"หม่อมอุ๋ย" จวก "ประชานิยม" รัฐบาลปู เป็นวิธีมักง่าย ขาดความละอายต่อบาป สร้างความเสียหายต่องบประมาณแผ่นดิน ดันหนี้สาธารณะพุ่ง ชี้หากเดินหน้าจำนำข้าวต่อ คาดสิ้นก.ย.62 ขยับเพิ่มเป็น 63.7% ของจีดีพี
...
เมื่อวันที่ 23 ม.ค.2556 ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และอดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในการสัมมนาหัวข้อ "โจทย์ท้าทาย อนาคตเศรษฐกิจไทย" ว่า โจทย์ท้าทายอนาคตเศรษฐกิจไทย มีอยู่ 2 ด้าน คือ ด้านหนทางเศรษฐกิจจะเจริญเติบโตต่อไปได้อย่างไร และด้านการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจให้เจริญเติบโตอย่างมั่นคง โดยต้องกลับไปมองให้ประเทศมีแรงส่งอื่นๆ ที่จะเข้ามาทดแทนการส่งออก โดยต้องขยายฐานภาคผลิตสินค้าที่เราเป็นผู้ค้าสำคัญของโลก เพื่อผลิตสินค้าป้อน Trade Network ที่มีอยู่
ทั้งนี้ รัฐบาลต้องเข้ามาส่งเสริมอย่างจริงจัง และจะต้องขยายการค้าในกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เนื่องจากสินค้าที่ไทยมีความได้เปรียบในการแข่งขัน และต้องทำให้เป็นแหล่งเสรีทางการค้า เพื่อดึงดูดนักลงทุนและนักท่องเที่ยว รวมทั้งขยายการค้ากับประเทศรอบด้าน โดยอาศัยความได้เปรียบทางทางภูมิศาสตร์ เช่น ขยายเส้นทางรถยนต์ รถไฟ เส้นทางน้ำ ภายในประเทศที่สะดวกรวดเร็ว ปรับกฎระเบียบการค้าให้คล่องตัวที่สุด มีเงื่อนไขน้อยที่สุด ส่งเสริมการขยายฐานการผลิตออกไปยังประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านให้ได้ผลจริงจัง
พร้อมระบุว่า การบริหารงานของรัฐบาลชุดนี้ไม่ดูแลรักษาเรื่องวินัยการเงินการคลังให้ดีเท่าที่ควร รวมทั้งมีการหาเสียงโดยใช้นโยบายประชานิยมทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น เช่น นโยบายรถยนต์คันแรก นโยบายจำนำข้าว เป็นการหาคะแนนนิยมด้วยวิธีการที่มักง่าย ขาดความละอายต่อบาป เรียกได้ว่าขาด หิริโอตัปปะ ซึ่งเป็นการสร้างความเสียหายต่องบประมาณของแผ่นดิน โดยผลเสียจะไปตกกับรัฐบาลที่จะเข้ามาบริหารงานต่อจากรัฐบาลนี้ และคงเป็นเรื่องยากที่จะหาแนวทางป้องกันไม่ให้มีการนำงบประมาณไปใช้ในการสร้างคะแนนนิยมให้กับตัวเอง
สำหรับยอดหนี้สาธารณะก่อนขาดทุนรับจำนำข้าวอยู่ที่ 8.6 ล้านล้านบาท โดยคาดว่าหากดำเนินโครงการรับจำนำข้าวต่อไป หนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนก.ย. ปี 2562 จะอยู่ที่ 10.3 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 63.7% ของจีดีพี
โดย: ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์
23 มกราคม 2556, 15:07 น.
'หม่อมอุ๋ย' อัด' ประชานิยม' รัฐบาลปูมักง่ายขาด 'หิริโอตัปปะ'
เมื่อวันที่ 23 ม.ค.2556 ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และอดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในการสัมมนาหัวข้อ "โจทย์ท้าทาย อนาคตเศรษฐกิจไทย" ว่า โจทย์ท้าทายอนาคตเศรษฐกิจไทย มีอยู่ 2 ด้าน คือ ด้านหนทางเศรษฐกิจจะเจริญเติบโตต่อไปได้อย่างไร และด้านการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจให้เจริญเติบโตอย่างมั่นคง โดยต้องกลับไปมองให้ประเทศมีแรงส่งอื่นๆ ที่จะเข้ามาทดแทนการส่งออก โดยต้องขยายฐานภาคผลิตสินค้าที่เราเป็นผู้ค้าสำคัญของโลก เพื่อผลิตสินค้าป้อน Trade Network ที่มีอยู่
ทั้งนี้ รัฐบาลต้องเข้ามาส่งเสริมอย่างจริงจัง และจะต้องขยายการค้าในกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เนื่องจากสินค้าที่ไทยมีความได้เปรียบในการแข่งขัน และต้องทำให้เป็นแหล่งเสรีทางการค้า เพื่อดึงดูดนักลงทุนและนักท่องเที่ยว รวมทั้งขยายการค้ากับประเทศรอบด้าน โดยอาศัยความได้เปรียบทางทางภูมิศาสตร์ เช่น ขยายเส้นทางรถยนต์ รถไฟ เส้นทางน้ำ ภายในประเทศที่สะดวกรวดเร็ว ปรับกฎระเบียบการค้าให้คล่องตัวที่สุด มีเงื่อนไขน้อยที่สุด ส่งเสริมการขยายฐานการผลิตออกไปยังประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านให้ได้ผลจริงจัง
พร้อมระบุว่า การบริหารงานของรัฐบาลชุดนี้ไม่ดูแลรักษาเรื่องวินัยการเงินการคลังให้ดีเท่าที่ควร รวมทั้งมีการหาเสียงโดยใช้นโยบายประชานิยมทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น เช่น นโยบายรถยนต์คันแรก นโยบายจำนำข้าว เป็นการหาคะแนนนิยมด้วยวิธีการที่มักง่าย ขาดความละอายต่อบาป เรียกได้ว่าขาด หิริโอตัปปะ ซึ่งเป็นการสร้างความเสียหายต่องบประมาณของแผ่นดิน โดยผลเสียจะไปตกกับรัฐบาลที่จะเข้ามาบริหารงานต่อจากรัฐบาลนี้ และคงเป็นเรื่องยากที่จะหาแนวทางป้องกันไม่ให้มีการนำงบประมาณไปใช้ในการสร้างคะแนนนิยมให้กับตัวเอง
สำหรับยอดหนี้สาธารณะก่อนขาดทุนรับจำนำข้าวอยู่ที่ 8.6 ล้านล้านบาท โดยคาดว่าหากดำเนินโครงการรับจำนำข้าวต่อไป หนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนก.ย. ปี 2562 จะอยู่ที่ 10.3 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 63.7% ของจีดีพี
โดย: ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์
23 มกราคม 2556, 15:07 น.