[Spoil รับปีใหม่ 2013] Spirit Circle #8 - ความยุติธรรมของกฎแห่งกรรม...

กระทู้สนทนา
กระทู้แรกรับปีใหม่ 2013 ครับ สวัสดีปีใหม่ทุกท่านน่อครับ อมยิ้ม01


หลังจากเขียนรีวิวชุดใหญ่ของเรื่องนี้ไปเมื่อครั้งก่อน ครั้งนี้เลยลองเขียนเนื้อเรื่องตอน 8 ดูเล่นๆ หลังจากอ่านดิบจบครับ เพราะรู้สึกว่าอ่านแล้วมีอะไรให้น่าพูดถึงเยอะจริงๆ สำหรับตอนนี้ (และเป็นที่มาของคำพาดหัวกระทู้ที่ฟังดูค่อนข้างแรงและน่ากลัวสำหรับบางท่านหรือหลายๆ ท่านไปสักนิดด้วยเช่นกัน)

ซึ่งจะเป็นยังไงนั้น ลองไปติดตามชมเนื้อเรื่องคร่าวๆ ของตอนนี้กันได้เลยครับ อมยิ้ม01





เปิดตอนมาต่อจากตอนที่แล้วที่โคโกะเข้ามาถามฟูตะถึง "การตายของอัศวินที่ลงมือสังหารหมอยาที่กำลังทำยาไปรักษาให้หมู่บ้านที่เกิดโรคระบาด" ในวันรุ่งขึ้นหลังจากฟูตะดูอดีตชาติสมัยที่ตนเองเป็นแวนอัศวินหนุ่มจนหมดแล้ว (ซึ่งตัวฟูตะพอได้รู้ว่าหมอยาคนนั้นเป็นหมอยาจริงๆ ไม่ใช่แม่มดอย่างที่ทางโบสถ์กล่าวหาก็ตกใจไม่น้อยเหมือนกัน เพราะจากมุมมองของฟูตะในชาติที่เป็นแวนแล้ว ผู้หญิงที่ตนเองฆ่าไปในวันนั้นเป็นแม่มดที่ใช้วิชาอาคมทำร้ายสาปแช่งผู้คนเท่านั้นเอง)

โดยเมื่อถูกถามดังนั้น ทั้งสองคนก็เลยต้องมาคุยกันหลังเลิกเรียนถึงเรื่องที่ต่างฝ่ายต่างระลึกชาติสมัยเป็นอัศวินกับหมอยาได้ โดยทีแรกโคโกะถามฟูตะถึงเรื่องของหมู่บ้านที่เกิดโรคระบาด (ที่ตัวเองในชาติหมอยากำลังจะทำยาไปให้อยู่) ว่าเป็นอย่างไรบ้างหลังจากนั้น ฟูตะก็ตอบตามตรงว่าตัวเขาไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับหมู่บ้านที่ว่านั่นเลย เพราะหลังจากฆ่าโคโกะในชาติหมอยาไปแล้ว ตัวเขาก็ถูกขับออกจากการเป็นอัศวินเพราะถูกกล่าวหาว่าต้องคำสาปของแม่มด ต้องถูกขับออกจากตระกูล ใช้ชีวิตตกต่ำกลายเป็นไอ้ขี้เหล้าประจำหมู่บ้านห่างไกลไร้ความเจริญใดๆ โคโกะได้ยินดังนั้นแทนที่จะผิดหวังที่ไม่ได้รู้สวัสดิภาพของหมู่บ้านนั้น กลับแย้มยิ้มอย่างยินดีแล้วถามฟูตะด้วยสายตากระหายใคร่รู้จนน่าขนลุกว่า "แล้วหลังจากนั้นเจ้าอัศวินนั่นใช้ชีวิตอย่างน่าทุเรศและพบจุดจบอย่างน่าทุเรศแบบไหน เล่าให้ฟังหน่อยได้มั้ย"




ทว่าเรื่องราวของแวนจากปากฟูตะนั้นกลับผิดความคาดหมายของฟูโกะไปโดยสิ้นเชิง เพราะแม้จะใช้ชีวิตอย่างลำบากยากแค้นอันเป็นธรรมดาของสามัญชนคนหลักลอยไม่มีงานมีการทำในยุคนั้น แต่แวนก็มีความสุขมาก เนื่องจากมีทั้งเพื่อนสนิทรู้ใจให้คอยฝากผีฝากไข้ (ฝากมายันชาติปัจจุบันเลย) ทั้งลูกสาวคนละสายเลือดเป็นดั่งน้ำทิพย์ชโลมใจ กระทั่งช่วงสุดท้ายของชีวิตก็ยังสิ้นชีวิตไปอย่างสงบ ไม่ทรมานทุรนทุรายถูกคนโน้นหลอกคนนี้หลอนอย่างที่คนบาปหนา (ในความคิดของโคโกะ) ควรจะเป็นเลย

ได้ยินดังนั้น โคโกะก็รู้สึกไม่พอใจอย่างมาก เลยจัดการยกฝ่าเท้าขึ้นลูบหน้าของฟูตะระบายความแค้นเข้าเปรี้ยงใหญ่ อีสต์เข้ามาปรามก็ย้อนเอาแบบไม่สำนึกผิดเลยซักนิดอีกว่าหมอนี่ควรจะหัดจดจำและสำเหนียกถึงเรื่องที่ตัวเองเคยทำมาซะบ้าง ฟูตะได้ยินดังนั้นก็พยายามบอกกับโคโกะว่าตัวเขาไม่ใช่แวนซักหน่อย เลยเจอโคโกะย้อนเอาว่า "จะฟอน จะแวน หรือจะฟอร์จูน่า (ฟูตะในชาติที่มีอีสต์อยู่ด้วย) มันก็คนเดียวกันทั้งนั้นแหละ"




ได้ยินโคโกะด่าตัวเองฉอดๆ อยู่ฝ่ายเดียวดังนั้น ฟูตะก็ชักฉิวขึ้นมาบ้าง เลยด่าสวนว่า ทีโคโกะในชาติที่เป็นหัวหน้านักบวชสโตน่าเองก็เคยฆ่าเรย์กับตัวเองสมัยเป็นฟอนมาแล้วเหมือนกันไม่ใช่เหรอ แล้วยังจะมาพูดหาว่าเขาเป็นคนผิดอยู่ฝ่ายเดียวได้ยังไงกัน

"คนที่ต้องการให้มีพิธีบูชายัญแต่แรกน่ะ ก็คือคนในหมู่บ้านทุกคนน่ะแหละ" โคโกะตวาดสวนออกไป "โรคระบาด ภัยพิบัติ ผลผลิตย่ำแย่ พวกนั้นหวาดกลัวไม่พอใจต่อสิ่งเหล่านั้น ก็เลยกล่าวโทษหาว่าเป็นเพราะคนที่ตัวเองเกลียดและจับคนเหล่านั้นฆ่าเสียจนกลายเป็นประเพณีไป จนต้องมีคนที่ทำหน้าที่สกปรกพวกนั้นอย่าางนักบวชเกิดขึ้นมายังไงล่ะ"

คำพูดของโคโกะทำเอาฟูตะถึงแก่นิ่งอึ้ง ไม่มีปัญญาพูดอะไรออกแม้แต่คำเดียว ได้แต่ปล่อยให้โคโกะจาระไนความจริงให้ฟังต่อไป

"เพื่อรักษาเกียรติของผู้ถูกบูชายัญ นักบวชจึงต้องเชิดชูให้ผู้ถูกบูชายัญแต่ละคนได้เป็นนักบุญ และเพื่อไม่ให้พิธีบูชายัญกลายเป็นแค่ศาลเตี้ยที่จัดขึ้นแค่เพื่อเอาคนที่ถูกผู้คนเกลียดชังมาฆ่าได้ไม่เลือกหน้า พวกเรานักบวชจึงจัดให้มีการคัดเลือกผู้ถูกบูชายัญแบบสุ่มโดยบอกว่าเป็นคำทำนายของเทพเจ้า ในบันทึกของตระกูลนักบวชมีบันทึกไว้แบบนั้น!!"




แม้จะโดนใส่พรวดๆ เอาแบบนั้น แต่ฟูตะ (ที่โดนความรู้สึกของฟอนครอบงำไปบางส่วน) ก็ยังแย้งอย่างไม่ยอมแพ้ว่า ถ้ารู้ว่ามันผิด ก็ยกเลิกพิธีบูชายัญไปซะเลยสิ ความทรงจำของสโตน่าในร่างโคโกะก็ตอบว่า เคยมีนักบวชคิดทำแบบนั้นมาแล้ว และผลก็คือนักบวชคนนั้นถูกกล่าวหาว่าโดนปีศาจร้ายสิงสู่และถูกเผาทั้งเป็นจนตาย "พวกนั้นกลายเป็นพวกที่หากไม่มีการบูชายัญก็จะเลิกหวาดกลัวไม่ได้อีกต่อไปแล้ว"

อธิบายจบ ความทรงจำของสโตน่าก็ถามความทรงจำของฟอนว่า ตอนนั้นทำไมถึงเข้ามาขัดขวางพิธีบูชายัญทั้งๆ ที่ไม่ได้เข้าใจอะไรเลยแท้ๆ ความทรงจำของฟอนก็ตอบว่า เพราะตัวเองคุยกับวิญญาณได้เลยรู้น่ะสิว่าไอ้ที่พูดกันปาวๆ ว่าบูชายัญแล้วจะทำให้เทพเจ้า ให้ดวงวิญญาณ ให้ผืนดินพึงพอใจน่ะยิ้มทั้งเพ

คราวนี้เป็นฝ่ายโคโกะที่นิ่่งอึ้งไปบ้าง เพราะเป็นครั้งแรกที่ตัวเธอรู้ถึงสาเหตุที่แท้จริงที่ฟอนบุกพิธีบูชายัญ และพึมพำออกมาว่า "เพราะอิทธิพลของชาติที่เป็นฟอร์จูน่าเลยมองเห็นวิญญาณได้งั้นเหรอ สโตน่าเองก็มองเห็นวิญญาณได้เหมือนกัน จึงได้รับอนุญาตให้อ่านบันทึกประวัติศาสตร์ของนักบวชได้"

ฟูตะเองได้ยินดังนั้นก็ตะลึงไปเหมือนกัน เพราะได้รู้เป็นครั้งแรกเหมือนกันว่าสโตน่าเองก็มองเห็นวิญญาณได้เช่นเดียวกับฟอน เขาตัดสินใจถามโคโกะถึงอดีตชาติสมัยที่เธอเป็นสโตน่า ว่าหลังจากที่ได้ฆ่าเขากับเรย์ในแท่นพิธีวันนั้นแล้ว ชีวิตของสโตน่าหลังจากนั้นเป็นอย่างไรบ้าง

โคโกะเงียบไปครู่หนึ่งก็ตัดสินใจเล่าเรื่องท้้งหมดของสโตน่าหลังจากนั้นให้ฟัง โดยหลังจากที่ตัดคอฟอนคาแท่นบูชาไปเรียบร้อยแล้ว พวกชาวบ้านที่เข้าร่วมพิธีก็ออกอาการหวั่นไหวขึ้นมาทันควันเพราะนึกว่าการขัดขวางของฟอนทำให้พิธีกรรมไม่สมบูรณ์แล้ว สโตน่าเห็นชาวบ้านเริ่มมีทีท่าสงสัยหวาดกลัวก็รีบประกาศปลุกใจชาวบ้านบอกว่าพิธีกรรมได้เสร็จสิ้นลงแล้ว เทพเจ้า ดวงวิญญาณ และผืนดินได้รับบรรณาการจากนักบุญแล้ว และเนื่องจากพิธีบูชายัญครั้งนี้มีผู้สังเวยชีวิต ณ แท่นพิธีถึงสองคน ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องจัดพิธีต่อไปอีก 16 ปี (พิธีบูชายัญจะจัดทุก 8 ปี)

แต่ไม่ว่าจะปลุกใจอย่างไร ชาวบ้านก็ไม่หายเคลือบแคลงเสียที ความกังวลของชาวบ้านคนอื่นๆ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งผู้อาวุโสของหมู่บ้านไม่อาจเพิกเฉยได้ และลงมติให้มีการทำพิธีบูชายัญขึ้นใหม่อีกครั้ง สโตน่ารู้ข่าวเข้าก็ออกปากคัดค้านอย่างหนัก เพราะเห็นว่าพิธีกรรมครั้งนี้มีผู้เสียเลือดเสียเนื้อมากเกินพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นมาเสียเลือดเนื้อเพิ่มอีกเป็นคนที่สามเลย แต่สุดท้ายก็ต้องยอมจำนนต่อเหตุผลของสภาผู้อาวุโสที่ถูกพวกชาวบ้านซึ่งหวาดกลัวภัยพิบัติจากพิธีกรรมที่ไม่สมบูรณ์กดดันมาอีกที

"นอกจากนี้ ครอบครัวของผู้ได้รับเกียรติในฐานะนักบุญจะได้รับค่าตอบแทนเป็นจำนวนมากมาย ไม่ว่าใครก็ปรารถนาค่าตอบแทนนั้นด้วยกันทั้งนั้น" คือคำที่หัวหน้าตระกูลนักบวชแอบกระซิบบอกกับสโตน่าภายหลังจากลงมติกันเสร็จสิ้นแล้ว ความเห็นแก่ตัวของบรรดาชาวบ้านสร้างความโกรธแค้นให้กับสโตน่าเป็นอย่างมากจนหัวหน้าตระกูลนักบวชต้องเตือนสติ บอกกับสโตน่าว่าประวัติศาสตร์ที่แท้จริงของพิธีบูชายัญนั้นกระทั่งในตระกูลนักบวชเองก็มีเพียงหัวหน้าตระกูลกับสโตน่าเท่านั้นที่รู้ ดังนั้นจึงเท่ากับว่าผู้คนในหมู่บ้านล้วนแต่เห็นพิธีนี้เป็นพิธีสูงส่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยกันทั้งนั้น นอกจากนี้ยังสะกิดเตือนด้วยว่าตัวสโตน่าเองก็ใช่จะอยู่ในฐานะดีเด่อะไร เพราะอยู่ในฐานะนักบวชผู้ประกอบพิธีมีเกียรติสูงส่ง ดังนั้นจึงมีผู้คนอิจฉาริษยาเป็นจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้เมื่อเกิดเหตุร้ายในขณะที่สโตน่าเป็นผู้ทำพิธีจึงมีหลายคนกล่าวโทษว่าเพราะสโตน่าอนุญาตให้เรย์สวมใส่เครื่องประดับชิ้นอื่นนอกเหนือจากชุดสำหรับเข้าพิธี (รองเท้าที่ฟอนทำให้) ทำให้เทพเจ้าไม่พอใจจนพิธีล่ม และเรียกร้องให้สโตน่าต้องรับผิดชอบต่อความผิดพลาดในครั้งนี้อีกด้วย (ตรงนี้มีการพูดถึงครอบครัวของฟอนด้วยว่าเป็นยังไงบ้าง โดยบอกว่าครอบครัวของฟอนมีแค่พ่อกับฟอนแค่สองคน และพ่อของฟอนก็หายตัวไปก่อนหน้าจะเกิดเหตุร้ายที่แท่นพิธี จึงไม่ถูกลงโทษหรือกล่าวโทษใดๆ แทนลูกชาย)

หลังได้ฟังเรื่องทั้งหมดแล้ว สโตน่าก็นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ๆ ก่อนจะตัดสินใจว่า ตัวเธอจะทำพิธีปัดรังควานและความชั่วร้ายโดยไม่มีการเลือกเหยื่อบูชายัญก่อน แต่หากพวกชาวบ้านยังไม่พอใจละก็ สโตน่าก็จะรับอาสาเป็นเหยื่อบูชายัญในครั้งนี้เอง

"จะให้ฆ่าคนหมู่บ้านเดียวกันหลายๆ คนแบบนี้น่ะฉันทำไม่ได้ค่ะ" คือเหตุผลที่สโตน่าให้กับหัวหน้าตระกูลนักบวชในครั้งนั้น ซึ่งหัวหน้าตระกูลเห็นความมุ่งมั่นของสโตน่าดังนั้นก็ยอมตกปากรับคำแแต่โดยดี




แต่สุดท้ายพิธีบูชายัญครั้งใหม่ก็ไม่เคยเกิดขึ้น การบุกชิงตัวเหยื่อบูชายัญของฟอนกลายเป็นสาเหตุจุดชนวนให้บรรดาผู้ต่อต้านพิธีบูชายัญที่รวมกลุ่มกันอยู่ลับๆ ในหมู่บ้านลุกฮือขึ้น พวกนั้นใช้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับฟอนและเรย์เป็นข้ออ้างกล่าวโทษพิธีบูชายัญ กล่าวโทษบรรดานักบวชและกลุ่มผู้อาวุโสของหมู่บ้านว่าเป็นต้นตอของความชั่วร้าย และปลุกระดมให้คนแข็งข้อไม่ยอมรับพิธีบูชายัญ การลุกฮือรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นเหตุุนองเลือดครั้งใหญ่ระหว่างกลุ่มที่สนับสนุนการบูชายัญและกลุ่มที่ต่อต้านการบูชายัญ

ที่สุด หลังจากต่อสู้กันอย่างรุนแรงจนสูญเสียผู้คนไปมากมาย กลุ่มต่อต้านการบูชายัญก็เป็นฝ่ายชนะ บรรดาผู้อาวุโสของหมู่บ้านและตระกูลนักบวชรวมทั้งสโตน่าจึงถูกประหารจนหมดสิ้น ด้วยวิธีการเดียวกับที่พวกเขาทำกับเหยื่อบูชายัญแต่ละราย ผิดแต่ไม่มีการวางยานอนหลับก่อนลงมีดเพียงเท่านั้น

"ที่น่าตลกที่สุดก็คือ หลังจากฆ่านักบวชทั้งหมดแล้ว พวกนั้นก็เอาเลือดของนักบวชไปถวายให้ที่หลุมศพของผู้กล้าฟอน 'เทพเจ้า' ผู้เปลี่ยนแปลงหมู่บ้านนี้ล่ะรู้มั้ย" เด็กสาวว่าพลางแค่นยิ้มราวกับจะเยาะเย้ยต่อเรื่องราวขัดแย้งทั้งหมดที่เกิดขึ้น "ทั้งที่สุดท้ายแล้ว หมู่บ้านก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยสักนิดเดียวแท้ๆ"




ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดเสร็จ ฟูตะก็ถึงแก่นั่งเซ่ออยู่กับที่ที่ได้รู้ว่าการกระทำของตัวเองกลับสร้างผลสะท้อนทำให้ผู้คนมากมายต้องล้มตาย ได้แต่ปล่อยให้โคโกะเดินจากไปโดยไม่มีปัญญาโต้แย้งหรือตั้งคำถามอะไรแม้แต่อย่างเดียว

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่