จอมใจเจ้าป่า ตอนที่ 1 part 2 ค่ะ (จบตอน)
ตอนที่ 1 part 1
http://ppantip.com/topic/30041844/
บ้านไม้ชั้นเดียวหลังเล็กบริเวณโดยรอบแวดล้อมด้วยไม้ผลยืนต้นหลากชนิดทั้งให้ผลเก็บกินได้และให้ร่มเงา อีกทั้งผู้อยู่อาศัยเป็นสองตายายวัยชราที่ดูจะไม่เร่งร้อนกับการใช้ชีวิตจึงดูร่มรื่นทั้งบรรยากาศและให้ความรู้สึกสงบเย็นใจ
“ปู่จ๋า ปู่ ตา ลีน่ามาแล้ว ยายจ๋า อยู่หรือเปล่า ยู้ฮู” เด็กสาวร้องหาเสียงดังลั่นมาก่อนตั้งแต่ยังไม่เห็นตัว ร้องเรียกผู้เฒ่าสับสนปนเปทั้งปู่ ตา ยาย ตามด้วยเสียงตวาดบริวารตัวเล็กที่วิ่งห้อมล้อมอยู่ไม่ห่าง
“ตาศักดิ์ ใครมา ใช่คุณหนูหรือเปล่า” คู่ชีวิตร้องถามละมือจากงานที่ทำอยู่ ชะเง้อมองหามาจากในครัวก่อนจะลับกายเข้าไปรีบล้างไม้ล้างมืออย่างตื่นเต้น
“เสียงแจ๋วแบบนี้จะมีใคร คุณหนูแหม่มน่ะสิ” ชายชราเองก็ยินดีไม่แพ้กัน รีบวางกรรไกรตัดกิ่งไม้ในมือ เช็ดมือลวกๆกับผ้าขาวม้าก่อนจะเดินเร็วๆออกไปตามเสียงเรียกหา
“เอ๊ะ แกนี่มันลูกใคร หน้าตาแบบนี้แม่แกต้องเป็นนังชะเอมแน่ๆแต่พ่อนี่สิใครที่ไหน เป็นลูกใคร บอกมา” เด็กสาวนั่งยองๆกับลานหน้าบ้านที่เป็นพื้นดินอัดแน่น ชูเจ้าตัวเล็กที่ดิ้นกระแด่วในมือขึ้นสูงทั้งยังทำหน้าทำตาแยกเขี้ยวราวกับจะพูดคุยกับลูกสุนัขในมือรู้เรื่อง
“โฮ้ย ลูกไอ้ดำหมาที่โรงครัวเรือนใหญ่น่ะสิคุณหนู จับไปทำหมันไม่ทัน เจออีกทีออกมาหกตัวยั้วเยี้ยไปหมด”
“ลีน่านับได้สี่” เจ้าตัวชี้นิ้วนับจำนวนเจ้าตัวเล็กที่วิ่งวนรอบตัวเสียงเห่าแหลมเล็กฟังน่ารำคาญมากกว่าน่ากลัว
“เจ้าพงษ์มันเอาไปไว้ที่บ้านดงสองตัว จะเลี้ยงไว้คอยเป็นยามตอนกลางคืน”
“เชอะ เอาหมาไปเฝ้ายามแล้วคนมัวไปไหนกันหมดกินเหล้านอนอืดกันสบายไปน่ะสิ” หล่อนว่าเอาแจ้วๆอย่างรู้ทัน
“คิดถึงจังเลย” พอหมดความสนใจจากลูกสุนัขเด็กสาวก็หันมาโถมตัวเข้ากอดซบกับร่างผอมเกร็งใบหน้าเล็กซุกอยู่กับอกทั้งยังรัดเอวเสียแน่น ชายชราแทบทานแรงไม่ไหวเซแซดไปด้านหลังก้าวใหญ่
“โอย ระวัง ตาจะล้มเอา โตเป็นสาวแล้วแรงเยอะ”
“ยังไม่โตสักหน่อยยังเป็นเด็กน้อยอยู่เลย” หล่อนกอดหญิงชราที่เดินตามออกมาไว้เสียแน่นหอมแก้มซ้ายขวาฟอดใหญ่ นางพรนั้นมีรูปร่างตรงข้ามกับสามีโดยสิ้นเชิง นางมีเรือนร่างอวบท้วมเจ้าเนื้อหัวเราะเสียงดังอย่างคนอารมณ์ดี
“หอมอะไรกัน จั๊กจี้ ทำเป็นฝรั่งจ๋าเชียวคุณเนี่ย” นางพรยิ้มแก้มแทบปริลูบต้นแขนขาวใต้เสื้อเชิ๊ตลายสก๊อตที่เจ้าตัวโปรดปรานนักหนาและใส่ซ้ำอยู่บ่อยครั้งจนเนื้อผ้าแทบจะยุ่ยติดมือ “ไหนมาดูหน่อยซิ โตเป็นสาวแล้วสวยเช้งเชียวคุณหนูแหม่มของยาย”
นางจับเนื้อตัวเด็กสาวอย่างแสนรักหมุนไปมาแล้วอดยิ้มอย่างภูมิใจไม่ได้ เด็กสาวที่เห็นมาแต่อ้อนแต่ออกเติบโตสมบูรณ์ขึ้นทุกปี ยิ่งเป็นสาวน้อยวัยแรกผลิก็ยิ่งงามจับตาจับใจ
“ลีน่าหิว ที่บ้านทำกับข้าวอะไรก็ไม่รู้ เทให้นังชะเอมมันต้องไม่กินแน่” หล่อนย่นจมูก “ยัยหน้าพลาสติกเมียใหม่เฮียน่ะดัดจริตจะกินแต่อาหารฝรั่ง แหวะ อร่อยตรงไหน ไม่เห็นจะแซ่บ”
“ต๊าย ปากคอ แก่แดดนะคุณลีน่า” หญิงชราตีแขนแปะอย่างไม่จริงจัง
“ผัวๆเมียๆนี่ภาษาไทยแท้นะยายจ๋า ยายไม่ไปดูหน้านางล่ะ นั่งหน้าเชิดชูคอเรียกหาสาวใช้มาปรนนิบัติเป็นสิบเป็นเจ้าหญิงมาจากไหนไม่รู้ บนบ้านน่ะต้องเปิดแอร์ทั้งวันนะจ้ะไม่งั้นเขาจะร้อนแล้วก็อารมณ์หงุดหงิด”
“ไปว่าเขา พูดแบบนี้มีหวังไม่ถูกกันแน่ๆใช่ไหมคะเนี่ย หวงคุณพี่ใช่ไหมล่ะนั่น”
“โอ้ย ลีน่าไม่หวงหรอกจะติดป้ายขายให้อีกต่างหาก อย่างเฮียเนี่ยนะผู้หญิงดีๆที่ไหนเขาจะเอา วันๆก็มีแต่กินเหล้า เข้าป่า พออยากขึ้นมาก็หาผู้หญิงมานอนด้วย ไม่ใช่ผัวที่ดีเลย”
“ต๊าย พอ พอแล้ว คำก็ผัวสองคำก็เมียไม่รู้ไปเอาอย่างใครมา” หล่อนเหน็บเนื้อขาววุ่นวายจนเด็กสาวดิ้นหลบเป็นพัลวัน
“เชื้อปากจัดมันอยู่ในสายเลือด” เด็กสาวหัวเราะชอบใจ “ลีน่าหิวข้าวอยากกินแกงอะไรนะที่มีผักเป็นเส้นเหมือนหนวดปลาหมึก”
“แกงจืดตำลึงค่ะทำไว้ให้แล้ว นี่กำลังทอดปลาอยู่รอเดี๋ยวนะคะ” คนพูดหน้าบานเมื่อเห็นนายสาวคนเล็กถามถึงอาหารจานโปรด รีบกระวีกระวาดเข้าครัวจัดการสำรับอาหารพลางเล่า “เจ้าพงษ์มาสั่งไว้ตั้งแต่เมื่อวานบอกว่าคุณหนูแหม่มกลับมา แม่เตรียมแกงจืดตำลึงไว้หม้อโตๆเลย”
คนสนิทของเมษาเรียกนางพรว่าแม่ทั้งยังเรียกนายศักดิ์ว่าพ่อ ทั้งที่ในความเป็นจริงทั้งสองเป็นปู่ย่าของเขา พ่อแม่ของพงษ์พันธ์เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุตั้งแต่เขายังเด็ก เพราะพ่อเป็นลูกคนเดียวแม่หรือก็ไม่มีญาติพี่น้องใกล้ชิดที่ไหน นายศักดิ์และนางพรจึงเลี้ยงดูหลานชายคนเดียวมาตั้งแต่ยังแบเบาะ
“แหมช่างรู้ใจ อย่างนี้สิถึงจะเรียกว่ารักกันจริง” เด็กสาวดีดมือชมเปาะ ก่อนจะหันมาควงแขนตาศักดิ์คนพูดน้อยที่เอาแต่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ
“มานี่ กินข้าวด้วยกัน ลีน่ามีเรื่องจะถามเยอะเลย” หล่อนชอบนัก ตาศักดิ์มีเรื่องเล่ามากมายทั้งเสือสมิง พรายน้ำ การผจญภัยในป่าลึกแต่ละเรื่องสนุกยิ่งกว่าอ่านนิยายเล่มหนาๆเสียอีก
“เรื่องอะไรอีกล่ะครับ เล่าไปจนหมดไส้หมดพุงแล้วนา”
“ไม่เชื่อหรอก ตามีเรื่องเล่าอีกเยอะแยะลีน่ารู้แต่ละเรื่องสนุกๆทั้งนั้นสู้กันยังกะนิยายแน่ะ” เจ้าตัวยิ้มประจบ
“แหม มันก็เรื่องธรรมดาคนสมัยก่อนก็แบบนี้ นักเลงบ้านนอกอย่างผมมันจะไปมีอะไร ไปถามคุณท่านดูสิ นายเวทย์น่ะลุยกว่ากระผมเยอะร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำท่านไปมาหมดแล้ว”
“ตาเวทย์เล่าไม่สนุกเหมือนตาศักดิ์นี่นา” เด็กสาวหน้างอเมื่อพูดถึงคุณตาแท้ๆ เด็กสาวทำท่าเท้าสะเอวชี้มือเลียนแบบ ไหนจะน้ำเสียงแหบต่ำแกมรำคาญที่แทบจะเหมือนเป๊ะ
“ไป ไป๊ ไอ้หัวแดงถามโน่นถามนี่ขี้เกียจตอบ ตาจะนอนแล้ว” เจ้าตัวจงใจถ่ายทอดเพียงบางส่วนโดยละเว้นส่วนที่ตนเองเถียงท่านผู้เฒ่าไป “จะนอนอะไรนักหนาจ๊ะตา ตายไปก็ได้นอนยาวไม่ต้องลุกแล้วจ้ะ” นั่นล่ะตาเวทย์โกรธจนหนวดกระดิกเรียกหาเมษาให้รีบพาหล่อนกลับบ้าน ก่อนที่ความดันจะพุ่งปรี๊ด ก็ตาของหล่อนขี้โมโหเอะอะก็ชี้นิ้วไล่ คุยกันได้ไม่ถึงห้าคำเป็นต้องทะเลาะกันเลยอดฟังเรื่องสนุกๆกันพอดี
“ก็คุณหนูชอบถามขัดคอ ให้ท่านเล่าให้จบก่อนค่อยซักสิครับ คนแก่ขี้คร้านจะชอบเล่าเรื่องเก่า” นายศักดิ์บอกหลังจากหัวเราะขึ้นเต็มเสียงเพราะขันท่าทางของเด็กสาว
“ก็มันน่าสงสัยนี่นา ทีลีน่าถามตาทำไมตาตอบได้ทุกอย่างเลยล่ะ ไม่เห็นจะรำคาญเหมือนตาเวทย์เลย”
“ไอ้กระผมมันข้ารับใช้นี่นาคุณหนูแหม่มก็ จะขัดคอหลานนายได้ยังไง”
“แปลว่ารำคาญลีน่าใช่ไหม ถ้าไม่ต้อนรับจะไปเสียเดี๋ยวนี้ไปเล่นน้ำดีกว่าเย็นตัวเย็นใจ เจอหน้าคนก็มีแต่ทำให้ร้อนใจ” เด็กสาวลอยหน้าลอยตาเย้า แต่ชายชรากลับไม่ขันด้วยเหมือนทุกครั้ง ใบหน้าเกลื่อนด้วยรอยยิ้มนั้นหุบฉับ กลับกลายเป็นริ้วรอยเคร่งเครียดแกมกังวลขึ้นมาทันตา แถมยังออกปากปรามทันควัน
“อย่านะครับ”
“ทำไมคะ มีอะไร” ท่าทีนั้นดูจริงจังเสียจนลลินาต้องออกปากถาม
“อย่าไปแถวนั้นเลยมันเปลี่ยว” เขาเว้นช่วงถอนหายใจยาวอย่างห่วงใยแกมเหนื่อยหน่าย “ช่วงนี้มีเรื่องกันบ่อยกับฝั่งนั้น”
“บ้านนักเลงโตนั่นน่ะเหรอ” เด็กสาวบุ้ยปากก่อนจะเบ้หน้า “พวกหนักแผ่นดินรกโลกเมื่อไรจะตายๆกันไปให้หมด” หล่อนสะบัดเสียงใส่อย่างเกลียดชัง
“ลีน่าไม่เห็นจะกลัวพวกนักเลงชอบวางก้าม ถ้าข้ามเขตเข้ามาให้เจอตัวเมื่อไรจะยิงลูกกะตาโบ๋เลย” หล่อนหยิบหนังสติ๊กที่ซุกอยู่กระเป๋าหลังขึ้นมากวัดแกว่ง
“พวกที่ชอบรังแกคนอ่อนแอกว่าเขาไม่เรียกนักเลงหรอกครับคุณหนูแหม่ม นักเลงน่ะถึงแม้จะมีเรื่องชกต่อยกันแต่เขาก็มีศักดิ์ศรีไม่ทำตัวเป็นหมาลอบกัด ไอ้พวกเอะอะเอาคนไปรุมกระทืบนี่” ชายชราพูดยิ้มๆ ดวงตาฝ้าฟางด้วยวัยมีประกายวาบขึ้นคล้ายครั้งเมื่อเป็นหนุ่มน้อย
“...เขาเรียกอันธพาล”
***********************
จอมใจเจ้าป่า ตอนที่ 1 (จบตอน)
ตอนที่ 1 part 1 http://ppantip.com/topic/30041844/
บ้านไม้ชั้นเดียวหลังเล็กบริเวณโดยรอบแวดล้อมด้วยไม้ผลยืนต้นหลากชนิดทั้งให้ผลเก็บกินได้และให้ร่มเงา อีกทั้งผู้อยู่อาศัยเป็นสองตายายวัยชราที่ดูจะไม่เร่งร้อนกับการใช้ชีวิตจึงดูร่มรื่นทั้งบรรยากาศและให้ความรู้สึกสงบเย็นใจ
“ปู่จ๋า ปู่ ตา ลีน่ามาแล้ว ยายจ๋า อยู่หรือเปล่า ยู้ฮู” เด็กสาวร้องหาเสียงดังลั่นมาก่อนตั้งแต่ยังไม่เห็นตัว ร้องเรียกผู้เฒ่าสับสนปนเปทั้งปู่ ตา ยาย ตามด้วยเสียงตวาดบริวารตัวเล็กที่วิ่งห้อมล้อมอยู่ไม่ห่าง
“ตาศักดิ์ ใครมา ใช่คุณหนูหรือเปล่า” คู่ชีวิตร้องถามละมือจากงานที่ทำอยู่ ชะเง้อมองหามาจากในครัวก่อนจะลับกายเข้าไปรีบล้างไม้ล้างมืออย่างตื่นเต้น
“เสียงแจ๋วแบบนี้จะมีใคร คุณหนูแหม่มน่ะสิ” ชายชราเองก็ยินดีไม่แพ้กัน รีบวางกรรไกรตัดกิ่งไม้ในมือ เช็ดมือลวกๆกับผ้าขาวม้าก่อนจะเดินเร็วๆออกไปตามเสียงเรียกหา
“เอ๊ะ แกนี่มันลูกใคร หน้าตาแบบนี้แม่แกต้องเป็นนังชะเอมแน่ๆแต่พ่อนี่สิใครที่ไหน เป็นลูกใคร บอกมา” เด็กสาวนั่งยองๆกับลานหน้าบ้านที่เป็นพื้นดินอัดแน่น ชูเจ้าตัวเล็กที่ดิ้นกระแด่วในมือขึ้นสูงทั้งยังทำหน้าทำตาแยกเขี้ยวราวกับจะพูดคุยกับลูกสุนัขในมือรู้เรื่อง
“โฮ้ย ลูกไอ้ดำหมาที่โรงครัวเรือนใหญ่น่ะสิคุณหนู จับไปทำหมันไม่ทัน เจออีกทีออกมาหกตัวยั้วเยี้ยไปหมด”
“ลีน่านับได้สี่” เจ้าตัวชี้นิ้วนับจำนวนเจ้าตัวเล็กที่วิ่งวนรอบตัวเสียงเห่าแหลมเล็กฟังน่ารำคาญมากกว่าน่ากลัว
“เจ้าพงษ์มันเอาไปไว้ที่บ้านดงสองตัว จะเลี้ยงไว้คอยเป็นยามตอนกลางคืน”
“เชอะ เอาหมาไปเฝ้ายามแล้วคนมัวไปไหนกันหมดกินเหล้านอนอืดกันสบายไปน่ะสิ” หล่อนว่าเอาแจ้วๆอย่างรู้ทัน
“คิดถึงจังเลย” พอหมดความสนใจจากลูกสุนัขเด็กสาวก็หันมาโถมตัวเข้ากอดซบกับร่างผอมเกร็งใบหน้าเล็กซุกอยู่กับอกทั้งยังรัดเอวเสียแน่น ชายชราแทบทานแรงไม่ไหวเซแซดไปด้านหลังก้าวใหญ่
“โอย ระวัง ตาจะล้มเอา โตเป็นสาวแล้วแรงเยอะ”
“ยังไม่โตสักหน่อยยังเป็นเด็กน้อยอยู่เลย” หล่อนกอดหญิงชราที่เดินตามออกมาไว้เสียแน่นหอมแก้มซ้ายขวาฟอดใหญ่ นางพรนั้นมีรูปร่างตรงข้ามกับสามีโดยสิ้นเชิง นางมีเรือนร่างอวบท้วมเจ้าเนื้อหัวเราะเสียงดังอย่างคนอารมณ์ดี
“หอมอะไรกัน จั๊กจี้ ทำเป็นฝรั่งจ๋าเชียวคุณเนี่ย” นางพรยิ้มแก้มแทบปริลูบต้นแขนขาวใต้เสื้อเชิ๊ตลายสก๊อตที่เจ้าตัวโปรดปรานนักหนาและใส่ซ้ำอยู่บ่อยครั้งจนเนื้อผ้าแทบจะยุ่ยติดมือ “ไหนมาดูหน่อยซิ โตเป็นสาวแล้วสวยเช้งเชียวคุณหนูแหม่มของยาย”
นางจับเนื้อตัวเด็กสาวอย่างแสนรักหมุนไปมาแล้วอดยิ้มอย่างภูมิใจไม่ได้ เด็กสาวที่เห็นมาแต่อ้อนแต่ออกเติบโตสมบูรณ์ขึ้นทุกปี ยิ่งเป็นสาวน้อยวัยแรกผลิก็ยิ่งงามจับตาจับใจ
“ลีน่าหิว ที่บ้านทำกับข้าวอะไรก็ไม่รู้ เทให้นังชะเอมมันต้องไม่กินแน่” หล่อนย่นจมูก “ยัยหน้าพลาสติกเมียใหม่เฮียน่ะดัดจริตจะกินแต่อาหารฝรั่ง แหวะ อร่อยตรงไหน ไม่เห็นจะแซ่บ”
“ต๊าย ปากคอ แก่แดดนะคุณลีน่า” หญิงชราตีแขนแปะอย่างไม่จริงจัง
“ผัวๆเมียๆนี่ภาษาไทยแท้นะยายจ๋า ยายไม่ไปดูหน้านางล่ะ นั่งหน้าเชิดชูคอเรียกหาสาวใช้มาปรนนิบัติเป็นสิบเป็นเจ้าหญิงมาจากไหนไม่รู้ บนบ้านน่ะต้องเปิดแอร์ทั้งวันนะจ้ะไม่งั้นเขาจะร้อนแล้วก็อารมณ์หงุดหงิด”
“ไปว่าเขา พูดแบบนี้มีหวังไม่ถูกกันแน่ๆใช่ไหมคะเนี่ย หวงคุณพี่ใช่ไหมล่ะนั่น”
“โอ้ย ลีน่าไม่หวงหรอกจะติดป้ายขายให้อีกต่างหาก อย่างเฮียเนี่ยนะผู้หญิงดีๆที่ไหนเขาจะเอา วันๆก็มีแต่กินเหล้า เข้าป่า พออยากขึ้นมาก็หาผู้หญิงมานอนด้วย ไม่ใช่ผัวที่ดีเลย”
“ต๊าย พอ พอแล้ว คำก็ผัวสองคำก็เมียไม่รู้ไปเอาอย่างใครมา” หล่อนเหน็บเนื้อขาววุ่นวายจนเด็กสาวดิ้นหลบเป็นพัลวัน
“เชื้อปากจัดมันอยู่ในสายเลือด” เด็กสาวหัวเราะชอบใจ “ลีน่าหิวข้าวอยากกินแกงอะไรนะที่มีผักเป็นเส้นเหมือนหนวดปลาหมึก”
“แกงจืดตำลึงค่ะทำไว้ให้แล้ว นี่กำลังทอดปลาอยู่รอเดี๋ยวนะคะ” คนพูดหน้าบานเมื่อเห็นนายสาวคนเล็กถามถึงอาหารจานโปรด รีบกระวีกระวาดเข้าครัวจัดการสำรับอาหารพลางเล่า “เจ้าพงษ์มาสั่งไว้ตั้งแต่เมื่อวานบอกว่าคุณหนูแหม่มกลับมา แม่เตรียมแกงจืดตำลึงไว้หม้อโตๆเลย”
คนสนิทของเมษาเรียกนางพรว่าแม่ทั้งยังเรียกนายศักดิ์ว่าพ่อ ทั้งที่ในความเป็นจริงทั้งสองเป็นปู่ย่าของเขา พ่อแม่ของพงษ์พันธ์เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุตั้งแต่เขายังเด็ก เพราะพ่อเป็นลูกคนเดียวแม่หรือก็ไม่มีญาติพี่น้องใกล้ชิดที่ไหน นายศักดิ์และนางพรจึงเลี้ยงดูหลานชายคนเดียวมาตั้งแต่ยังแบเบาะ
“แหมช่างรู้ใจ อย่างนี้สิถึงจะเรียกว่ารักกันจริง” เด็กสาวดีดมือชมเปาะ ก่อนจะหันมาควงแขนตาศักดิ์คนพูดน้อยที่เอาแต่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ
“มานี่ กินข้าวด้วยกัน ลีน่ามีเรื่องจะถามเยอะเลย” หล่อนชอบนัก ตาศักดิ์มีเรื่องเล่ามากมายทั้งเสือสมิง พรายน้ำ การผจญภัยในป่าลึกแต่ละเรื่องสนุกยิ่งกว่าอ่านนิยายเล่มหนาๆเสียอีก
“เรื่องอะไรอีกล่ะครับ เล่าไปจนหมดไส้หมดพุงแล้วนา”
“ไม่เชื่อหรอก ตามีเรื่องเล่าอีกเยอะแยะลีน่ารู้แต่ละเรื่องสนุกๆทั้งนั้นสู้กันยังกะนิยายแน่ะ” เจ้าตัวยิ้มประจบ
“แหม มันก็เรื่องธรรมดาคนสมัยก่อนก็แบบนี้ นักเลงบ้านนอกอย่างผมมันจะไปมีอะไร ไปถามคุณท่านดูสิ นายเวทย์น่ะลุยกว่ากระผมเยอะร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำท่านไปมาหมดแล้ว”
“ตาเวทย์เล่าไม่สนุกเหมือนตาศักดิ์นี่นา” เด็กสาวหน้างอเมื่อพูดถึงคุณตาแท้ๆ เด็กสาวทำท่าเท้าสะเอวชี้มือเลียนแบบ ไหนจะน้ำเสียงแหบต่ำแกมรำคาญที่แทบจะเหมือนเป๊ะ
“ไป ไป๊ ไอ้หัวแดงถามโน่นถามนี่ขี้เกียจตอบ ตาจะนอนแล้ว” เจ้าตัวจงใจถ่ายทอดเพียงบางส่วนโดยละเว้นส่วนที่ตนเองเถียงท่านผู้เฒ่าไป “จะนอนอะไรนักหนาจ๊ะตา ตายไปก็ได้นอนยาวไม่ต้องลุกแล้วจ้ะ” นั่นล่ะตาเวทย์โกรธจนหนวดกระดิกเรียกหาเมษาให้รีบพาหล่อนกลับบ้าน ก่อนที่ความดันจะพุ่งปรี๊ด ก็ตาของหล่อนขี้โมโหเอะอะก็ชี้นิ้วไล่ คุยกันได้ไม่ถึงห้าคำเป็นต้องทะเลาะกันเลยอดฟังเรื่องสนุกๆกันพอดี
“ก็คุณหนูชอบถามขัดคอ ให้ท่านเล่าให้จบก่อนค่อยซักสิครับ คนแก่ขี้คร้านจะชอบเล่าเรื่องเก่า” นายศักดิ์บอกหลังจากหัวเราะขึ้นเต็มเสียงเพราะขันท่าทางของเด็กสาว
“ก็มันน่าสงสัยนี่นา ทีลีน่าถามตาทำไมตาตอบได้ทุกอย่างเลยล่ะ ไม่เห็นจะรำคาญเหมือนตาเวทย์เลย”
“ไอ้กระผมมันข้ารับใช้นี่นาคุณหนูแหม่มก็ จะขัดคอหลานนายได้ยังไง”
“แปลว่ารำคาญลีน่าใช่ไหม ถ้าไม่ต้อนรับจะไปเสียเดี๋ยวนี้ไปเล่นน้ำดีกว่าเย็นตัวเย็นใจ เจอหน้าคนก็มีแต่ทำให้ร้อนใจ” เด็กสาวลอยหน้าลอยตาเย้า แต่ชายชรากลับไม่ขันด้วยเหมือนทุกครั้ง ใบหน้าเกลื่อนด้วยรอยยิ้มนั้นหุบฉับ กลับกลายเป็นริ้วรอยเคร่งเครียดแกมกังวลขึ้นมาทันตา แถมยังออกปากปรามทันควัน
“อย่านะครับ”
“ทำไมคะ มีอะไร” ท่าทีนั้นดูจริงจังเสียจนลลินาต้องออกปากถาม
“อย่าไปแถวนั้นเลยมันเปลี่ยว” เขาเว้นช่วงถอนหายใจยาวอย่างห่วงใยแกมเหนื่อยหน่าย “ช่วงนี้มีเรื่องกันบ่อยกับฝั่งนั้น”
“บ้านนักเลงโตนั่นน่ะเหรอ” เด็กสาวบุ้ยปากก่อนจะเบ้หน้า “พวกหนักแผ่นดินรกโลกเมื่อไรจะตายๆกันไปให้หมด” หล่อนสะบัดเสียงใส่อย่างเกลียดชัง
“ลีน่าไม่เห็นจะกลัวพวกนักเลงชอบวางก้าม ถ้าข้ามเขตเข้ามาให้เจอตัวเมื่อไรจะยิงลูกกะตาโบ๋เลย” หล่อนหยิบหนังสติ๊กที่ซุกอยู่กระเป๋าหลังขึ้นมากวัดแกว่ง
“พวกที่ชอบรังแกคนอ่อนแอกว่าเขาไม่เรียกนักเลงหรอกครับคุณหนูแหม่ม นักเลงน่ะถึงแม้จะมีเรื่องชกต่อยกันแต่เขาก็มีศักดิ์ศรีไม่ทำตัวเป็นหมาลอบกัด ไอ้พวกเอะอะเอาคนไปรุมกระทืบนี่” ชายชราพูดยิ้มๆ ดวงตาฝ้าฟางด้วยวัยมีประกายวาบขึ้นคล้ายครั้งเมื่อเป็นหนุ่มน้อย
“...เขาเรียกอันธพาล”