---รัฐลอยตัว “รถคันแรก” ผู้ซื้อเตรียมตัว “ถูกยึด-จ่ายเพิ่ม” ลูกค้าเต็นท์มือ 2 รอคิวซื้อของถูก---
นักเศรษฐศาสตร์-นักธุรกิจค้ารถยนต์มือ 2 ชี้นโยบายรถคันแรก เตรียมพ่นพิษหลังเผชิญปัญหาปากท้อง ค่าใช้จ่ายบานปลาย แถมเบี้ยประกันภัย-ค่าทางด่วนปรับราคาขึ้น ปล่อยผู้ซื้อต้องแบกรับชะตากรรม ผ่อนไม่ไหวให้ไฟแนนซ์ยึด หากขายทอดตลาดได้ต่ำกว่ามูลหนี้ ผู้ซื้อต้องถูกไล่บี้อีกรอบ ส่วนเต็นท์รถ BB ย่านตลิ่งชัน ระบุปลายปีนี้รถยนต์คันแรกทยอยออกมาขายแน่ ยอมรับมีลูกค้ารอคิวอื้อ ด้านรัฐบาลรับเต็มๆ ทั้งคะแนนเสียง ดึงความเชื่อมั่นค่ายรถหลังเหลวเรื่องน้ำท่วมเมื่อปี 54 เผยรัฐใช้ 9 หมื่นล้านล่อ-แต่สร้างรายได้เข้ารัฐมากกว่าแสนล้าน
... จบไปแล้วสำหรับโครงการรถคันแรกของรัฐบาลที่เริ่มตั้งแต่ 16 กันยายน 2554 ถึง 31 ธันวาคม 2555 ด้วยวัตถุประสงค์ “เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนที่ไม่เคยมีรถยนต์เป็นของตัวเองได้มีโอกาสซื้อรถยนต์ใหม่คันแรก ที่เป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่สะดวกสบายขึ้น ในภาคอุตสาหกรรมจะส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมชิ้นส่วนให้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงภาคธุรกิจประกันภัย และธุรกิจไฟแนนซ์ ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย และเกิดการจ้างงานสร้างรายได้แก่ประชาชน และภาคธุรกิจเป็นจำนวนมาก ในขณะเดียวกัน ก็จะส่งผลให้ฐานะการคลังของประเทศมีความมั่นคงยิ่งขึ้น”
โครงการรถคันแรกเปิดโอกาสให้ผู้ที่ยังไม่เคยซื้อรถยนต์มาก่อนเข้าร่วมโครงการ โดยให้สิทธิประโยชน์ในการคืนเงินภาษีสรรพสามิตให้ไม่เกินรายละ 1 แสนบาท ด้วยข้อกำหนดราคารถไม่เกิน 1 ล้านบาท และขนาดของเครื่องยนต์ไม่เกิน 1500 ซีซีสำหรับรถเก๋ง และให้สิทธิกับรถกระบะและรถยนต์นั่งมีกระบะ (ดับเบิลแค็บ)
เดิมทีโครงการนี้ตั้งเป้าว่าจะมีผู้เข้าร่วมโครงการนี้ 5 แสนราย เตรียมเงินคืนภาษีให้ผู้ซื้อรถตามโครงการ 3 หมื่นล้านบาท แต่มีผู้ใช้สิทธิสูงเกินกว่าเป้าหมายมาก โดยกรมสรรพสามิตระบุว่ามีผู้มาขอใช้สิทธิ 1.25 ล้านราย คิดเป็นเงินภาษีที่ต้องคืนให้กับประชาชนราว 9 หมื่นล้านบาท โดยแยกเป็นรถยนต์นั่ง 7.39 แสนคัน รถกระบะ 2.58 แสนคัน รถยนต์นั่งที่มีกระบะ หรือดับเบิลแค็บ 2.57 แสนคัน
แม้โครงการดังกล่าวจะถูกวิพากษ์วิจารณ์จากนักวิชาการอย่างมาก เนื่องจากมองว่าไม่เกิดประโยชน์กับประเทศ สวนทางกับแนวทางการประหยัดพลังงานและเพิ่มปัญหารถติด เพราะถึงอย่างไรแม้ไม่มีโครงการนี้ออกมาประชาชนจำนวนไม่น้อยก็พร้อมจะซื้อรถยนต์อยู่ดี แต่รัฐบาลไม่ได้ให้ความสำคัญกับเสียงท้วงติงเหล่านั้น เดินหน้าโครงการนี้มาจนเสร็จสิ้นโครงการ
http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9560000005307ดูเพิ่มเติม
รัฐลอยตัว “รถคันแรก” ผู้ซื้อเตรียมตัว “ถูกยึด-จ่ายเพิ่ม” ลูกค้าเต็นท์มือ 2 รอคิวซื้อของถูก
---รัฐลอยตัว “รถคันแรก” ผู้ซื้อเตรียมตัว “ถูกยึด-จ่ายเพิ่ม” ลูกค้าเต็นท์มือ 2 รอคิวซื้อของถูก---
นักเศรษฐศาสตร์-นักธุรกิจค้ารถยนต์มือ 2 ชี้นโยบายรถคันแรก เตรียมพ่นพิษหลังเผชิญปัญหาปากท้อง ค่าใช้จ่ายบานปลาย แถมเบี้ยประกันภัย-ค่าทางด่วนปรับราคาขึ้น ปล่อยผู้ซื้อต้องแบกรับชะตากรรม ผ่อนไม่ไหวให้ไฟแนนซ์ยึด หากขายทอดตลาดได้ต่ำกว่ามูลหนี้ ผู้ซื้อต้องถูกไล่บี้อีกรอบ ส่วนเต็นท์รถ BB ย่านตลิ่งชัน ระบุปลายปีนี้รถยนต์คันแรกทยอยออกมาขายแน่ ยอมรับมีลูกค้ารอคิวอื้อ ด้านรัฐบาลรับเต็มๆ ทั้งคะแนนเสียง ดึงความเชื่อมั่นค่ายรถหลังเหลวเรื่องน้ำท่วมเมื่อปี 54 เผยรัฐใช้ 9 หมื่นล้านล่อ-แต่สร้างรายได้เข้ารัฐมากกว่าแสนล้าน
... จบไปแล้วสำหรับโครงการรถคันแรกของรัฐบาลที่เริ่มตั้งแต่ 16 กันยายน 2554 ถึง 31 ธันวาคม 2555 ด้วยวัตถุประสงค์ “เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนที่ไม่เคยมีรถยนต์เป็นของตัวเองได้มีโอกาสซื้อรถยนต์ใหม่คันแรก ที่เป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่สะดวกสบายขึ้น ในภาคอุตสาหกรรมจะส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมชิ้นส่วนให้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงภาคธุรกิจประกันภัย และธุรกิจไฟแนนซ์ ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย และเกิดการจ้างงานสร้างรายได้แก่ประชาชน และภาคธุรกิจเป็นจำนวนมาก ในขณะเดียวกัน ก็จะส่งผลให้ฐานะการคลังของประเทศมีความมั่นคงยิ่งขึ้น”
โครงการรถคันแรกเปิดโอกาสให้ผู้ที่ยังไม่เคยซื้อรถยนต์มาก่อนเข้าร่วมโครงการ โดยให้สิทธิประโยชน์ในการคืนเงินภาษีสรรพสามิตให้ไม่เกินรายละ 1 แสนบาท ด้วยข้อกำหนดราคารถไม่เกิน 1 ล้านบาท และขนาดของเครื่องยนต์ไม่เกิน 1500 ซีซีสำหรับรถเก๋ง และให้สิทธิกับรถกระบะและรถยนต์นั่งมีกระบะ (ดับเบิลแค็บ)
เดิมทีโครงการนี้ตั้งเป้าว่าจะมีผู้เข้าร่วมโครงการนี้ 5 แสนราย เตรียมเงินคืนภาษีให้ผู้ซื้อรถตามโครงการ 3 หมื่นล้านบาท แต่มีผู้ใช้สิทธิสูงเกินกว่าเป้าหมายมาก โดยกรมสรรพสามิตระบุว่ามีผู้มาขอใช้สิทธิ 1.25 ล้านราย คิดเป็นเงินภาษีที่ต้องคืนให้กับประชาชนราว 9 หมื่นล้านบาท โดยแยกเป็นรถยนต์นั่ง 7.39 แสนคัน รถกระบะ 2.58 แสนคัน รถยนต์นั่งที่มีกระบะ หรือดับเบิลแค็บ 2.57 แสนคัน
แม้โครงการดังกล่าวจะถูกวิพากษ์วิจารณ์จากนักวิชาการอย่างมาก เนื่องจากมองว่าไม่เกิดประโยชน์กับประเทศ สวนทางกับแนวทางการประหยัดพลังงานและเพิ่มปัญหารถติด เพราะถึงอย่างไรแม้ไม่มีโครงการนี้ออกมาประชาชนจำนวนไม่น้อยก็พร้อมจะซื้อรถยนต์อยู่ดี แต่รัฐบาลไม่ได้ให้ความสำคัญกับเสียงท้วงติงเหล่านั้น เดินหน้าโครงการนี้มาจนเสร็จสิ้นโครงการ
http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9560000005307ดูเพิ่มเติม