ลิขิตรักธารามังกร บทที่ 2. เงาอดีตของบุรุษ

กระทู้สนทนา
กลิ่นอาหารหอมกรุ่นปลุกสัมปชัญญะให้ฟื้นตื่นจากห้วงหลับใหล

เพียงรู้สึกตัวตื่นขึ้น กระเพาะน้อยๆ ก็เริ่มอุทธรณ์ด้วยความหิวโหย นับจากเร่งออกเดินทางเมื่อเที่ยงวันก่อน กระทั่งถึงยามนี้ยังมิมีอาหารตกถึงท้องแม้น้อยนิด

นางยังมิได้ลืมตาขึ้น กระนั้นไอแดดอุ่นซึ่งสาดส่องกระทบร่างผ่านช่องหน้าต่าง สรรพเสียงนานาสิ่งมีชีวิตแว่วสู่โสต ย่อมบ่งบอกสภาพภายนอกแจ่มชัด

เพลานี้หากมิใช่ใกล้เที่ยงก็ต้องเป็นยามสายมากแล้ว

บาดแผลลึกผสานความอ่อนล้าทำให้หลับยาวนานเพียงนี้...

ก่อนลืมตาเผชิญหน้ากับหานอี้ซิน...นางยังมีเรื่องต้องขบคิด

แต่ทว่า...นอกจากยอมเสี่ยงกับหนทางนี้ ยังมีเส้นทางใดให้นางสามารถเลือกได้อีก กำหนดเคลื่อนทัพคือย่ำรุ่งวันพรุ่ง นางต้องสืบความให้กระจ่างโดยเร็ว หาไม่ทั้งกองทัพอาจเดินเข้าสู่กับดักของศัตรู!

เงื่อนปมเดียวในเวลานี้คือบุรุษนามหานอี้ซิน...

ทันใด เสียงทุ้มหนักของหานอี้ซิน ดังกระทบโสตจากอีกฟากของห้อง

“อาหารเสร็จแล้ว ท่านลุกขึ้นรับประทานไหวหรือไม่”

นางรีบส่งเสียงอืมรับคำ เปล่าประโยชน์จะแสร้งว่าเพิ่งตื่น ด้วยพลังฝีมือของบุรุษผู้นี้ ย่อมทราบว่านางตื่นขึ้นชั่วครู่แล้ว ร่างระหงค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง บาดแผลบนไหล่ซ้ายยังคงปวดแปลบ จะอย่างไรนับว่าทุเลากว่าเมื่อคืนอักโข หากได้พักสองสามวันแผลควรสมานตัว แต่นางไหนเลยมีเวลามากปานนั้น

เหลียวสำรวจสภาพรอบข้างจึงรู้ว่า เมื่อคืนหลับใหลบนเตียงเล็กในห้องแคบ ทั้งห้องมีหน้าต่างเพียงบานเดียว นางเอื้อมมือแง้มเปิดหน้าต่างเล็กน้อย พบภายนอกแวดล้อมด้วยป่าไผ่เขียวขจี สภาพการณ์คลับคล้ายในบริเวณนี้มีเพียงบ้านหลังนี้ปลูกสร้างอย่างโดดเดี่ยว

โสตสดับเสียงคล้ายแม่น้ำหรือลำธาร ไหลลัดเลาะผ่านหลังแนวป่าไผ่ด้านหลังบ้าน บนผนังห้องห้อยแขวนเครื่องมืออุปกรณ์กับดักสัตว์นานาชนิด เตียงของนางแม้ปัดกวาดจนสะอาด แต่สิ่งของในห้องทุกชิ้นตลอดถึงผนังเก่าคร่ำคร่าล้วนมีหยากไย่เกรอะกรัง บ้านหลังนี้ควรถูกทิ้งร้างนานแล้ว

หานอี้ซินพบบ้านหลังนี้โดยบังเอิญหรืออย่างไร...

สภาพบ้านแสดงว่าปกติไม่มีคนพักอาศัย นี่ย่อมมิใช่สถานที่ซึ่งหานอี้ซินใช้หลบซ่อน หลังรอดชีวิตจากช่องเขาประตูสวรรค์ คาดว่าบุรุษผู้นี้คงใช้เป็นที่พำนักชั่วคราวยามข้ามลำน้ำมาฝั่งนี้...

จากเส้นทางซึ่งพานางลัดเลาะหลบหนีเมื่อคืน แสดงว่าหานอี้ซินชำนาญพื้นที่แถวนี้อย่างยิ่ง บุรุษร่างใหญ่คงข้ามลำน้ำมายังฝั่งนี้บ่อยครั้ง...มาทำไม...หรือมาเพื่อนัดพบกับผู้ใด

นางพยุงกายลุกขึ้นยืน เลิกม่านกั้นประตูเดินออกสู่ห้องโถง พบโต๊ะกลางห้องวางข้าวหอมกรุ่นสองชาม มีน้ำแกงชามใหญ่และผัดผักอีกจานหนึ่ง หานอี้ซินนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม นางสะดุ้งเฮือกเล็กน้อย เมื่อเห็นใบหน้าของบุรุษร่างใหญ่ถนัดชัด!

ใบหน้ายามไร้หมวกปีกกว้างปกปิด...

รอยแผลเป็นเด่นชัดยาวเหนือขมับ ผ่านแก้มซ้ายจรดปลายคาง…

เทพหรือปีศาจหรือเป็นปาฏิหาริย์ประการใด ช่วยรักษาชีวิตหานอี้ซินให้รอดจากการล้อมสังหารอย่างโหดเหี้ยมในช่องเขาประตูสวรรค์!

รอยแผลเป็นแม้ยาวจนน่าสะพรึงแต่กลับมิกว้าง ยิ่งแสดงว่าต้องอาวุธสังหารคมกริบ บาดแผลนี้สมควรลึกอย่างยิ่ง และนี่เป็นเพียงบาดแผลเดียว ไม่ทราบทั่วร่างจะมีบาดแผลฉกรรจ์อีกเท่าไหร่ หานอี้ซินกลับรอดชีวิตมาได้ ทั้งพลังฝีมือและกำลังใจของบุรุษผู้นี้ช่างกล้าแข็งจริงๆ...

บุรุษร่างใหญ่อยู่ในวัยฉกรรจ์ อายุราวสามสิบกว่าปี ชาวเหนือผู้มีถิ่นกำเนิดแถบลุ่มน้ำเฮยหลง มีรูปร่างสูงใหญ่กำยำกว่าชาวใต้ ผู้อาศัยอยู่ตอนล่างของลุ่มน้ำลู่หลงและจินหลงอักโข

หานอี้ซินสูงกว่านางถึงหนึ่งช่วงศีรษะ เส้นผมสั้นดำขลับ หน้าผากกว้าง คิ้วหนา จมูกโด่งกว่าชาวใต้จนเป็นจุดเด่น ริมฝีปากก็หนากว่าชาวใต้เล็กน้อย ดวงตากลมโตใหญ่ฉายประกายเจิดจ้า ซ้ำนัยน์ตายังปรากฏแววสีเขียวจางๆ

ลักษณะทั้งหมดบ่งบอกชัด หานอี้ซินมิเพียงเป็นชาวเหนือโดยกำเนิด แต่ยังต้องมีบรรพบุรุษเป็นชาวเผ่าทางตะวันตกสุดของมหาอาณาจักร

นางได้ยินมาว่า แม่ทัพใหญ่จูกัดจิ้นก็เป็นชาวเผ่าทางตะวันตก บรรดาขุนพลคนสนิทล้วนเป็นคนเผ่าเดียวกัน หรือหานอี้ซินคือหนึ่งในจำนวนนั้น...อย่างนั้นฐานะของบุรุษผู้นี้ย่อมไม่ธรรมดา

เค้าโครงหน้าของหานอี้ซินแกร่งกร้าวดุดันสมเป็นทหารกล้า ยามขยับแขนยกมือแม้เป็นเพียงการถือตะเกียบเลื่อนชามข้าว ทว่าบุคลิกท่วงท่าล้วนบ่งบอกชัดว่าเป็นชนชั้นยอดฝีมือ โดยเฉพาะประกายทระนงเด็ดเดี่ยวในแววตา ราวไม่ระย่อต่อทุกสรรพสิ่ง กระทั่งความตายยังมิอาจสร้างความพรั่นพรึงต่อบุรุษผู้นี้

หานอี้ซินคล้ายดั่งหลอมรวมจุดเด่นทั้งมวลของชาวเหนือไว้ในร่างจริงๆ...

ใบหน้าของชาวเหนือ บุรุษมิอาจเรียกว่าหล่อเหลา สตรีที่เรียกว่างดงามยิ่งนับจำนวนได้ ในขณะที่ชาวใต้ บุรุษหน้าตาสามัญยังหล่อเหลากว่าชาวเหนือ สตรีหน้าตาพื้นเพหากเดินทางขึ้นเหนือจะกลายเป็นดั่งเทพธิดา

แน่นอนว่าวาจาเหล่านี้เกินความจริงอยู่มาก ทั้งยังสะท้อนการดูถูกเหยียดหยามชาวเหนือ แต่ก็สะท้อนความแตกต่างระหว่างชาวเหนือและใต้อย่างชัดเจน

บุรุษชาวเหนือที่ไม่หล่อเหลา เพราะล้วนขยันขันแข็งทำการเกษตร ล่าสัตว์ เพาะเลี้ยงม้า ยามว่างยังฝึกฝนอาวุธ สตรีชาวเหนือที่ไม่งดงามเพราะวันทั้งวันเลี้ยงไหมทอผ้า ไม่ปล่อยเวลาเปล่าประโยชน์คิดแต่ประทินผิวเสริมความงามเช่นชาวใต้ บุรุษชาวใต้ชอบประกอบการค้า นิยมบทกวี ชื่นชอบงานสังสรรค์รื่นเริง ขาดระเบียบวินัย ไม่เคยเตรียมตัวฝึกฝนรับสงคราม

นางอดทอดถอนใจมิได้...เพราะชาวเหนือมีบุคลิกอันเหี้ยมหาญเช่นนี้นี่เล่า จึงสามารถยึดครองดินแดนถึงสองในสามของมหาอาณาจักรไว้ได้ ในขณะที่กองทัพขององค์จักรพรรดิถอยร่นครั้งแล้วครั้งเล่า ที่สุดต้องอาศัยลำน้ำจินหลงเป็นปราการสุดท้าย หากมิใช่เพราะแม่ทัพใหญ่เย่ซือป้าย มหาอาณาจักรคงตกเป็นของเฉินเทียนหรานนานแล้ว

“อาหารพื้นเพ ธิดาแม่ทัพรับประทานได้หรือไม่” หานอี้ซินคล้ายไม่สนใจที่ถูกเพ่งพินิจ แทบศีรษะจรดปลายเท้าอยู่เนิ่นนาน บุรุษร่างใหญ่เพียงยิ้มมุมปากเล็กน้อย ผายมือเชื้อเชิญนางนั่งลง

นางแค่นเสียงเฮอะ นั่งลงฝั่งตรงข้าม เริ่มรับประทานอาหารทันที ยามนี้ไหนเลยสนใจคำประชดประชันไร้สาระ นางต้องทานอาหารฟื้นฟูเรี่ยวแรงกลับคืน อย่าว่าแต่อาหารพื้นเพเพียงเท่านี้ กระทั่งใช้ชีวิตในค่ายทหารระยะหนึ่งก็เคยประสบมาแล้ว ยามเสบียงกรังส่งมาไม่ถึงแนวหน้า ทหารกล้าต้องหิวโหยลำบากปานใดนางล้วนทราบกระจ่าง

เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียชีวิตอย่างไร้ค่า นางต้องปฏิบัติภารกิจคราวนี้ให้ลุล่วง!

เพียงเริ่มรับประทาน นางกลับพบความประหลาดใจจนต้องส่งเสียงเอ๊ะ เพราะอาหารตรงหน้าแม้สามัญอย่างยิ่ง น้ำแกงต้มจากเนื้อปลาซึ่งคงหาได้จากลำธารหลังบ้าน ผัดผักล้วนเป็นชนิดที่ขึ้นเองตามธรรมชาติพบเห็นได้ทั่วไป แต่อาหารทั้งสองอย่างกลับมีรสชาติเลิศรสยิ่ง ยังอร่อยกว่ารับประทานในโรงเตี๊ยมชื่อดังเสียอีก!

ยิ่งข้าวหอมกรุ่นเพียงคำแรกก็ทราบว่าเป็นข้าว ‘เซียงเซียง’ เมล็ดข้าวหอมซึ่งปลูกได้ผลผลิตดีเฉพาะในแถบลุ่มแม่น้ำเฮยหลง ด้วยความนุ่มและความหอมอันเป็นเอกลักษณ์ ทั้งมีผลผลิตไม่มากและต้องเสียค่าขนส่งไกลโขจากภาคเหนือสู่ภาคกลางและใต้ ดังนั้นตั้งแต่เมื่อยี่สิบห้าปีก่อน ข้าวเซียงเซียงนับเป็นข้าวราคาแพงที่สุด

หลังกองทัพกบฏยึดครองลุ่มน้ำภาคเหนือและกลาง ชาวใต้ทั่วไปก็หมดโอกาสจะได้รับประทานข้าวชนิดนี้ ทว่าเหล่าขุนนางคหบดีผู้มั่งคั่งยังสามารถซื้อหาได้ในราคาสูงลิ่ว จากเหล่าพ่อค้าผู้ลักลอบขนของเถื่อน

ฐานะเยี่ยงนางย่อมสามารถรับประทานข้าวเซียงเซียงได้บ่อยครั้ง...

แต่ไหนเลยคาดคิดว่าจะได้ทานข้าวเลิศรสในสถานที่แบบนี้...

นางเก็บความประหลาดใจ รับประทานจนอิ่ม ค่อยเอ่ยถามว่า

“ท่านมีเสบียงเช่นนี้ติดตัวทุกครั้งที่เดินทางหรือ”

หานอี้ซินรับประทานเสร็จแล้ว บุรุษหนุ่มมิได้ตอบคำถามในทันที ทว่าคล้ายนิ่งอึ้ง ก่อนตอบไปว่า

“ข้าพเจ้าไม่คุ้นเคยรสชาติข้าวของชาวใต้…”

นางย่อมจับความผิดปกติบางประการ ในน้ำเสียงและคำตอบได้ ดังนั้นจึงถามต่อ

“เฮอะ ท่านที่แท้มีตำแหน่งใดในหน่วยพยัคฆ์คำรณ”

ครั้งนี้หานอี้ซินขมวดคิ้วมุ่น ชี้มือไปยังถ้วยชามว่างเปล่าบนโต๊ะ ย้อนถามว่า

“รับประทานอาหารของข้าพเจ้าจนหมดแล้วยังไม่รู้อีกหรือ...ข้าพเจ้าเป็นพ่อครัว...” สิ้นประโยค หานอี้ซินก็หัวร่อกึกก้อง หัวร่อจนงอหาย หัวร่อจนไม่อาจหยุดได้

นางบันดาลโทสะ แทบจะเขวี้ยงถ้วยชามตรงหน้าปาใส่บุรุษร่างใหญ่

นางถามเป็นจริงเป็นจัง หานอี้ซินกลับแกล้งเฉไฉซ้ำนั่งหัวเราะแทบตกเก้าอี้ ราวคำถามของนางช่างขบขันหนักหนา ผู้ใดเลยจะกล้าเสียมารยาทต่อหน้านางเช่นนี้

แต่...นางก็ทราบ...ต้องข่มใจ หากบันดาลโทสะ หานอี้ซินจะยิ่งหาเรื่องเฉไฉ ไม่ยอมตอบคำถามของนางตรงๆ ที่มาที่ไปของบุรุษผู้นี้มีความสำคัญยิ่ง ยามนี้มีแต่ต้องอดทนซักถามเอาความให้ได้

นางนิ่งสงบสติอารมณ์ชั่วอึดใจ เขม็งจ้องหานอี้ซินแน่วนิ่ง เอ่ยถามช้าๆ

“ท่านข้ามลำน้ำมาทำอะไร…”

บุรุษร่างใหญ่มิเพียงยังไม่หยุดหัวร่อ ซ้ำยิ่งหัวร่อดังกว่าเดิม ส่ายหน้าพลางกล่าวว่า

“ท่านต่างหากมีเจตนาใด ท่านมิได้ไว้ใจข้าพเจ้าแต่แรก จนบัดนี้ก็ไม่ไว้ใจ ขณะอยู่บนเรือคิดอย่างไรจึงบอกกับคนภาคเหนือเช่นข้าพเจ้า ว่าตนเองคือธิดาของท่านแม่ทัพใหญ่ เฮอะ แม้ไม่ส่งท่านให้นักฆ่ากลุ่มนั้น ข้าพเจ้าก็สามารถกุมตัวท่านกลับไปรับรางวัลที่เมืองเป่ยสุ่ย”

นางเผยยิ้มเปี่ยมความเชื่อมั่น ตอบด้วยน้ำเสียงทระนง

“ข้าพเจ้าเพียงเดิมพันกับสัญชาตญาณของตนเอง”

หานอี้ซินเลิกคิ้วสงสัย เอ่ยถามด้วยความฉงน

“สัญชาตญาณอันใด...”

นางเขม็งจ้องหานอี้ซินแน่วนิ่ง กล่าวเน้นทีละคำ

“ขณะอยู่บนเรือ...ข้าพเจ้าไว้ใจท่าน”

หานอี้ซินยังเลิกคิ้วด้วยความฉงนอีกครั้ง

“อย่างนั้นเหตุใดเวลานี้ท่านจึงไม่ไว้ใจข้าพเจ้าแล้ว”

“เพราะพลังฝีมือท่านสูงเยี่ยมเกินไป! เพราะหน่วยพยัคฆ์คำรณไม่ควรมีผู้รอดชีวิต!”

หานอี้ซินนิ่งเงียบครู่ใหญ่ แววตาฉายประกายกร้าว รอยแผลเป็นบนใบหน้าคล้ายกระตุกจนน่าสะพรึง บุรุษหนุ่มเอ่ยเน้นทีละคำช้าๆ ชัดเจน

“ท่านรู้จัก ‘เถียนฟู่โหย่ว’ หรือไม่!”

ครานี้เป็นนางที่ต้องนิ่งงงงัน นางมิเพียงรู้จักเถียนฟู่โหย่ว  ทั้งเคยพบเห็นคนผู้นี้ ตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อน

เถียนฟู่โหย่วคือไส้ศึกที่องค์จักรพรรดิว่านอู้ซื้อตัว เพื่อให้วางแผนทำร้ายแม่ทัพใหญ่จูกัดจิ้น!

เถียนฟู่โหย่วเดิมเป็นคหบดีใหญ่แถบลำน้ำจินหลง ประกอบกิจการเดินเรือตลอดสายธารากว้าง มีเรือในสังกัดร่วมร้อยลำ ขณะฝ่ายกบฏบุกเข้าตีเป่ยสุ่ยเมืองยุทธศาสตร์สำคัญ ซึ่งอยู่ตอนเหนือของลำน้ำจินหลง เถียนฟู่โหย่วนำเรือในสังกัดเข้าร่วมกองกำลังกบฏ บุกตีกระหนาบจากอีกฝั่งของลำน้ำกระทั่งยึดเป่ยสุ่ยสำเร็จ

หลังเฉินเทียนหรานสถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิหลี่เสี่ยง ปูนบำเหน็จแม่ทัพ ขุนพล เหล่าผู้มีความดีความชอบ เถียนฟู่โหย่วได้รับแต่งตั้งเป็นแม่ทัพเรือประจำการ ณ เมืองเป่ยสุ่ย เป็นหนึ่งในสิบแม่ทัพคนสำคัญของอาณาจักรต้าผิง ทั้งได้รับความไว้วางใจจากเฉินเทียนหรานอย่างยิ่ง

เนื่องเพราะความไว้วางใจ เถียนฟู่โหย่วจึงปลอมแปลงจดหมายลับหลายฉบับ ในนั้นระบุถึงแผนการชิงบัลลังก์ของจูกัดจิ้น ทั้งสร้างสถานการณ์สอดคล้องต่อเนื่องมากมาย ที่สุดเฉินเทียนหรานเกิดระแวงจึงสั่งจูกัดจิ้นเข้าเมืองหลวง แล้วจับกุมตัวสั่งประหารโดยไม่ไต่สวน

นางตรึงตรองเรื่องราว ครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้น

“หลังแม่ทัพจูกัดจิ้นถูกสั่งประหาร เถียนฟู่โหย่วก็ลอบหนีจากเมืองเป่ยสุ่ย ข้ามลำน้ำมุ่งมายังเมืองหนานสุ่ยขอสวามิภักดิ์ต่อองค์จักรพรรดิว่านอู้ ท่าน...ท่านเดินทางมาเพราะเถียนฟู่โหย่วหรือ...”

หานอี้ซินหน้าตาเคร่งเครียด กัดกรามกรอดกราดเกรี้ยว

“สามปีก่อนหลังจากแปรพักตร์ ได้ยินว่าจักรพรรดิว่านอู้มอบภารกิจลับให้เถียนฟู่โหย่ว แต่แล้วคนผู้นี้กลับหายสาบสูญไร้ร่องรอย ไม่มีผู้ใดพบร่องรอยเถียนฟู่โหย่วอีกเลย หลังจากนั้นเกิดข่าวลือกรณีนี้มากมาย ทั้งบอกว่าคนผู้นี้ถูกทหารของท่านแม่ทัพจูกัดจิ้นล่าสังหาร แต่บ้างก็ว่าจักรพรรดิว่านอู้สั่งฆ่าคนผู้นี้เพราะไม่ไว้ใจ!”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่