็จสรรพ หล่อนเว้นวรรคนิดหนึ่งเพื่อหยุดหายใจ ก่อนจะไปพบกับจุดยุทธศาสตร์จุดใหม่ ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นยายชมพู่ลูกสาวคนเล็กของเรานั่นเอง
“อ้าว แม่ชมพู่ มัวแต่นั่งละเลียดอยู่นั่น เดี๋ยวเลยได้ไปทำงานสาย ขอสักทีเถอะน่า ไอ้นิสัยเชื่องช้า เฉื่อยชา
ที่แกรับมาจากพ่อแก เมื่อไหร่จะทิ้งมันไปสักที หัดทำอะไรให้มันกระตือรืนล้น แอ๊กทีฟตัวเองหน่อยซิยะ
โอ้ย อกจะแตก ทั้งลูกทั้งผัวไม่ได้ดังใจเราสักคน”
ผมสบตาลูกสาว แม้เราสองคนจะไม่พูดอะไรออกมา แต่ดวงตาเป็นหน้าต่างใจ ฉันท์ใด ….
ผมหันไปคว้ากระเป๋าเอกสาร หมุนตัวกลับ ขยับจะเดินหนี ภรรยาผม กลับฉวยข้อมือผมหมับ
“หยุดก่อน อย่าเพิ่งไป “ พูดพลางเข้าประชิดตัว จัดแจงใช้สองนิ้ว คีบเสื้อผม กระตุกถี่ๆ
ด้วยท่าทางอันเกรี้ยวกราด และเสียงอันดังแสบแก้วหู ทำเอาผมตัวสั่นงันงก ลมจะใส่เสียให้ได้
ฝ่ายลูกสาวผม ที่ตั่งท่าคอยอยู่ ได้ฉวยโอกาศทองที่ว่า วิ่งปรู๊ดออกไปโดยผู้เป็นแม่ไม่ทันเห็น
“อะไรกันนี่ สื้อผ้ายับขนาดนี้ยังมีหน้าใส่ไปทำงาน คุณไม่อายเพื่อนร่วมงานเขา หรืออย่างไร ลำพังคุณ
ฉันไม่สนใจ กลัวแต่คนอื่นจะค่อนถึงฉัน เป็นเมียประสาอะไร ถึงปล่อยปละละเลย ไม่เอาใจใส่ผัว ถอดเลย ถอดเดี๋ยวนี้ แล้วไปหาเอาใหม่ ในตู้เสื้อผ้า “
กว่าผมจะไปถึงที่ทำงานวันนั้น มีอันเลทไปร่วมครึ่งชั่วโมง เพราะมัวแต่เอาใจยาหยี สนองความหวังดีที่เธอหยิบยื่นให้ ด้วยการจับผมแต่งตัว จนเป็นที่พอใจของคุณเธอ แต่คนใส่กลายผมไปฉิบ
ผมเพียรพร่ำคร่ำครวญ บางครั้งตัวเอง และบางคราวกับคนสนิทที่รู้ใจ
เมื่อผมบ่นว่าเซ็ง และ ไม่มีความสุขในชีวิตคู่
เพื่อนๆมักจะประโลมปลอบด้วยการลูบหลังไหล่ พร้อมกับกระเซ้า แต่ผมไม่ยักขำไปด้วยจนนิดเดียว
“ทำไมความรู้สึกของนายจึงล้าช้านัก กว่าจะรู้ว่าตัวเองไม่มีความสุขก็ปล่อยให้เวลาผ่านล่วงไปตั่งยี่สิบกว่าปี
และเพื่อนคนเดียวกัน ยังทำให้ผม เฮิร์ทหนัก เมื่อเขากล่าวเยินยอไปถึงศรีภรรยาผม
“เมียนาย เท่าที่เห็น เขาก็ดีพร้อม การบ้านการเรือนไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง สมเป็นแม่ศรีเรือนโดยแท้”
ผมได้ยิน ก็พยักหน้าหงึกหงึกรับความจริงที่ว่า หากไม่วายคร่ำคราวญ
เธอดีเกินกว่าที่ผมคิด ผมไม่ได้ตั่งความหวังไว้สุง ขนาดนนั้น
คนที่ไม่ได้ตกอยู่ในที่นั่งเดียวกับผมก็พูดได้ซิว่า อะไรกัน กะอีแค่เมียคนเดียวยังเอาไม่อยู่
ผมได้ยินก็ท้วงทันควัน
เมียคนเดียวนะเมียใคร เมียผมเหมือนเมียชาวบ้านซะที่ไหน
แล้วยังมีอยู่หรอก บรรดาผู้คนที่รู้จักมักคุ้น ที่ยื่นข้อแนะนำให้ผม อย่างน่าฟัง
ไอ้คนรุ่นเรา อยู่ได้อย่างเก่ง จะถึงยี่สิบปีหรือเปล่า
เหวอ ! ผมได้ยินก็ร้องเสียงหลง
ยี่สิบปีกับเมียผมนะเหรอ ตายแล้วผมจะทำอย่างไร
และเขาคนนั้นยังคงสาธยายต่อไปอย่างผู้รอบรู้
ตอนนี้มีชีวิตอยู่ ให้ผมรีบๆตักตวงหาความสุข เสียก่อนที่เรียวแรงจะถดถอย
ก่อนจะสรุปลงในตอนท้าย ด้วยการชวนผมเข้าคลับ เที่ยวบาร์ อาษาพาผมเข้า อาบอบนวด
ดูเขาออกจะหัวเสียอยู่หรอก เมื่อผมปฏิเสธไมตรีที่เขาหยิบยื่นมา
เรื่องของเรื่อง เป็นเพราะว่า กิจกรรมดังกล่าวผมไม่เคยทำ
ชีวิตประจำวันของผม ถูกศรีภรรยา จัดตารางให้หมด
อาหารการกิน ตลอดจนเสื้อผ้าแพรพรรณ
จนบางครั้งผมอดคิดไม่ได้ว่า เออหนอ ถ้าเผื่อขาดเธอไปสักคน ผมมิกลายเป็นคน ทุพพลภาพไปหรือนี่
ว้า ! ไอ้ผมนี่ก็บ้าจริงๆ ก็ผมเองมิใช่เหรอ ที่วันๆขอให้มีเวลาว่าง เป็นต้องคิดหาช่องทางเขี่ยเธอออกไปจากชีวิต
กินเหล้า ไม่ดีผมก็รู้อยู่
ใช่ว่ากินแล้วจะช้วยแก้ปัญหาหรือก็เปล่า
แต่ทั้งๆที่ซาบซึ้ง ผมก็ยังคงกินมันเข้าไป กินเพราะว่าความคับแค้นมันกำหนด กินเพราะอยากลืมความคับอกที่สุมแน่น
เพราะทุกครั้งที่ผมเมา ผมจะลืมมันไปได้ แม้จะเป็นชั่วระยะเวลาสั้นๆ ช่วงที่มันออกฤทธ์ ผมก็ยังพอใจอยู่ดี
วันนี้ผมคลื้มใจเป็นพิเศษ ครื้มขนาดฮัมเพลงเบาๆ ขณะละเลียดน้ำสีเหลืองในแก้วบาง
เกิดความเป็นอิสระเสรีราววิหค ทั้งนั้นเป็นเพราะ แม่ยอดขมองอิ่มของผมมีอันต้องระเห็จไปนอนพังพาบหยอดน้ำเกลือ ที่โรงพยาบาล ด้วยโรคที่กำลังอยู่ระหว่างวินิจฉัย อย่างไม่มีกำหนด
ผมส่งเสียงร้องจู้ฮุกกรูๆอย่างเบิกบานใจ บ้านทั้งบ้านเงียบสงบ ไม่มีเสียงบ่นว่า ด่าทอ
ผมนอนเอกเขนก อยู่บนเก้าอี้โยกตัวโปรด จิบเหล้าไปพลาง คิดอะไรเรื่อยเปื่อย
ใครหนอช่างเปรียบเปรย ของเก่าทำให้เรานึกถึงอดีตอันดีงาม
นักเล่นของเก่า แสนจะทะนุถนอม และรักใคร่ของที่เขาสะสม
ไม่เช่นนั้น ร้านขายของเก่า คงไม่ผุดราวกับดอกเห็ด อย่างที่เห็น
ผมเผลอตัวหัวเราะออกมาเสียงดัง เมื่อนึกถึงสิ่งๆหนึ่ง ที่พอเก่าแก่ เจ้าของ ที่มีผมรวมอยู่ด้วยคนหนึ่ง ก็ร่ำๆอยากจะโละเต็มแก่ และเจ้าสิ่งที่ว่าจะเป็นอะไร้ หากไม่ใช่ แฮ่ๆ ศรีภรรยา !
เมื่อเหล้าพร่องไปครึ่งขวด ผมก็ผิวปากเป็นเพลงมาร์ช ฟังดูหนักแน่น อีกทั้งยิ้มเยือกกับตนเอง กับการตัดสินใจอันแน่วแน่
วันนี้ ..ผมขอประกาศตัวเป็นไท รอให้เธอออกจากโรงพยาบาลเมื่อไหร่ ผมขอยื่นโนติส แยกทางกับเธอ
คุณเอ๋ย แค่คิดผมยังสุขเหลือล้ำ แล้วผมจึงตอกย้ำกับตัวเอง
ไม่ว่าฟ้าจะถล่ม ดินจะทลาย จะไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลงความตั่งใจของผมได้ ไม่มีวัน !
ช่วงที่เธอไม่อยู่ ชีวิตผม จึงไม่มีตาราง
ไม่ต้องทำอะไรที่เคืองขัดใจตัวเอง
อาหารเช้า ไม่ต้องกินตอนหกโมงตรง
และไม่ต้อง หิ้วท้อง กลับมากินข้าวเย็น ตอนห้าโมง
เสื้อผ้าจะยับยู่ก็ช่าง ถุงเท้า รองเท้า ไม่จำเป็นต้องเข้ากัน
เธอยังคงนอนแซ่ว อยู่ที่โรงพยาบาล ขณะที่ผมเพียรไปเยี่ยมเยียนเธอทุกวัน
ให้ตายเถิด .. จนแล้วจนรอด ผมไม่เข้าใจตัวเองเลยพับพ่า ที่ทำไปนั้น เพราะหน้าที่ หรือว่าสมัครใจ
ลูกชายคนโต กับลูกสะไภ้ อุ้มหลานมาเยี่ยมย่า
ลูกสาวคนกลาง กำนัลผู้เป็นแม่ ด้วยดอกกุหลาบช่อใหญ่
กระทั่งลูกสาวคนเล็ก ที่ดูเป็นไม้เบื่อไม้เมา ยังควงคู่รักที่แม่ไม่ชอบขี้หน้ามาจ๊ะจ๋า คู่รัก ของหล่อนเป็นลูกครึ่งไทย อเมริกัน และแม่ยอดขมองอิ่มของผม เธอชาตินิยมอย่างรุนแรง
เมียผม ยังคงพำนักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล นานกว่าที่ผมคาด
และพอเนิ่นนานเข้า บ้านช่องกลับดูเงียบเหงา จนผมอดใจหายไม่ได้
ด้วยไอ้อะไรก็ได้ อย่างไรก็ได้ของผม นานไปชักเริ่มเซ็ง
แต่ละคนล้วนมีหน้าที่ การงานอันรัดตัว ผมหมายถึงผมกับลูกสาวทั้งสอง
นับประสาอะไร กระทั่งอาหารแต่ละมื้อ ยังต้องฝากท้องไว้กับร้านข้าวแกงหน้าปากซอย
ผมยืนกอดอกมองดูสรรพสิ่งรายรอบ เบื้องหน้า ….
กระถางดอกไม้ ที่เธอรัก ครั้นผมเผลอไผลเอามือแตะไป ก็จอกับหยากใย่ และฝุ่นหนา
ผมยืนเกาะเตียงคนใข้ ด้วยความรู้สึกเต็มตื้น ตีบตันเหมือนมีก้อนอะไร มาจุกแน่นๆที่คอหอย
ผมเพิ่งถูกเรียกตัวไปพบแพทย์ประจำตัว ของหล่อน เพื่อจะรับรู้ว่า เธอเป็นโรคร้าย และกำลังจะตาย
ผมชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ๆ หล่อน ยื่นมือไปแตะหลังมืออันเย็นเยียบนั้น ไม่สามารถพูด หรือกล่าวอะไรออกมาได้สักวลี
ไม่รู้เหมือนกันว่า ไอ้ความคับแค้นแน่นใจ มันหายไปเสียที่ไหน
เพียรถามตัวเอง ไม่ดีใจดอกหรือ ที่แม้จะไม่ต้องเขี่ยเธอออกไปจากชีวิต เธอก็กำลังจะจากไปเอง
และแล้ว….ก็ถึงวันนั้น
ผมหมดปัญญาที่จะปลอบโยนลูกสาวทั้งสองที่เอาแต่สะอึกสะอื้นปริ่มว่าจะขาดใจ
ไม่อยากมองหน้าเจ้าลูกชายที่ตาทั้งสองข้างแดงกร่ำ ร่ำจะร้องให้
ผมพาตัวออกมายืนที่ระเบียง เพียรเอาหัวโขกเสา ปล่อยให้น้ำหูน้ำตาไหลออกมาอย่างสุดกลั้น
ก่อนที่เธอจะสิ้นใจ … ผมจำได้ไม่ลืม
เธอกวักมือเรียกผมไปหา ผมจึงเข้าไปยืนจนชิดติดเตียง ก้มหน้าลงเกือบติดหน้าเธอ เงี่ยหูฟังเสียงอันแหบแห้ง
เธอรวบรวมกำลังอันอ่อนล้า เพื่อจะพูด.. พูด…