พรรคประชาธิปัตย์ คงยิ้มกริ่ม เมื่อไม่มีใครแย่งซีนการ”ใส่ร้าย” เพราะ “พงศพัศ” ประกาศลั่นว่าจะไม่หาเสียงแบบใส่ร้ายใคร ..แบบนี้เข้าทาง
ฉะนั้น “สิทธิการใส่ร้ายทั้งปวง” จึงตกไปเป็นของพรรคประชาธิปัตย์โดยปริยาย และเป็นเจ้าของสิทธิแห่งการใส่ร้ายแต่เพียงผู้เดียว “โดยชอบธรรม” ใครจะละเมิดมิได้..อาจถูกฟ้องร้องต่อศาล
นับแต่นี้ไป ประชาธิปัตย์ จึงมีอำนาจเต็ม ที่จะถือสิทธิ์แห่งการใส่ร้าย “พงศพัศ”ข้างเดียว โดย “พงศพัศ”ไม่สามารถใส่ร้ายเอาคืนได้ เพราะประกาศสละสิทธิ์มาแต่ต้น โดยมีคลิปยืนยันเจตนาชัดเจน นี่ว่ากันตามหลักกฎหมาย ..เมืองสารขัณฑ์ !
อีกประการหนึ่ง การใส่ร้าย นับเป็นศิลปะชั้นสูง ซึ่งไม่มีในคนทั่วๆไป เป็นพรสวรรค์ที่ฟ้าประทานให้มาแต่กำเนิด เฉพาะกับคนใดคนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีโรงเรียน หรือสถาบันใดๆเปิดสอนการใส่ร้าย..นอกจากพรรคการเมืองที่เป็นสถาบัน
บุคคลที่จะใส่ร้ายผู้อื่นได้ จักต้องเป็นคนชอบโกหกเป็นนิจ หน้าด้านเป็นทุน พูดอะไรไม่อายปาก พูดขาวให้เป็นดำ พูดดำให้เป็นขาว แม้ถูกจับได้ว่าใส่ร้ายก็ไม่อายใคร เพราะหน้าด้านอยู่แล้ว จะหาเรื่องอื่นมาใส่ร้ายอีก..นี่คือคุณสมบัติ
และถ้าพูดกันอย่างเป็นธรรม “พงศพัศ”เอง ก็ไม่มีคุณสมบัติใดๆที่กล่าวมาแล้วสักข้อเดียว อันส่อแววได้ว่าเป็น “นักใส่ร้าย” ได้ เพราะมีลักษณะพูดจาที่สุภาพ อ่อนน้อม ถ่อมตัว หน้าตายิ้มแย้ม ไม่หลุกหลิก และก็ดูไม่เจ็บๆเหมือนอ้ายปลาบู่ ..ขาดพื้นฐานโดยสิ้นเชิง
ทั้งนี้ เพื่อประกาศให้โลกรู้ ประชาธิปัตย์ จึงเริ่มใช้สิทธิ์แห่งการใส่ร้ายโดยชอบธรรม โดยใส่ร้ายว่า “พงศพัศ ขโมยของตอนไปเรียนอยู่ในอเมริกา” และยื่นให้ กกต.ตรวจสอบคุณสมบัติ..เพื่อให้ขาดสิทธิ์การสมัครผู้ว่าฯ
นี่ ถือว่าเป็นการใช้ “สิทธิ์ใส่ร้าย”ในเบื้องต้นเท่านั้น และเข้าใจว่าตลอดการหาเสียงชิงผู้ว่าฯกทม. ประชาธิปัตย์ คงจะใช้สิทธิ์อย่างเต็มที่ เพื่อใส่ร้าย “พงศพัศ”แต่เพียงข้างเดียว..งานถนัดเขาละ !!!
...เมื่อพงศพัศ “สละสิทธิ์การใส่ร้าย” ประชาธิปัตย์จึงได้สิทธิ์นั้น เดี๋ยวนี้ !...
พรรคประชาธิปัตย์ คงยิ้มกริ่ม เมื่อไม่มีใครแย่งซีนการ”ใส่ร้าย” เพราะ “พงศพัศ” ประกาศลั่นว่าจะไม่หาเสียงแบบใส่ร้ายใคร ..แบบนี้เข้าทาง
ฉะนั้น “สิทธิการใส่ร้ายทั้งปวง” จึงตกไปเป็นของพรรคประชาธิปัตย์โดยปริยาย และเป็นเจ้าของสิทธิแห่งการใส่ร้ายแต่เพียงผู้เดียว “โดยชอบธรรม” ใครจะละเมิดมิได้..อาจถูกฟ้องร้องต่อศาล
นับแต่นี้ไป ประชาธิปัตย์ จึงมีอำนาจเต็ม ที่จะถือสิทธิ์แห่งการใส่ร้าย “พงศพัศ”ข้างเดียว โดย “พงศพัศ”ไม่สามารถใส่ร้ายเอาคืนได้ เพราะประกาศสละสิทธิ์มาแต่ต้น โดยมีคลิปยืนยันเจตนาชัดเจน นี่ว่ากันตามหลักกฎหมาย ..เมืองสารขัณฑ์ !
อีกประการหนึ่ง การใส่ร้าย นับเป็นศิลปะชั้นสูง ซึ่งไม่มีในคนทั่วๆไป เป็นพรสวรรค์ที่ฟ้าประทานให้มาแต่กำเนิด เฉพาะกับคนใดคนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีโรงเรียน หรือสถาบันใดๆเปิดสอนการใส่ร้าย..นอกจากพรรคการเมืองที่เป็นสถาบัน
บุคคลที่จะใส่ร้ายผู้อื่นได้ จักต้องเป็นคนชอบโกหกเป็นนิจ หน้าด้านเป็นทุน พูดอะไรไม่อายปาก พูดขาวให้เป็นดำ พูดดำให้เป็นขาว แม้ถูกจับได้ว่าใส่ร้ายก็ไม่อายใคร เพราะหน้าด้านอยู่แล้ว จะหาเรื่องอื่นมาใส่ร้ายอีก..นี่คือคุณสมบัติ
และถ้าพูดกันอย่างเป็นธรรม “พงศพัศ”เอง ก็ไม่มีคุณสมบัติใดๆที่กล่าวมาแล้วสักข้อเดียว อันส่อแววได้ว่าเป็น “นักใส่ร้าย” ได้ เพราะมีลักษณะพูดจาที่สุภาพ อ่อนน้อม ถ่อมตัว หน้าตายิ้มแย้ม ไม่หลุกหลิก และก็ดูไม่เจ็บๆเหมือนอ้ายปลาบู่ ..ขาดพื้นฐานโดยสิ้นเชิง
ทั้งนี้ เพื่อประกาศให้โลกรู้ ประชาธิปัตย์ จึงเริ่มใช้สิทธิ์แห่งการใส่ร้ายโดยชอบธรรม โดยใส่ร้ายว่า “พงศพัศ ขโมยของตอนไปเรียนอยู่ในอเมริกา” และยื่นให้ กกต.ตรวจสอบคุณสมบัติ..เพื่อให้ขาดสิทธิ์การสมัครผู้ว่าฯ
นี่ ถือว่าเป็นการใช้ “สิทธิ์ใส่ร้าย”ในเบื้องต้นเท่านั้น และเข้าใจว่าตลอดการหาเสียงชิงผู้ว่าฯกทม. ประชาธิปัตย์ คงจะใช้สิทธิ์อย่างเต็มที่ เพื่อใส่ร้าย “พงศพัศ”แต่เพียงข้างเดียว..งานถนัดเขาละ !!!