รัตติกาลยังคงไร้เดือน นภามืดมิดอนธการ หมู่ดารากระจ่างฟ้า สรรพสำเนียงแห่งขุนเขาลำเนาไพร่ กู่ก้องร้องรับแสงแห่งราตรี
หานอี้ซินโผพุ่งร่าง ใช้วิชาตัวเบาดุจเหินบิน โลดละลิ่วนำทางอยู่เบื้องหน้า นางพยายามเร่งฝีเท้าเต็มที่ตามติดกระชั้นชิด ด้วยรู้ดีว่าบุรุษหนุ่มผ่อนฝีเท้ารั้งรอให้นางติดตามทัน บาดแผลที่ไหล่แม้ทุเลาดีขึ้นด้วยยาของหานอี้ซิน ทว่ายามนี้กลับเริ่มปวดแปลบเป็นระยะ
เกือบสองชั่วยามแล้วนับจากออกเดินทาง ทั้งนางและบุรุษร่างใหญ่ต่างแต่งชุดดำปกปิดหน้าตา หานอี้ซินมิได้บอกจุดหมายปลายทาง หากนำทางผ่านขุนเขาแมกไม้อย่างชำนาญ ราวคุ้นเคยพื้นที่แถบนี้กระจ่างดุจฝ่ามือตนเอง
แม้นางไม่มีโอกาสได้ออกนอกเมืองบ่อยครั้ง ซ้ำไม่คุ้นเคยกับพื้นที่ละแวกนี้ แต่ถ้ายึดแนวเทือกเขาเจ็ดดารา อันมียอดเขาเทพธิดาตระการโดดเด่นเป็นหลัก ทางเหนือของยอดเขาคือทะเลสาบมังกรสวรรค์ ทางตะวันออกคือเส้นทางถนนซึ่งนางใช้ควบม้าออกจากเมืองหนานสุ่ย ทั้งยังเชื่อมต่อแม่น้ำซึ่งเป็นแขนงของลำน้ำจินหลง คืนก่อนนางถูกซุ่มจู่โจมที่แม่น้ำสายนี้เอง
ทิศที่หานอี้ซินมุ่งหน้าตรงไปคือทางตะวันตกของเทือกเขาเจ็ดดารา
นางจำได้ว่าในแผนที่ระบุไว้ บริเวณนั้นเป็นที่ลุ่มชื้นแฉะเรียกว่าบึงภูตจันทรา เนื่องเพราะพื้นที่แถบนั้นมีสภาพลาดต่ำ แม่น้ำแขนงสาขาต่างๆ ของลำน้ำจินหลงจึงเอ่อเข้าท่วมขังตลอดชั่วนาตาปี ไม่สามารถเพาะปลูกทำเกษตรกรรมหรือพักอาศัยอยู่ได้ พื้นที่กว้างไพศาลทั้งหมดกลายสภาพเป็นบึงใหญ่น้อยสุดคณานับ ทั้งมีบ่อโคลนดูดลึกสุดหยั่งกระจายอยู่ทั่วไป
เถียนฟู่โหย่วหลบซ่อนอยู่ในบึงภูตจันทราหรือ...
สถานที่เช่นนั้นใช้หลบซ่อนตัวได้อย่างไร...
นางครุ่นคิดถึงตรงนี้ยิ่งขุ่นเคืองหานอี้ซิน ก่อนออกเดินทางไม่ว่าซักไซ้สอบถามอย่างไร บุรุษร่างใหญ่ไม่ยอมปริปากบอกว่าเถียนฟู่โหย่วอยู่ที่ไหนกันแน่ เพียงบอกจะนำทางไปเอง นางพยายามสอบถามว่าได้ข่าวจากไหนเชื่อถือได้หรือไม่ หานอี้ซินกลับกล่าวว่าหากไม่เชื่อถือก็ไม่ต้องตามมา
น่าแค้นใจนัก...ไม่มีใครกล้าอวดดีกับนางเช่นนี้มาก่อน ซ้ำขณะนั่งรับประทานมื้อเย็นก่อนออกเดินทางยังมีเรื่องน่าขุ่นเคืองเกิดขึ้นอีก!
มื้อเย็นก่อนพลบค่ำยังคงเป็นอาหารพื้นเพ หานอี้ซินจับปลาจากลำธารหลังบ้านหลายตัว เก็บเห็ดกับหน่อไม้จากในป่า ทั้งหมดถูกปรุงเป็นปลาเผาหอมกรุ่น น้ำแกงปลาต้มกับเห็ดและหน่อไม้ ข้าวหอมกรุ่นพูนชามยังคงเป็นข้าวหอมเซียงเซียง
เพราะความอ่อนเพลียนางจึงหลับใหลครึ่งค่อนวัน ตื่นขึ้นหานอี้ซินก็ตั้งโต๊ะอาหารมื้อเย็นแล้ว นางลงมือรับประทานโดยไม่เกรงใจ มิแน่ว่าก่อนเที่ยงวันพรุ่งอาจไม่มีอาหารตกถึงท้องอีก หรือหากภารกิจคืนนี้ล้มเหลว นี่คงเป็นอาหารมื้อสุดท้ายของนาง...
จะอย่างไรรับประทานข้าวเซียงเซียงเป็นมื้อสุดท้ายก็นับว่าไม่เลว...
รับประทานเสร็จสิ้น นางอดไม่ได้ต้องเอ่ยถามอีกครั้ง
“ท่านนำข้าวเซียงเซียงเป็นเสบียงด้วยทุกครั้งหรือ”
หานอี้ซินยังก้มหน้าก้มตารับประทาน กล่าวตอบเพียง
“บอกแล้วว่าข้าพเจ้าไม่คุ้นกับข้าวภาคใต้”
นางยังอดมิได้ต้องเอ่ยถามต่อ
“ท่าน...เหตุใดจึงปรุงอาหารเชี่ยวชาญนัก”
หานอี้ซินส่ายหน้า ท่าทางเบื่อหน่ายรำคาญ ตัดบทตอบว่า
“บอกท่านแล้วว่าข้าพเจ้าเป็นพ่อครัว”
นางบันดาลโทสะ แทบจะขว้างชามข้าวใส่หน้าหานอี้ซินอีกครั้ง คนผู้นี้ช่างเฉไฉยอกย้อนยิ่งนัก หากไม่คิดตอบคำถามใด สอบถามเท่าไหร่ก็ไม่เปิดปากบอกความจริง
นางมองรอยแผลเป็นบนใบหน้า แล้วเอ่ยถามว่า
“หลังเหตุการณ์ช่องเขาประตูสวรรค์...ท่านไปหลบซ่อนอยู่ที่ใด”
“ผู้ภักดีต่อท่านแม่ทัพจูกัดจิ้นมีอยู่มากมาย สหายเหล่านั้นช่วยชีวิตข้าพเจ้าไว้”
นางนิ่งไปครู่หนึ่ง ค่อยเอ่ยถามต่อ
“ห้าปีนี้...ท่านเพียงคิดแก้แค้นหรือ...”
หานอี้ซินแค่นเสียงเฮอะ กล่าวว่า
“ถูกต้อง! ศึกสงครามแก่งแย่งชิงดินแดนอันใด ไม่อยู่ในความสนใจของข้าพเจ้าอีกแล้ว...”
จู่ๆ น้ำเสียงบุรุษร่างใหญ่แปรเปลี่ยนคล้ายเยาะหยัน
“แล้วฝ่ายท่านเป็นอย่างไร...ที่สุดสถานการณ์โดยรวมกลับไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง...”
บุรุษหนุ่มหยุดทอดถอนใจ เสียงทุ้มหนักเจือแววหดหู่
“หลังท่านแม่ทัพจูกัดจิ้นถูกประหาร พวกท่านเร่งระดมพลบุกขึ้นเหนือ คิดใช้ช่วงเวลาขณะกองทัพของเรากำลังระส่ำระสายชิงความได้เปรียบ แม้ในตอนแรกคล้ายจะประสบความสำเร็จ เกือบยึดเมืองเป่ยสุ่ยคืนได้ แต่แล้วท้ายสุดพวกท่านก็ล้มเหลว…”
นางนิ่งอึ้ง ข้าวหอมนุ่มละมุนกลับฝืดคอขึ้นทันที เนื่องเพราะสิ่งที่หานอี้ซินกล่าวล้วนถูกต้อง...
หลังได้ข่าวแน่ชัดว่าจูกัดจิ้นถูกประหาร ท่านแม่ทัพใหญ่เย่ซือป้ายเรียกระดมพลครั้งใหญ่ สั่งยกกองทัพทั้งหมดบุกขึ้นเหนือ ระยะแรกของการศึกใช้เวลาไม่นานก็สามารถล้อมเป่ยสุ่ยได้ หากยึดได้เป่ยสุ่ยด้วยชัยภูมิที่ดีย่อมสามารถรุกต่อเนื่องบุกยึดดินแดนลุ่มน้ำลู่หลง อันเป็นที่ราบกว้างใหญ่ตอนกลางของมหาอาณาจักร และหากกระทำสำเร็จโอกาสที่จะชิงแผ่นดินทั้งหมดคืนก็มิใช่ความฝันอีกต่อไป
ทว่าในยามจวนเจียนจะตีเป่ยสุ่ยแตก ฝ่ายกบฏกลับปรากฏแม่ทัพหนุ่มผู้หนึ่งนาม ‘หวังซิงเหอ’
หน่วยข่าวรวบรวมข้อมูลได้ความว่า หวังซิงเหอเดิมเป็นราชองครักษ์ของเฉินเทียนหราน ในยามคับขันเกือบเสียเป่ยสุ่ย หวังซิงเหออาสานำกองทัพจากเมืองหลวง ยกออกไปช่วยคลายวงล้อมกู้เมืองยุทธศาสตร์สำคัญกลับคืน
เพียงเริ่มศึกชิงเป่ยสุ่ย หวังซิงเหอก็แสดงความสามารถอันโดดเด่น แม่ทัพหนุ่มวางแผนการรบมิได้ด้อยไปกว่าแม่ทัพใหญ่เย่ซือป้าย หลังต้านยันช่วงชิงความได้เปรียบอยู่หลายต่อหลายครั้ง ที่สุดหวังซิงเหอใช้ทัพพิสดาร วางแผนเหนือคาดหมายแก้วงล้อมให้เป่ยสุ่ยได้สำเร็จ
หวังซิงเหอดำเนินแผนต่อเนื่อง ด้านหนึ่งเสริมกำลังปกป้องเป่ยสุ่ยจนแข็งแกร่ง อีกด้านส่งหน่วยจรยุทธ์ลอบตัดเสบียง ทำลายเส้นทางส่งอาวุธยุทโธปกรณ์อย่างได้ผล การศึกยืดเยื้อเหล่าทหารเริ่มขาดแคลนทั้งเสบียงและอาวุธ ที่สุดแม่ทัพใหญ่เย่ซือป้ายจำต้องถอยทัพข้ามลำน้ำจินหลงกลับสู่หนานสุ่ย
ศึกชิงเป่ยสุ่ยครั้งนั้น ไม่มีผู้ใดได้เปรียบกว่าใคร ไม่มีผู้แพ้ ไม่มีผู้ชนะ...
มีเพียงซากศพทหารนับหมื่นของทั้งสองฝ่าย ทิ้งร่างไร้วิญญาณเป็นประจักษ์พยานแห่งสงคราม...
หวังซิงเหอสามารถรักษาเมืองเป่ยสุ่ยไว้ได้ เฉินเทียนหรานย่อมปีติยินดียิ่ง ปูนบำเหน็จแต่งตั้งแม่ทัพหนุ่มขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่สยบทักษิณ ถืออำนาจบัญชาการทหารแทบเทียบเท่าจูกัดจิ้นในอดีต
หลังศึกครานั้น สงครามกลับมาสู่สภาพต้านยันกันอีกครั้ง แม่ทัพใหญ่เย่ซือป้ายไม่อาจยกทัพบุกขึ้นเหนือได้อีก แต่หวังซิงเหอก็ไม่สามารถยกทัพข้ามลำน้ำจินหลงรุกลงมาได้
นางทอดถอนใจ...กำจัดจูกัดจิ้นได้แล้วอย่างไร...
หากกำจัดหวังซิงเหอได้...จะไม่มีแม่ทัพผู้สามารถขึ้นมาแทนหรือ...
หรือความหวังที่จะรวมมหาอาณาจักรเทียนหมิงเป็นเพียงความฝัน...
ทันใด เสียงทุ้มหนักของหานอี้ซิน ดึงนางกลับจากภวังค์ห้วงความคิด สู่รัตติกาลอันมืดมิดเบื้องหน้า
“เรื่องที่ท่านเดินทางออกจากหนานสุ่ยมีใครรู้บ้าง” บุรุษหนุ่มเอ่ยถามโดยมิได้หยุดยั้งชะลอฝีเท้า
คำถามของบุรุษร่างใหญ่แทบทำให้นางหยุดชะงัก ทว่าสัมปชัญญะยังสั่งการให้ละลิ่วร่างตามติดหานอี้ซิน นางย่อมเข้าใจความหมายในคำถามของบุรุษเบื้องหน้า
ในกองทัพเมื่อมีไส้ศึกเรื่องที่นางออกจากหนานสุ่ย ทั้งที่ควรจะเป็นความลับก็จะมิใช่ความลับอีกต่อไป!
น้ำเสียงเคร่งขรึมของหานอี้ซิน เอ่ยอีกประโยค
“นักฆ่ากลุ่มนั้นดักรอจู่โจมท่านระหว่างเดินทางใช่หรือไม่”
ยามนี้นางเอ่ยตอบน้ำเสียงเครียด เริ่มได้คิดแล้วว่านี่เป็นเรื่องราวใด แต่ยังย้อนถามบุรุษหนุ่มกลับว่า
“ท่านคาดเดาเรื่องราวได้แต่แรก...อย่างนั้นเหตุใดไม่บอกข้าพเจ้าแต่แรก!”
หานอี้ซินหัวร่อเบาๆ ในลำคอ กล่าวว่า
“บอกท่านแล้วมีประโยชน์อันใด เฮอะ ธิดาแม่ทัพไหนเลยออกมาสืบหาไส้ศึกด้วยตัวเอง นอกเสียจากท่านจะได้ข่าวที่เชื่อถือได้บางอย่างทำให้มั่นใจว่า การออกนอกเมืองครั้งนี้จะจับตัวไส้ศึกได้ ทว่าข่าวที่ท่านได้รับก็เป็นเพียงข่าวลวงอีกชิ้นหนึ่ง ท่านคิดเพียงจะหาตัวไส้ศึกให้ได้ ไม่ได้เฉลียวใจเลยว่าตัวเองเข้าสู่หลุมพรางของศัตรูแล้ว!”
นางกัดฟันกรอด นอกจากบิดาใครเลยจะกล้าวิพากษ์นางเยี่ยงนี้!
กระนั้นยามนี้นางได้แต่นิ่งงัน เนื่องเพราะไม่อาจหาอันใดมาโต้แย้งได้...
นางผลุนผลันออกจากหนานสุ่ยด้วยความร้อนใจ หมายมั่นปั้นมือต้องเปิดโปงผู้เป็นไส้ศึกให้ได้ มิคาด เพียงพ้นจากเส้นทางถนนสายหลัก มุ่งหน้าตะวันตกสู่หนึ่งในแขนงสาขาของลำน้ำจินหลง กลับถูกซุ่มโจมตีไล่ล่ากระทั่งไปพบกับหานอี้ซินกลางลำน้ำ
บุรุษร่างใหญ่ยังกล่าวต่ออย่างเฉื่อยชา
“ข้าพเจ้าไม่คิดจะคุยเรื่องนี้กับท่านก่อนออกเดินทาง เพราะถึงอย่างไรแผนการคืนนี้ก็ไม่เปลี่ยนแปลง พวกเราต้องตามหาตัวเถียนฟู่โหย่วให้ได้ ข้าพเจ้าเชื่อว่าเงื่อนปมทั้งหมดอยู่ที่คนผู้นี้ แต่ที่ต้องกล่าวเรื่องนี้ขึ้นเพราะต้องการให้ท่านระวังตัวให้มาก...”
น้ำเสียงหานอี้ซินยิ่งกล่าวยิ่งจริงจังเคร่งเครียด
“บรรดาสายลับ เหล่ามือสังหารของเฉินเทียนหรานซึ่งแฝงตัวอยู่ทางฝั่งนี้ ย่อมทราบข่าวว่าท่านออกจากหนานสุ่ยเพียงลำพัง ทั้งหมดคงกำลังติดตามไล่ล่าจับกุมตัวท่าน สถานการณ์ของท่านล่อแหลมอันตรายยิ่ง หากถึงคราวคับขันไม่ต้องสนใจเรื่องอื่นใด หนีเอาตัวรอดอย่าให้ถูกจับกุมได้อย่างเด็ดขาด”
นางยิ่งรับฟัง ยิ่งตระหนักถึงอันตรายที่มิได้คาดคิดมาก่อน ยามนี้ได้แต่รับคำแผ่วเบา
“ข้าพเจ้าจะระวังตัวให้มาก…แต่ขอให้ท่านทราบไว้ หากต้องตัดสินใจอีกครั้ง ข้าพเจ้ายังคงตัดสินใจเช่นเดิม...”
บุรุษร่างใหญ่แค่นเสียง ราวเบื่อหน่ายความดื้นรั้นของนางเต็มที
นางกล่าวต่อ ไม่สนใจสุ้มเสียงเช่นนั้น
“เหล่าแม่ทัพตัดสินใจต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า ข่าวหน่วยจู่โจมของหวังซิงเหอลักลอบข้ามลำน้ำจินหลง ขึ้นไปหลบซ่อนบนเทือกเขาเทียมเมฆาเป็นจริงหรือเท็จ และครั้งนี้จะมิใช่ส่งหน่วยขนาดเล็กออกปฏิบัติการ ทั้งหมดตัดสินใจส่งกองทหารเข้าโอบล้อมเขาเทียมเมฆา หากเป็นข่าวจริงก็หมายจะล้อมจับพวกมันทั้งหมด ทว่าถ้าเป็นหลุมพรางกับดัก บรรดาแม่ทัพต่างเชื่อว่าด้วยกำลังพลที่ส่งเข้าไป จะอย่างไรก็ยังเหนือกว่าฝ่ายตรงข้ามอักโข”
บุรุษหนุ่มแค่นเสียงในลำคออีกครั้ง เอ่ยถามเสียงราบเรียบ
“ท่านแม่ทัพเย่ซือป้ายคิดเห็นอย่างไร”
นางทอดถอนใจ กล่าวว่า
“บิดาไม่เห็นด้วยกับแผนนี้ เพราะหากฝ่ายตรงข้ามวางกับดักหลุมพรางไว้ ไม่มีหลักประกันอันใดว่ากองกำลังขนาดใหญ่จะมีเปรียบในสถานการณ์เช่นนั้น ยิ่งส่งกองกำลังเข้าไปมากการสูญเสียจะเพิ่มเป็นทวีคูณ แต่ในเมื่อทั้งหมดเห็นตรงกัน บิดาย่อมไม่อาจคัดค้านได้”
น้ำเสียงนางแฝงแววเด็ดเดี่ยว ความทระนงมั่นใจเปี่ยมล้น
“ข้าพเจ้าจะไม่ยอมสูญเสียทหารเพราะแผนการเช่นนี้! ขอเพียงมีเบาะแสเล็กน้อย ข้าพเจ้าต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าข่าวสารชิ้นนี้จริงหรือเท็จ และมันผู้ใดเป็นไส้ศึกขายพวกเราให้เฉินเทียนหราน!”
บุรุษหนุ่มรับฟังจบสิ้น คล้ายเงียบงันไปครู่ น้ำเสียงที่เอ่ยขึ้นอีกครั้ง แปรเปลี่ยนอ่อนโยนลงเล็กน้อย
“ใกล้ถึงที่หมายแล้ว...เบื้องหน้าคือบึงภูตจันทรา ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยบ่อโคลนดูดท่านระวังให้ดี วางตำแหน่งเท้าให้ตรงกับข้าพเจ้า อย่าออกนอกเส้นทางเด็ดขาด”
นางรับคำอืม เขม้นมองเท้าหานอี้ซินไม่วางตา ใช้วิชาตัวเบาโลดแล่นแผ่วพลิ้วประชิดติดตาม รอบตัวยามนี้โอบล้อมด้วยพงหญ้าสูงท่วมศีรษะ ไอชื้นแฉะผสานกลิ่นเหม็นเน่าของซากทับถม โชยคละคลุ้งจากบึงใหญ่เบื้องหน้า กระแสอากาศคล้ายแปรเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งในฉับพลัน ลมหายใจเข้าออกแต่ละครั้งเริ่มอึดอัดคับข้อง บาดแผลที่ไหล่ยิ่งปวดแปลบกว่าเดิม
ยามราตรีเช่นนี้แทบไม่อาจแยกแยะได้ว่า จุดใดเป็นพื้นดินตรงไหนเป็นผิวน้ำ ยิ่งไม่อาจบอกได้บริเวณใดเป็นบ่อโคลนดูด ผืนน้ำผืนฟ้าดั่งกลืนหายเป็นหนึ่งเดียวกับห้วงรัตติกาล สรรพสำเนียงทั้งมวลล้วนหยุดนิ่งสงัดงัน ราวกำลังย่างก้าวเข้าสู่ดินแดนทมิฬอันปราศจากซึ่งสิ่งมีชีวิต
ฉับพลัน หานอี้ซินหันมากระซิบว่า
“ลึกเข้าไปเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ โดยรอบเป็นดงไม้หนาทึบ พวกเราอาจถูกซุ่มโจมตีหากเข้าไปใกล้กว่านี้ เช่นนี้เถอะ...ไปหลบบนต้นไม้ใหญ่ก่อน ศึกษาสภาพพื้นที่รอดูสถานการณ์ ค่อยหาวิธีเข้าไปภายใน”
สิ้นประโยค พลิ้วร่างขึ้นบนต้นไม้ใหญ่ด้านข้าง
นางพยักหน้ารับคำ ทะยานร่างตามขึ้นไป หันไปกระซิบถาม
“เถียนฟู่โหย่วหลบซ่อนอยู่ที่ไหน”
ลิขิตรักธารามังกร บทที่ 3. กับดักในราตรี
หานอี้ซินโผพุ่งร่าง ใช้วิชาตัวเบาดุจเหินบิน โลดละลิ่วนำทางอยู่เบื้องหน้า นางพยายามเร่งฝีเท้าเต็มที่ตามติดกระชั้นชิด ด้วยรู้ดีว่าบุรุษหนุ่มผ่อนฝีเท้ารั้งรอให้นางติดตามทัน บาดแผลที่ไหล่แม้ทุเลาดีขึ้นด้วยยาของหานอี้ซิน ทว่ายามนี้กลับเริ่มปวดแปลบเป็นระยะ
เกือบสองชั่วยามแล้วนับจากออกเดินทาง ทั้งนางและบุรุษร่างใหญ่ต่างแต่งชุดดำปกปิดหน้าตา หานอี้ซินมิได้บอกจุดหมายปลายทาง หากนำทางผ่านขุนเขาแมกไม้อย่างชำนาญ ราวคุ้นเคยพื้นที่แถบนี้กระจ่างดุจฝ่ามือตนเอง
แม้นางไม่มีโอกาสได้ออกนอกเมืองบ่อยครั้ง ซ้ำไม่คุ้นเคยกับพื้นที่ละแวกนี้ แต่ถ้ายึดแนวเทือกเขาเจ็ดดารา อันมียอดเขาเทพธิดาตระการโดดเด่นเป็นหลัก ทางเหนือของยอดเขาคือทะเลสาบมังกรสวรรค์ ทางตะวันออกคือเส้นทางถนนซึ่งนางใช้ควบม้าออกจากเมืองหนานสุ่ย ทั้งยังเชื่อมต่อแม่น้ำซึ่งเป็นแขนงของลำน้ำจินหลง คืนก่อนนางถูกซุ่มจู่โจมที่แม่น้ำสายนี้เอง
ทิศที่หานอี้ซินมุ่งหน้าตรงไปคือทางตะวันตกของเทือกเขาเจ็ดดารา
นางจำได้ว่าในแผนที่ระบุไว้ บริเวณนั้นเป็นที่ลุ่มชื้นแฉะเรียกว่าบึงภูตจันทรา เนื่องเพราะพื้นที่แถบนั้นมีสภาพลาดต่ำ แม่น้ำแขนงสาขาต่างๆ ของลำน้ำจินหลงจึงเอ่อเข้าท่วมขังตลอดชั่วนาตาปี ไม่สามารถเพาะปลูกทำเกษตรกรรมหรือพักอาศัยอยู่ได้ พื้นที่กว้างไพศาลทั้งหมดกลายสภาพเป็นบึงใหญ่น้อยสุดคณานับ ทั้งมีบ่อโคลนดูดลึกสุดหยั่งกระจายอยู่ทั่วไป
เถียนฟู่โหย่วหลบซ่อนอยู่ในบึงภูตจันทราหรือ...
สถานที่เช่นนั้นใช้หลบซ่อนตัวได้อย่างไร...
นางครุ่นคิดถึงตรงนี้ยิ่งขุ่นเคืองหานอี้ซิน ก่อนออกเดินทางไม่ว่าซักไซ้สอบถามอย่างไร บุรุษร่างใหญ่ไม่ยอมปริปากบอกว่าเถียนฟู่โหย่วอยู่ที่ไหนกันแน่ เพียงบอกจะนำทางไปเอง นางพยายามสอบถามว่าได้ข่าวจากไหนเชื่อถือได้หรือไม่ หานอี้ซินกลับกล่าวว่าหากไม่เชื่อถือก็ไม่ต้องตามมา
น่าแค้นใจนัก...ไม่มีใครกล้าอวดดีกับนางเช่นนี้มาก่อน ซ้ำขณะนั่งรับประทานมื้อเย็นก่อนออกเดินทางยังมีเรื่องน่าขุ่นเคืองเกิดขึ้นอีก!
มื้อเย็นก่อนพลบค่ำยังคงเป็นอาหารพื้นเพ หานอี้ซินจับปลาจากลำธารหลังบ้านหลายตัว เก็บเห็ดกับหน่อไม้จากในป่า ทั้งหมดถูกปรุงเป็นปลาเผาหอมกรุ่น น้ำแกงปลาต้มกับเห็ดและหน่อไม้ ข้าวหอมกรุ่นพูนชามยังคงเป็นข้าวหอมเซียงเซียง
เพราะความอ่อนเพลียนางจึงหลับใหลครึ่งค่อนวัน ตื่นขึ้นหานอี้ซินก็ตั้งโต๊ะอาหารมื้อเย็นแล้ว นางลงมือรับประทานโดยไม่เกรงใจ มิแน่ว่าก่อนเที่ยงวันพรุ่งอาจไม่มีอาหารตกถึงท้องอีก หรือหากภารกิจคืนนี้ล้มเหลว นี่คงเป็นอาหารมื้อสุดท้ายของนาง...
จะอย่างไรรับประทานข้าวเซียงเซียงเป็นมื้อสุดท้ายก็นับว่าไม่เลว...
รับประทานเสร็จสิ้น นางอดไม่ได้ต้องเอ่ยถามอีกครั้ง
“ท่านนำข้าวเซียงเซียงเป็นเสบียงด้วยทุกครั้งหรือ”
หานอี้ซินยังก้มหน้าก้มตารับประทาน กล่าวตอบเพียง
“บอกแล้วว่าข้าพเจ้าไม่คุ้นกับข้าวภาคใต้”
นางยังอดมิได้ต้องเอ่ยถามต่อ
“ท่าน...เหตุใดจึงปรุงอาหารเชี่ยวชาญนัก”
หานอี้ซินส่ายหน้า ท่าทางเบื่อหน่ายรำคาญ ตัดบทตอบว่า
“บอกท่านแล้วว่าข้าพเจ้าเป็นพ่อครัว”
นางบันดาลโทสะ แทบจะขว้างชามข้าวใส่หน้าหานอี้ซินอีกครั้ง คนผู้นี้ช่างเฉไฉยอกย้อนยิ่งนัก หากไม่คิดตอบคำถามใด สอบถามเท่าไหร่ก็ไม่เปิดปากบอกความจริง
นางมองรอยแผลเป็นบนใบหน้า แล้วเอ่ยถามว่า
“หลังเหตุการณ์ช่องเขาประตูสวรรค์...ท่านไปหลบซ่อนอยู่ที่ใด”
“ผู้ภักดีต่อท่านแม่ทัพจูกัดจิ้นมีอยู่มากมาย สหายเหล่านั้นช่วยชีวิตข้าพเจ้าไว้”
นางนิ่งไปครู่หนึ่ง ค่อยเอ่ยถามต่อ
“ห้าปีนี้...ท่านเพียงคิดแก้แค้นหรือ...”
หานอี้ซินแค่นเสียงเฮอะ กล่าวว่า
“ถูกต้อง! ศึกสงครามแก่งแย่งชิงดินแดนอันใด ไม่อยู่ในความสนใจของข้าพเจ้าอีกแล้ว...”
จู่ๆ น้ำเสียงบุรุษร่างใหญ่แปรเปลี่ยนคล้ายเยาะหยัน
“แล้วฝ่ายท่านเป็นอย่างไร...ที่สุดสถานการณ์โดยรวมกลับไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง...”
บุรุษหนุ่มหยุดทอดถอนใจ เสียงทุ้มหนักเจือแววหดหู่
“หลังท่านแม่ทัพจูกัดจิ้นถูกประหาร พวกท่านเร่งระดมพลบุกขึ้นเหนือ คิดใช้ช่วงเวลาขณะกองทัพของเรากำลังระส่ำระสายชิงความได้เปรียบ แม้ในตอนแรกคล้ายจะประสบความสำเร็จ เกือบยึดเมืองเป่ยสุ่ยคืนได้ แต่แล้วท้ายสุดพวกท่านก็ล้มเหลว…”
นางนิ่งอึ้ง ข้าวหอมนุ่มละมุนกลับฝืดคอขึ้นทันที เนื่องเพราะสิ่งที่หานอี้ซินกล่าวล้วนถูกต้อง...
หลังได้ข่าวแน่ชัดว่าจูกัดจิ้นถูกประหาร ท่านแม่ทัพใหญ่เย่ซือป้ายเรียกระดมพลครั้งใหญ่ สั่งยกกองทัพทั้งหมดบุกขึ้นเหนือ ระยะแรกของการศึกใช้เวลาไม่นานก็สามารถล้อมเป่ยสุ่ยได้ หากยึดได้เป่ยสุ่ยด้วยชัยภูมิที่ดีย่อมสามารถรุกต่อเนื่องบุกยึดดินแดนลุ่มน้ำลู่หลง อันเป็นที่ราบกว้างใหญ่ตอนกลางของมหาอาณาจักร และหากกระทำสำเร็จโอกาสที่จะชิงแผ่นดินทั้งหมดคืนก็มิใช่ความฝันอีกต่อไป
ทว่าในยามจวนเจียนจะตีเป่ยสุ่ยแตก ฝ่ายกบฏกลับปรากฏแม่ทัพหนุ่มผู้หนึ่งนาม ‘หวังซิงเหอ’
หน่วยข่าวรวบรวมข้อมูลได้ความว่า หวังซิงเหอเดิมเป็นราชองครักษ์ของเฉินเทียนหราน ในยามคับขันเกือบเสียเป่ยสุ่ย หวังซิงเหออาสานำกองทัพจากเมืองหลวง ยกออกไปช่วยคลายวงล้อมกู้เมืองยุทธศาสตร์สำคัญกลับคืน
เพียงเริ่มศึกชิงเป่ยสุ่ย หวังซิงเหอก็แสดงความสามารถอันโดดเด่น แม่ทัพหนุ่มวางแผนการรบมิได้ด้อยไปกว่าแม่ทัพใหญ่เย่ซือป้าย หลังต้านยันช่วงชิงความได้เปรียบอยู่หลายต่อหลายครั้ง ที่สุดหวังซิงเหอใช้ทัพพิสดาร วางแผนเหนือคาดหมายแก้วงล้อมให้เป่ยสุ่ยได้สำเร็จ
หวังซิงเหอดำเนินแผนต่อเนื่อง ด้านหนึ่งเสริมกำลังปกป้องเป่ยสุ่ยจนแข็งแกร่ง อีกด้านส่งหน่วยจรยุทธ์ลอบตัดเสบียง ทำลายเส้นทางส่งอาวุธยุทโธปกรณ์อย่างได้ผล การศึกยืดเยื้อเหล่าทหารเริ่มขาดแคลนทั้งเสบียงและอาวุธ ที่สุดแม่ทัพใหญ่เย่ซือป้ายจำต้องถอยทัพข้ามลำน้ำจินหลงกลับสู่หนานสุ่ย
ศึกชิงเป่ยสุ่ยครั้งนั้น ไม่มีผู้ใดได้เปรียบกว่าใคร ไม่มีผู้แพ้ ไม่มีผู้ชนะ...
มีเพียงซากศพทหารนับหมื่นของทั้งสองฝ่าย ทิ้งร่างไร้วิญญาณเป็นประจักษ์พยานแห่งสงคราม...
หวังซิงเหอสามารถรักษาเมืองเป่ยสุ่ยไว้ได้ เฉินเทียนหรานย่อมปีติยินดียิ่ง ปูนบำเหน็จแต่งตั้งแม่ทัพหนุ่มขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่สยบทักษิณ ถืออำนาจบัญชาการทหารแทบเทียบเท่าจูกัดจิ้นในอดีต
หลังศึกครานั้น สงครามกลับมาสู่สภาพต้านยันกันอีกครั้ง แม่ทัพใหญ่เย่ซือป้ายไม่อาจยกทัพบุกขึ้นเหนือได้อีก แต่หวังซิงเหอก็ไม่สามารถยกทัพข้ามลำน้ำจินหลงรุกลงมาได้
นางทอดถอนใจ...กำจัดจูกัดจิ้นได้แล้วอย่างไร...
หากกำจัดหวังซิงเหอได้...จะไม่มีแม่ทัพผู้สามารถขึ้นมาแทนหรือ...
หรือความหวังที่จะรวมมหาอาณาจักรเทียนหมิงเป็นเพียงความฝัน...
ทันใด เสียงทุ้มหนักของหานอี้ซิน ดึงนางกลับจากภวังค์ห้วงความคิด สู่รัตติกาลอันมืดมิดเบื้องหน้า
“เรื่องที่ท่านเดินทางออกจากหนานสุ่ยมีใครรู้บ้าง” บุรุษหนุ่มเอ่ยถามโดยมิได้หยุดยั้งชะลอฝีเท้า
คำถามของบุรุษร่างใหญ่แทบทำให้นางหยุดชะงัก ทว่าสัมปชัญญะยังสั่งการให้ละลิ่วร่างตามติดหานอี้ซิน นางย่อมเข้าใจความหมายในคำถามของบุรุษเบื้องหน้า
ในกองทัพเมื่อมีไส้ศึกเรื่องที่นางออกจากหนานสุ่ย ทั้งที่ควรจะเป็นความลับก็จะมิใช่ความลับอีกต่อไป!
น้ำเสียงเคร่งขรึมของหานอี้ซิน เอ่ยอีกประโยค
“นักฆ่ากลุ่มนั้นดักรอจู่โจมท่านระหว่างเดินทางใช่หรือไม่”
ยามนี้นางเอ่ยตอบน้ำเสียงเครียด เริ่มได้คิดแล้วว่านี่เป็นเรื่องราวใด แต่ยังย้อนถามบุรุษหนุ่มกลับว่า
“ท่านคาดเดาเรื่องราวได้แต่แรก...อย่างนั้นเหตุใดไม่บอกข้าพเจ้าแต่แรก!”
หานอี้ซินหัวร่อเบาๆ ในลำคอ กล่าวว่า
“บอกท่านแล้วมีประโยชน์อันใด เฮอะ ธิดาแม่ทัพไหนเลยออกมาสืบหาไส้ศึกด้วยตัวเอง นอกเสียจากท่านจะได้ข่าวที่เชื่อถือได้บางอย่างทำให้มั่นใจว่า การออกนอกเมืองครั้งนี้จะจับตัวไส้ศึกได้ ทว่าข่าวที่ท่านได้รับก็เป็นเพียงข่าวลวงอีกชิ้นหนึ่ง ท่านคิดเพียงจะหาตัวไส้ศึกให้ได้ ไม่ได้เฉลียวใจเลยว่าตัวเองเข้าสู่หลุมพรางของศัตรูแล้ว!”
นางกัดฟันกรอด นอกจากบิดาใครเลยจะกล้าวิพากษ์นางเยี่ยงนี้!
กระนั้นยามนี้นางได้แต่นิ่งงัน เนื่องเพราะไม่อาจหาอันใดมาโต้แย้งได้...
นางผลุนผลันออกจากหนานสุ่ยด้วยความร้อนใจ หมายมั่นปั้นมือต้องเปิดโปงผู้เป็นไส้ศึกให้ได้ มิคาด เพียงพ้นจากเส้นทางถนนสายหลัก มุ่งหน้าตะวันตกสู่หนึ่งในแขนงสาขาของลำน้ำจินหลง กลับถูกซุ่มโจมตีไล่ล่ากระทั่งไปพบกับหานอี้ซินกลางลำน้ำ
บุรุษร่างใหญ่ยังกล่าวต่ออย่างเฉื่อยชา
“ข้าพเจ้าไม่คิดจะคุยเรื่องนี้กับท่านก่อนออกเดินทาง เพราะถึงอย่างไรแผนการคืนนี้ก็ไม่เปลี่ยนแปลง พวกเราต้องตามหาตัวเถียนฟู่โหย่วให้ได้ ข้าพเจ้าเชื่อว่าเงื่อนปมทั้งหมดอยู่ที่คนผู้นี้ แต่ที่ต้องกล่าวเรื่องนี้ขึ้นเพราะต้องการให้ท่านระวังตัวให้มาก...”
น้ำเสียงหานอี้ซินยิ่งกล่าวยิ่งจริงจังเคร่งเครียด
“บรรดาสายลับ เหล่ามือสังหารของเฉินเทียนหรานซึ่งแฝงตัวอยู่ทางฝั่งนี้ ย่อมทราบข่าวว่าท่านออกจากหนานสุ่ยเพียงลำพัง ทั้งหมดคงกำลังติดตามไล่ล่าจับกุมตัวท่าน สถานการณ์ของท่านล่อแหลมอันตรายยิ่ง หากถึงคราวคับขันไม่ต้องสนใจเรื่องอื่นใด หนีเอาตัวรอดอย่าให้ถูกจับกุมได้อย่างเด็ดขาด”
นางยิ่งรับฟัง ยิ่งตระหนักถึงอันตรายที่มิได้คาดคิดมาก่อน ยามนี้ได้แต่รับคำแผ่วเบา
“ข้าพเจ้าจะระวังตัวให้มาก…แต่ขอให้ท่านทราบไว้ หากต้องตัดสินใจอีกครั้ง ข้าพเจ้ายังคงตัดสินใจเช่นเดิม...”
บุรุษร่างใหญ่แค่นเสียง ราวเบื่อหน่ายความดื้นรั้นของนางเต็มที
นางกล่าวต่อ ไม่สนใจสุ้มเสียงเช่นนั้น
“เหล่าแม่ทัพตัดสินใจต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า ข่าวหน่วยจู่โจมของหวังซิงเหอลักลอบข้ามลำน้ำจินหลง ขึ้นไปหลบซ่อนบนเทือกเขาเทียมเมฆาเป็นจริงหรือเท็จ และครั้งนี้จะมิใช่ส่งหน่วยขนาดเล็กออกปฏิบัติการ ทั้งหมดตัดสินใจส่งกองทหารเข้าโอบล้อมเขาเทียมเมฆา หากเป็นข่าวจริงก็หมายจะล้อมจับพวกมันทั้งหมด ทว่าถ้าเป็นหลุมพรางกับดัก บรรดาแม่ทัพต่างเชื่อว่าด้วยกำลังพลที่ส่งเข้าไป จะอย่างไรก็ยังเหนือกว่าฝ่ายตรงข้ามอักโข”
บุรุษหนุ่มแค่นเสียงในลำคออีกครั้ง เอ่ยถามเสียงราบเรียบ
“ท่านแม่ทัพเย่ซือป้ายคิดเห็นอย่างไร”
นางทอดถอนใจ กล่าวว่า
“บิดาไม่เห็นด้วยกับแผนนี้ เพราะหากฝ่ายตรงข้ามวางกับดักหลุมพรางไว้ ไม่มีหลักประกันอันใดว่ากองกำลังขนาดใหญ่จะมีเปรียบในสถานการณ์เช่นนั้น ยิ่งส่งกองกำลังเข้าไปมากการสูญเสียจะเพิ่มเป็นทวีคูณ แต่ในเมื่อทั้งหมดเห็นตรงกัน บิดาย่อมไม่อาจคัดค้านได้”
น้ำเสียงนางแฝงแววเด็ดเดี่ยว ความทระนงมั่นใจเปี่ยมล้น
“ข้าพเจ้าจะไม่ยอมสูญเสียทหารเพราะแผนการเช่นนี้! ขอเพียงมีเบาะแสเล็กน้อย ข้าพเจ้าต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าข่าวสารชิ้นนี้จริงหรือเท็จ และมันผู้ใดเป็นไส้ศึกขายพวกเราให้เฉินเทียนหราน!”
บุรุษหนุ่มรับฟังจบสิ้น คล้ายเงียบงันไปครู่ น้ำเสียงที่เอ่ยขึ้นอีกครั้ง แปรเปลี่ยนอ่อนโยนลงเล็กน้อย
“ใกล้ถึงที่หมายแล้ว...เบื้องหน้าคือบึงภูตจันทรา ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยบ่อโคลนดูดท่านระวังให้ดี วางตำแหน่งเท้าให้ตรงกับข้าพเจ้า อย่าออกนอกเส้นทางเด็ดขาด”
นางรับคำอืม เขม้นมองเท้าหานอี้ซินไม่วางตา ใช้วิชาตัวเบาโลดแล่นแผ่วพลิ้วประชิดติดตาม รอบตัวยามนี้โอบล้อมด้วยพงหญ้าสูงท่วมศีรษะ ไอชื้นแฉะผสานกลิ่นเหม็นเน่าของซากทับถม โชยคละคลุ้งจากบึงใหญ่เบื้องหน้า กระแสอากาศคล้ายแปรเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งในฉับพลัน ลมหายใจเข้าออกแต่ละครั้งเริ่มอึดอัดคับข้อง บาดแผลที่ไหล่ยิ่งปวดแปลบกว่าเดิม
ยามราตรีเช่นนี้แทบไม่อาจแยกแยะได้ว่า จุดใดเป็นพื้นดินตรงไหนเป็นผิวน้ำ ยิ่งไม่อาจบอกได้บริเวณใดเป็นบ่อโคลนดูด ผืนน้ำผืนฟ้าดั่งกลืนหายเป็นหนึ่งเดียวกับห้วงรัตติกาล สรรพสำเนียงทั้งมวลล้วนหยุดนิ่งสงัดงัน ราวกำลังย่างก้าวเข้าสู่ดินแดนทมิฬอันปราศจากซึ่งสิ่งมีชีวิต
ฉับพลัน หานอี้ซินหันมากระซิบว่า
“ลึกเข้าไปเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ โดยรอบเป็นดงไม้หนาทึบ พวกเราอาจถูกซุ่มโจมตีหากเข้าไปใกล้กว่านี้ เช่นนี้เถอะ...ไปหลบบนต้นไม้ใหญ่ก่อน ศึกษาสภาพพื้นที่รอดูสถานการณ์ ค่อยหาวิธีเข้าไปภายใน”
สิ้นประโยค พลิ้วร่างขึ้นบนต้นไม้ใหญ่ด้านข้าง
นางพยักหน้ารับคำ ทะยานร่างตามขึ้นไป หันไปกระซิบถาม
“เถียนฟู่โหย่วหลบซ่อนอยู่ที่ไหน”