วันนี้เห็นกระทู้เกี่ยวกับรถคันแรกหลายกระทู้ จึงอยากเสนอมุมมองของผมบ้าง
ก่อนอื่นต้องรายงานตัวก่อนว่า ผมไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียใดๆเลยจากนโยบายนี้ เพราะผมอยู่ต่างจังหวัดและเดินเท้า จะมีผลเสียบ้างก็เพราะว่าสารพิษจากเครื่องยนต์ปลิวตามสายลมมาเข้าจมูกผมเท่านั้น
เรื่องรถคันแรกนั้น ได้เกิดขึ้นไปนานแล้วสำหรับหมู่บ้านที่ผมอยู่ ตั้งแต่อดีตจนถึงสมัยที่นายชวนเป็นนายก ในหมู่บ้านจะมี รถยนต์รับจ้าง อยู่อย่างน้อย 2-3 คัน เพื่อบรรทุกสินค้าทางการเกษตรไปขาย เช่นยางพารา ปาล์มน้ำมัน หรือ เมล็ดกาแฟตากแห้ง ซึ่งสมัยก่อน ราคาสินค้ามันถูกมาก จนต้องตุนไว้ให้ได้เยอะๆเป็นคันรถ เพื่อจะได้ขายทีหนึ่ง เป็นอย่างนี้เรื่อยมา
จนวันหนึ่ง ทักษิณ ได้เข้ามาจัดการบริหารประเทศจนในหลวงทรงเรียกว่า ซุปเปอร์นายก ราคาพืชผลทางการเกษตรแปรจากหน้ามือเป็นหลังเท้า มูลค่าสูงขึ้น 2-3 เท่าตัว ทำให้ชาวบ้าน ได้ไปออกรถยนต์กันเป็นจำนวนมาก เกือบทุกบ้านเลยก็ว่าได้ เพราะว่านำมาใช้บรรทุกพืชผล และใช้ไปไหนมาไหนกับครอบครัว ซึ่งบ้านผม มีฐานะค่อนข้างยากจน ก็ได้พลอยสบายไปกับเพื่อนบ้านด้วย คือเวลาขายพืชผลก็อาศัยท้ายรถเพื่อนบ้านไปขายด้วย ผมถือว่านั่นคือปรากฎการณ์รถคันแรก อย่างแท้จริง วันนั้น ไปไหนมาไหนมีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของชาวบ้านผู้เป็นฐานรากแห่งสังคมชนบท มีการสรรเสริญเยินยอ และจัดงานขอบคุณนายกกันเป็นอันมาก วันเสาร์ก็ได้ฟังนายก ซึ่งถือว่าเป็นสังคมในอุดมคติเลยก็ว่าได้ จะเป็นอย่างนี้ทุกหมู่บ้าน
แต่แล้ววันหนึ่ง เค้า(ไม่รู้เค้าไหน)บอกกันมาว่า ทักษิณเลว โกงกิน ทำให้ชาติไม่สามารถเดินไปได้ นโยบายต่างๆก็เป็นนโยบายประชานิยม ( ถ้าประชาไม่นิยมแล้วทำนโยบายมาทำไรวะ?) ไม่เหมาะแก่การพัฒนาชุมชนและประเทศชาติ มีการจัดงานปราศรัยโจมตีด้วยคำหยาบคายต่างๆ คนในหมู่บ้านเริ่มแบ่งออกเป็น 3 ฝ่าย คือฝ่ายรักทักษิณ ฝ่ายเสื้อเหลือง และฝ่ายที่ไม่สนใจไคร การแตกแยกครั้งนี้ ทำให้การลงสมัครผู้ใหญ่บ้าน ต้องมีการซื้อเสียงกันเป็นประวัติการณ์ ด้วยจำนวนเงินครอบครัวละ 5500 บาท ซึ่งไม่เคยเกิด
กลุ่มแม่บ้านต่างๆก็ทยอยกันล่มสลาย หวยใต้ดินและกลุ่มเงินกู้เข้ามาแทนที่ ความเป็นปัจเจกชนและเทคโนโลยีเข้าครอบงำหมู่บ้าน ทุกวันนี้ เมื่อผมเดินกลับบ้านในตอนกลางคืน ผมสังเกตเห็นการนั่งกินเหล้าหน้าบ้าน พร้อมกับดูทีวีไปด้วย บางครอบครัวก็ก้มหัวหมอบกราบทีวีหลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ บางครอบครัวก็ง่วนอยู่กับการผลิตพืชผลทางการเกษตร การประชุมหมู่บ้านห่างหายไป ยาเสพติดแพร่ระบาด เด็กๆเยาวชน ไม่ได้เรียนหนังสือ ปัญหาการพนัน ปัญหาความแห้งแล้งของแหล่งน้ำจากการตัดไม้ทำลายป่าของกำนันและผู้ใหญ่
ถึงแม้ว่าวันนั้น ไม่สามารถกลับมาได้อีกแล้ว วันที่ทุกคนรอฟังรายการนายกทักษิณพบประชาชน
ถึงแม้ว่าวันนั้น วันที่เราเคยไปออกความคิดเห็นกันที่ลานประชุมในหมู่บ้าน
ถึงแม้ว่าป่าไม้จะหมดไปแล้ว ถึงแม้ว่านักเรียน 1 ทุน 1 อำเภอในหมู่บ้านจะกลับมาเรียนในไทยจบแล้ว ถึงแม้ว่ายาเสพติดและหวยใต้ดินจะมากมายแค่ไหน
ผม จะปกป้องรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนตลอดไป ตราบชีวิตจะหาไม่.
นโยบายรถคันแรก ในมุมมองของผม
ก่อนอื่นต้องรายงานตัวก่อนว่า ผมไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียใดๆเลยจากนโยบายนี้ เพราะผมอยู่ต่างจังหวัดและเดินเท้า จะมีผลเสียบ้างก็เพราะว่าสารพิษจากเครื่องยนต์ปลิวตามสายลมมาเข้าจมูกผมเท่านั้น
เรื่องรถคันแรกนั้น ได้เกิดขึ้นไปนานแล้วสำหรับหมู่บ้านที่ผมอยู่ ตั้งแต่อดีตจนถึงสมัยที่นายชวนเป็นนายก ในหมู่บ้านจะมี รถยนต์รับจ้าง อยู่อย่างน้อย 2-3 คัน เพื่อบรรทุกสินค้าทางการเกษตรไปขาย เช่นยางพารา ปาล์มน้ำมัน หรือ เมล็ดกาแฟตากแห้ง ซึ่งสมัยก่อน ราคาสินค้ามันถูกมาก จนต้องตุนไว้ให้ได้เยอะๆเป็นคันรถ เพื่อจะได้ขายทีหนึ่ง เป็นอย่างนี้เรื่อยมา
จนวันหนึ่ง ทักษิณ ได้เข้ามาจัดการบริหารประเทศจนในหลวงทรงเรียกว่า ซุปเปอร์นายก ราคาพืชผลทางการเกษตรแปรจากหน้ามือเป็นหลังเท้า มูลค่าสูงขึ้น 2-3 เท่าตัว ทำให้ชาวบ้าน ได้ไปออกรถยนต์กันเป็นจำนวนมาก เกือบทุกบ้านเลยก็ว่าได้ เพราะว่านำมาใช้บรรทุกพืชผล และใช้ไปไหนมาไหนกับครอบครัว ซึ่งบ้านผม มีฐานะค่อนข้างยากจน ก็ได้พลอยสบายไปกับเพื่อนบ้านด้วย คือเวลาขายพืชผลก็อาศัยท้ายรถเพื่อนบ้านไปขายด้วย ผมถือว่านั่นคือปรากฎการณ์รถคันแรก อย่างแท้จริง วันนั้น ไปไหนมาไหนมีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของชาวบ้านผู้เป็นฐานรากแห่งสังคมชนบท มีการสรรเสริญเยินยอ และจัดงานขอบคุณนายกกันเป็นอันมาก วันเสาร์ก็ได้ฟังนายก ซึ่งถือว่าเป็นสังคมในอุดมคติเลยก็ว่าได้ จะเป็นอย่างนี้ทุกหมู่บ้าน
แต่แล้ววันหนึ่ง เค้า(ไม่รู้เค้าไหน)บอกกันมาว่า ทักษิณเลว โกงกิน ทำให้ชาติไม่สามารถเดินไปได้ นโยบายต่างๆก็เป็นนโยบายประชานิยม ( ถ้าประชาไม่นิยมแล้วทำนโยบายมาทำไรวะ?) ไม่เหมาะแก่การพัฒนาชุมชนและประเทศชาติ มีการจัดงานปราศรัยโจมตีด้วยคำหยาบคายต่างๆ คนในหมู่บ้านเริ่มแบ่งออกเป็น 3 ฝ่าย คือฝ่ายรักทักษิณ ฝ่ายเสื้อเหลือง และฝ่ายที่ไม่สนใจไคร การแตกแยกครั้งนี้ ทำให้การลงสมัครผู้ใหญ่บ้าน ต้องมีการซื้อเสียงกันเป็นประวัติการณ์ ด้วยจำนวนเงินครอบครัวละ 5500 บาท ซึ่งไม่เคยเกิด
กลุ่มแม่บ้านต่างๆก็ทยอยกันล่มสลาย หวยใต้ดินและกลุ่มเงินกู้เข้ามาแทนที่ ความเป็นปัจเจกชนและเทคโนโลยีเข้าครอบงำหมู่บ้าน ทุกวันนี้ เมื่อผมเดินกลับบ้านในตอนกลางคืน ผมสังเกตเห็นการนั่งกินเหล้าหน้าบ้าน พร้อมกับดูทีวีไปด้วย บางครอบครัวก็ก้มหัวหมอบกราบทีวีหลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ บางครอบครัวก็ง่วนอยู่กับการผลิตพืชผลทางการเกษตร การประชุมหมู่บ้านห่างหายไป ยาเสพติดแพร่ระบาด เด็กๆเยาวชน ไม่ได้เรียนหนังสือ ปัญหาการพนัน ปัญหาความแห้งแล้งของแหล่งน้ำจากการตัดไม้ทำลายป่าของกำนันและผู้ใหญ่
ถึงแม้ว่าวันนั้น ไม่สามารถกลับมาได้อีกแล้ว วันที่ทุกคนรอฟังรายการนายกทักษิณพบประชาชน
ถึงแม้ว่าวันนั้น วันที่เราเคยไปออกความคิดเห็นกันที่ลานประชุมในหมู่บ้าน
ถึงแม้ว่าป่าไม้จะหมดไปแล้ว ถึงแม้ว่านักเรียน 1 ทุน 1 อำเภอในหมู่บ้านจะกลับมาเรียนในไทยจบแล้ว ถึงแม้ว่ายาเสพติดและหวยใต้ดินจะมากมายแค่ไหน
ผม จะปกป้องรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนตลอดไป ตราบชีวิตจะหาไม่.