มีกลองใหญ่ใบหนึ่ง ชื่อว่า "พุทธทาสเภรี"
กลอง ใบนี้ เขาเอามาแขวนห้อยไว้ กลางลานหมู่บ้าน เพื่อใช้ตี ปลุกผู้คน ให้ตื่นจากหลับไหล เมื่อได้ยินเสียงกลอง และมีการตีอย่างเป็นจังหวะจะโคน ฟังไพเราะ เพื่อให้ผู้คนได้ตื่นลุกขึ้นมาไหว้พระสวดมนต์ หรือสาธยาย บทพระธรรมคำสอน ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
กลองใบนี้ ท่านสมภาร และพระสงฆ์องค์เจ้า และบรรดาปรัชญาเมธี ท่านใช้ตี เพื่อระบือธรรม เพื่อระดมผู้คนให้เข้าถึงธรรม ที่ลึกซึ้ง ที่ใช้ประโยชน์ได้ หาใช่สิ่งเฝือเฟ้อ ที่หาประโยชน์มิได้ แต่ประการใดไม่ และท่านสมภาร พระสงฆ์องคเจ้า ตลอดถึงปวงปรัชญาเมธี ที่ใช้เสียงกลองนี้ "ปลุก" ผู้คน มานมนาน กาเล แล้วด้วยซ้ำ เพียงแต่ท่านเหล่านั้น มิได้ตีพร่ำเพรื่อ...... ท่านตีเป็นจังหวะที่ถูกต้อง ฟังแล้วไพเราะ เสียงโทนทุ้ม นุ่ม ลึก น่าฟัง ก้องกังวาล ไปไกลแสนไกล
แต่บังเอิ๊ญว่า กลองใบนี้ มันถูกแขวนไว้เหนือแท่นบูชาวิญญาณภูติผีปีสาจ ผีพื้นเมืองเดิม และผีที่ชอบสิงร่างผู้อื่น บางชนิด อันเป็นความเชื่อผสมผสาน ระหว่างลัทธิพ่อมดหมอผี ผู้เลื่อมใสในไสยเวทย์เวทางค์ และพุทธศาสนา ในส่วนที่เป็นสิ่ง "นอกแนว นอกแถว" ส่วนหนึ่งด้วย.....
สาวกของพวกภูติผี เหล่านี้ ก็เคืองแค้นมากขึ้นทุกที ที่ได้เห็นกลองใบนี้ หรือได้ยินเสียงกลอง "พุทธทาสเภรี" ใบนี้
ในบรรดาสาวกภูติผีปีศาจนั้น ยังมีเฒ่าชะแร แก่ชรา ขาประจำร่างหนึ่ง ที่เป็นพวก "บ้าหอบฟาง" แกเที่ยวแบก เที่ยวคอน อะไรก็ไม่รู้มากมาย ล้วนเป็นสิ่งไร้สาระ.... แบกอยู่หลังแอ่น จนแก่หลังโกงแล้ว ก็ยังไม่วาง..... ทั้งแบกทั้งคอน สิ่งของไร้สาระเหล่านั้น เดินไปทั่ว...... แกเดินผ่านมาที่ไร ก็ให้รู้สึก ขุ่นเคือง ขัดใจกลองใบนี้ซะเหลือเกิน
เรียกได้ว่า แกเดินผ่านมา เห็นกลองใบนี้ทีไร เป็นอันว่า ต้อง "ของขึ้น" และต้องตี ด้วยความโกรธแค้น ขุ่นเคือง ทุกทีไป
แกมีไม้เป็นท่อน ๆ อยู่สามท่อนด้วยกัน แกแบกคอนอยู่ในถุงกระสอบเก่า ๆ อยู่เป็นประจำ แกก็เอาไม้ท่อนเหล่านั้นออกมา แล้วหวดเข้าไป ...... ตูม ๆๆๆๆๆ ที่กลองใบนั้น ระบายความโกรธเคือง คับแค้น ที่เผาลนอยู่ในใจแกมานานนับสิบ ๆ ปี
ไม้ท่อนคร่ำคร่า ทั้งสามท่อนนั้น ที่แกเอามาทำให้สกปรก ด้วยการลงยันต์ ลงอักขระ ทั้งภาษาขอม ภาษาพม่า ภาษาสิงหล ฯลฯ สุดแท้แต่แกจะเห็นว่ามันขลัง ด้วยความงมงาย ของแกนั่นแหล่ะ... อ่านออกไม่ออก ไม่เกี่ยว ขอให้ขลังเข้าไว้อย่างเดียวเป็นพอ แกว่างั้น....(ที่จริง ไม้เดิม เป็นไม้ชั้นดี แต่พอมาอยู่ในมือแก แกดัดแปลง ซะจนเสียรูป เพราะแกเป็นลูก..ช่างดัดแปลง เป็นนักดัดแปลงมาตั้งแต่ปู่โกฎิโคตรฤษี ของแกโน่นแล้วล่ะ และเปื้อนขี้เหงื่อ ขี้ไคล ที่สกปรกโสโครกจาดเนื้อตัวของแกด้วย จนไม้นั้นแลดูสกปรกไปเลย เมื่ออยู่ในมือแก แถมแกเจาะ แกถาก แกเอาเศษขี้เลื่อยจากไม้กเฬวรากอื่นๆ มาปน จนไม้เนื้อแข็งกลายเป็นไม้ชั้นเลว เป็นพวกไม้อัด ขี้เลื่อยอัดแท่ง ไปซะแล้ว) แล้วก็ตั้งชื่อซะให้สวยหรู ทั้งสามท่อนด้วยว่า
- ไม้โมหาคติ
- ไม้ภยาคติ
- ไม้โทสาคติ
แกก็ใช้ไม้เหล่านี้ หวดไม่ยั้ง หวดทุกทีที่เดินผ่านกลองใบนี้ และแกต้องเดินผ่านบ่อย ๆ มาก เพราะแกต้องมีธุระมากราบไหว้ภูติผี ของแกทุกวัน แกก็ต้องเห็นกลองพุทธทาสเภรีทุกวัน เช่นกัน.......แต่...
การณ์กลับกลายเป็นว่า การหวดด้วยความโกรธแค้นชิงชัง ( เพราะเหตุว่า เงาของกลองพุทธทาสเภรี มาบดบังแท่นบูชาภูติผี ของแก) นั้น.... ยิ่งเป็นการเพิ่มการปลุก จำนวนผู้คนผู้หลับไหล ให้ตื่นจากหลับ ให้ลุกขึ้นมาบูชาพระรัตนตรัย ที่ถูกต้อง มากขึ้น มากขึ้น.... และมากขึ้น
ตีไปเถอะผู้เฒ่าหอบฟาง.....ขอให้ผู้เฒ่าจงตีกลอง พุทธทาสเภรี ต่อไป
แม้ว่าการตีกลองของผู้เฒ่า จะเป็นไปด้วยอคติ ที่กัดกร่อนจิตใจ หมกไหม้ สุมทรวงผู้เฒ่า มานาน นับหลายสิบปีแล้วก็ตาม ก็จงตีเรื่อยไป ตีเรื่อยไป....อย่าได้หยุดเชียว
หากยังมีเรี่ยวแรงตีได้ ก็จงตีไป ตีไปจนถึงแก่มรณกาล ก็จะยิ่งดี เพราะ การตีกลอง ที่ชื่อว่า "พุทธทาสเภรี" นั้น ......ยิ่งตีดังเท่าไหร่ ก็เท่ากับยิ่งระดมผู้คนให้มีปัญญา ยิ่งระบือพุทธธรรมให้กว้างไกล และเสียงกลอง กลับเป็นคุณ ต่อบัวปริ่มน้ำ ต่อบัวเหนือน้ำ มากขึ้นเท่านั้น
แต่.....ที่เห็นอุบาสก อุบาสิกา บางท่าน เขาเดินแวะเข้ามา เอาน้ำร้อนสาดบ้าง เอาน้ำเย็นสาดบ้าง ไปที่ผู้เฒ่านั้น ก็เพื่อให้แกมีสติ และก็เท่ากับ ราดทำความสะอาดพื้นที่ไปด้วย ........ที่เขาเอาน้ำสาด อีกความหมายหนึ่ง ก็เพราะว่า "เขารำคาญคนตีกลอง....เขาไม่ได้รำคาญเสียงกลองเลยนะ"
เพราะการตีกลอง ของเฒ่าหอบฟางรายนี้ ไม่ตีเปล่า แต่แกตีไปด้วย ถ่มน้ำลายเหม็น ๆ ลงบนพื้นแถว ๆ นั้น ให้สกปรกไปด้วย
เขาแค่รำคาญน่ะนะ....ไม่มีอะไรหรอก สาดน้ำซะหน่อย เดี๋ยวก็ดีเอง
ตีไป ผู้เฒ่า จงตีกลองต่อไป อย่าหยุดเชียวนะ........ขอให้ตีไปจนตนเอง ถึงแก่กาลกิริยา (แล้วหอบเอา อุปาทาน หอบเอาวิญญาณ ตามที่ตนเองเชื่อ พาออกจากร่างที่นอนอยู่ในโลง ไปเกิดใหม่ให้ได้ แล้วจงเกิดมาใหม่ เพื่อตีกลอง ใบนี้อีกให้ได้ อีกสักสองสามร้อยชาติ ก็แล้วกัน) หากเป็นแบบนั้นได้ ก็จะดีมาก ๆ เลย นะผู้เฒ่าหอบฟาง
เค้าแค่เอาน้ำเย็นสาด เพื่อให้ตาเฒ่า แกหยุดถ่มน้ำลาย เลอะเทอะพื้นที่ใกล้เคียง ที่เขาห้อยกลองเอาไว้ เท่านั้นเอง ไม่ได้เจาะจงว่าให้หยุดตีกลอง "พุทธทาสเภรี" ดอกนะ อย่าได้เข้าใจผิด
ตีต่อไป ตีต่อไป และจงตีต่อไป...อย่าหยุดซะง่าย ๆ เสียล่ะ
จึงอยากจะเชิญชวนว่า มาช่วยกันตีกลอง ที่ชื่อว่า "พุทธทาสเภรี" กันให้มาก ๆ เถิด ไม่ว่า ผู้ตีผู้นั้น จะเป็นใครก็ตาม....จะเป็นท่านสมภาร เป็นพระสงฆ์องค์เณร เป็นอุบาสกอุบาสิกา ที่ดี หรือแม้แต่ เป็นผู้เฒ่าสติฟั่นเฟือน ที่ตีกลองเพราะความโกรธเคือง คับแค้นใจในกลองใบนั้น ที่บังเอิญว่า เงาของกลอง ไปบดบังแท่นบูชาภูติผีปืสาจ ของแก..ก็ตามที
จงมาช่วยกันตีกลองพุทธทาสเภรี เพื่อระบือพระธรรมของพระพุทธเจ้า ระดมจิตใจของผู้คน ให้มีปัญญา ขจัดเสียซึ่งอวิชชาความมืดเขลา ต่อไป อย่าปล่อยให้คนแก่ฟั่นเฟือน จองสิทธิ์ ตีกลองอยู่แต่เพียงผู้เดียว ผู้อื่นที่ "ตีกลองเป็น" ก็ควรจะได้สิทธิ์ในการตีกลอง และแน่นอน ย่อมตีได้ไพเราะกว่ากันเยอะ
สรุปว่า กลองดี ๆ ยิ่งตียิ่งดัง ไม่ได้เหมือนกลองผุ ๆ พัง ๆ ที่ทำมาจากไม้ผุ ๆ เน่า ๆ ปราศจากแก่นแท้ ไร้ราคา แม้ไม่ตี มันก็ต้องเน่าเปื่อย ผุพังไปเอง หรือไม่มันก็คงจะ .......
..... มีเสียงดังอยู่แค่เฉพาะในบริเวณอาศรม หรือกระท่อม ของพวกพ่อมดหมอผี เท่านั้น.... จะหวังอะไรได้ กับการที่จะออกไปเผยแผ่ ต่อโลกกว้าง ถิ่นไกล......ให้ผู้คนในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลกได้สดับรับฟังการปลุกด้วยเสียงกลองพรรค์อย่างนี้....
ส่วน "พทธทาสเภรี" นั้น มีเสียงดังไปไกลทั่วทุกภูมิภาคของโลกแล้วด้วยซ้ำ....
เฒ่าหอบฟาง ผู้ชะแร แก่ชรายากไร้ น่าสงสารผู้นี้ แกก็ยังคงคับแค้นใจ มัวย่ำกลองอยู่ทั้งเช้าทั้งเพล ด้วยอคติส่วนตัว ของแกอยู่นั่นเอง แต่ถึงจะตีด้วยเหตุผลใด ๆ ก็ตาม แต่สรุปว่า กลองชั้นดี ก็ยัง "ดัง" อยู่นั่นเอง
มาช่วยตีกลอง ที่ชื่อว่า "พุทธทาสเภรี" กันเถิด
มีกลองใหญ่ใบหนึ่ง ชื่อว่า "พุทธทาสเภรี"
กลอง ใบนี้ เขาเอามาแขวนห้อยไว้ กลางลานหมู่บ้าน เพื่อใช้ตี ปลุกผู้คน ให้ตื่นจากหลับไหล เมื่อได้ยินเสียงกลอง และมีการตีอย่างเป็นจังหวะจะโคน ฟังไพเราะ เพื่อให้ผู้คนได้ตื่นลุกขึ้นมาไหว้พระสวดมนต์ หรือสาธยาย บทพระธรรมคำสอน ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
กลองใบนี้ ท่านสมภาร และพระสงฆ์องค์เจ้า และบรรดาปรัชญาเมธี ท่านใช้ตี เพื่อระบือธรรม เพื่อระดมผู้คนให้เข้าถึงธรรม ที่ลึกซึ้ง ที่ใช้ประโยชน์ได้ หาใช่สิ่งเฝือเฟ้อ ที่หาประโยชน์มิได้ แต่ประการใดไม่ และท่านสมภาร พระสงฆ์องคเจ้า ตลอดถึงปวงปรัชญาเมธี ที่ใช้เสียงกลองนี้ "ปลุก" ผู้คน มานมนาน กาเล แล้วด้วยซ้ำ เพียงแต่ท่านเหล่านั้น มิได้ตีพร่ำเพรื่อ...... ท่านตีเป็นจังหวะที่ถูกต้อง ฟังแล้วไพเราะ เสียงโทนทุ้ม นุ่ม ลึก น่าฟัง ก้องกังวาล ไปไกลแสนไกล
แต่บังเอิ๊ญว่า กลองใบนี้ มันถูกแขวนไว้เหนือแท่นบูชาวิญญาณภูติผีปีสาจ ผีพื้นเมืองเดิม และผีที่ชอบสิงร่างผู้อื่น บางชนิด อันเป็นความเชื่อผสมผสาน ระหว่างลัทธิพ่อมดหมอผี ผู้เลื่อมใสในไสยเวทย์เวทางค์ และพุทธศาสนา ในส่วนที่เป็นสิ่ง "นอกแนว นอกแถว" ส่วนหนึ่งด้วย.....
สาวกของพวกภูติผี เหล่านี้ ก็เคืองแค้นมากขึ้นทุกที ที่ได้เห็นกลองใบนี้ หรือได้ยินเสียงกลอง "พุทธทาสเภรี" ใบนี้
ในบรรดาสาวกภูติผีปีศาจนั้น ยังมีเฒ่าชะแร แก่ชรา ขาประจำร่างหนึ่ง ที่เป็นพวก "บ้าหอบฟาง" แกเที่ยวแบก เที่ยวคอน อะไรก็ไม่รู้มากมาย ล้วนเป็นสิ่งไร้สาระ.... แบกอยู่หลังแอ่น จนแก่หลังโกงแล้ว ก็ยังไม่วาง..... ทั้งแบกทั้งคอน สิ่งของไร้สาระเหล่านั้น เดินไปทั่ว...... แกเดินผ่านมาที่ไร ก็ให้รู้สึก ขุ่นเคือง ขัดใจกลองใบนี้ซะเหลือเกิน
เรียกได้ว่า แกเดินผ่านมา เห็นกลองใบนี้ทีไร เป็นอันว่า ต้อง "ของขึ้น" และต้องตี ด้วยความโกรธแค้น ขุ่นเคือง ทุกทีไป
แกมีไม้เป็นท่อน ๆ อยู่สามท่อนด้วยกัน แกแบกคอนอยู่ในถุงกระสอบเก่า ๆ อยู่เป็นประจำ แกก็เอาไม้ท่อนเหล่านั้นออกมา แล้วหวดเข้าไป ...... ตูม ๆๆๆๆๆ ที่กลองใบนั้น ระบายความโกรธเคือง คับแค้น ที่เผาลนอยู่ในใจแกมานานนับสิบ ๆ ปี
ไม้ท่อนคร่ำคร่า ทั้งสามท่อนนั้น ที่แกเอามาทำให้สกปรก ด้วยการลงยันต์ ลงอักขระ ทั้งภาษาขอม ภาษาพม่า ภาษาสิงหล ฯลฯ สุดแท้แต่แกจะเห็นว่ามันขลัง ด้วยความงมงาย ของแกนั่นแหล่ะ... อ่านออกไม่ออก ไม่เกี่ยว ขอให้ขลังเข้าไว้อย่างเดียวเป็นพอ แกว่างั้น....(ที่จริง ไม้เดิม เป็นไม้ชั้นดี แต่พอมาอยู่ในมือแก แกดัดแปลง ซะจนเสียรูป เพราะแกเป็นลูก..ช่างดัดแปลง เป็นนักดัดแปลงมาตั้งแต่ปู่โกฎิโคตรฤษี ของแกโน่นแล้วล่ะ และเปื้อนขี้เหงื่อ ขี้ไคล ที่สกปรกโสโครกจาดเนื้อตัวของแกด้วย จนไม้นั้นแลดูสกปรกไปเลย เมื่ออยู่ในมือแก แถมแกเจาะ แกถาก แกเอาเศษขี้เลื่อยจากไม้กเฬวรากอื่นๆ มาปน จนไม้เนื้อแข็งกลายเป็นไม้ชั้นเลว เป็นพวกไม้อัด ขี้เลื่อยอัดแท่ง ไปซะแล้ว) แล้วก็ตั้งชื่อซะให้สวยหรู ทั้งสามท่อนด้วยว่า
- ไม้โมหาคติ
- ไม้ภยาคติ
- ไม้โทสาคติ
แกก็ใช้ไม้เหล่านี้ หวดไม่ยั้ง หวดทุกทีที่เดินผ่านกลองใบนี้ และแกต้องเดินผ่านบ่อย ๆ มาก เพราะแกต้องมีธุระมากราบไหว้ภูติผี ของแกทุกวัน แกก็ต้องเห็นกลองพุทธทาสเภรีทุกวัน เช่นกัน.......แต่...
การณ์กลับกลายเป็นว่า การหวดด้วยความโกรธแค้นชิงชัง ( เพราะเหตุว่า เงาของกลองพุทธทาสเภรี มาบดบังแท่นบูชาภูติผี ของแก) นั้น.... ยิ่งเป็นการเพิ่มการปลุก จำนวนผู้คนผู้หลับไหล ให้ตื่นจากหลับ ให้ลุกขึ้นมาบูชาพระรัตนตรัย ที่ถูกต้อง มากขึ้น มากขึ้น.... และมากขึ้น
ตีไปเถอะผู้เฒ่าหอบฟาง.....ขอให้ผู้เฒ่าจงตีกลอง พุทธทาสเภรี ต่อไป
แม้ว่าการตีกลองของผู้เฒ่า จะเป็นไปด้วยอคติ ที่กัดกร่อนจิตใจ หมกไหม้ สุมทรวงผู้เฒ่า มานาน นับหลายสิบปีแล้วก็ตาม ก็จงตีเรื่อยไป ตีเรื่อยไป....อย่าได้หยุดเชียว
หากยังมีเรี่ยวแรงตีได้ ก็จงตีไป ตีไปจนถึงแก่มรณกาล ก็จะยิ่งดี เพราะ การตีกลอง ที่ชื่อว่า "พุทธทาสเภรี" นั้น ......ยิ่งตีดังเท่าไหร่ ก็เท่ากับยิ่งระดมผู้คนให้มีปัญญา ยิ่งระบือพุทธธรรมให้กว้างไกล และเสียงกลอง กลับเป็นคุณ ต่อบัวปริ่มน้ำ ต่อบัวเหนือน้ำ มากขึ้นเท่านั้น
แต่.....ที่เห็นอุบาสก อุบาสิกา บางท่าน เขาเดินแวะเข้ามา เอาน้ำร้อนสาดบ้าง เอาน้ำเย็นสาดบ้าง ไปที่ผู้เฒ่านั้น ก็เพื่อให้แกมีสติ และก็เท่ากับ ราดทำความสะอาดพื้นที่ไปด้วย ........ที่เขาเอาน้ำสาด อีกความหมายหนึ่ง ก็เพราะว่า "เขารำคาญคนตีกลอง....เขาไม่ได้รำคาญเสียงกลองเลยนะ"
เพราะการตีกลอง ของเฒ่าหอบฟางรายนี้ ไม่ตีเปล่า แต่แกตีไปด้วย ถ่มน้ำลายเหม็น ๆ ลงบนพื้นแถว ๆ นั้น ให้สกปรกไปด้วย
เขาแค่รำคาญน่ะนะ....ไม่มีอะไรหรอก สาดน้ำซะหน่อย เดี๋ยวก็ดีเอง
ตีไป ผู้เฒ่า จงตีกลองต่อไป อย่าหยุดเชียวนะ........ขอให้ตีไปจนตนเอง ถึงแก่กาลกิริยา (แล้วหอบเอา อุปาทาน หอบเอาวิญญาณ ตามที่ตนเองเชื่อ พาออกจากร่างที่นอนอยู่ในโลง ไปเกิดใหม่ให้ได้ แล้วจงเกิดมาใหม่ เพื่อตีกลอง ใบนี้อีกให้ได้ อีกสักสองสามร้อยชาติ ก็แล้วกัน) หากเป็นแบบนั้นได้ ก็จะดีมาก ๆ เลย นะผู้เฒ่าหอบฟาง
เค้าแค่เอาน้ำเย็นสาด เพื่อให้ตาเฒ่า แกหยุดถ่มน้ำลาย เลอะเทอะพื้นที่ใกล้เคียง ที่เขาห้อยกลองเอาไว้ เท่านั้นเอง ไม่ได้เจาะจงว่าให้หยุดตีกลอง "พุทธทาสเภรี" ดอกนะ อย่าได้เข้าใจผิด
ตีต่อไป ตีต่อไป และจงตีต่อไป...อย่าหยุดซะง่าย ๆ เสียล่ะ
จึงอยากจะเชิญชวนว่า มาช่วยกันตีกลอง ที่ชื่อว่า "พุทธทาสเภรี" กันให้มาก ๆ เถิด ไม่ว่า ผู้ตีผู้นั้น จะเป็นใครก็ตาม....จะเป็นท่านสมภาร เป็นพระสงฆ์องค์เณร เป็นอุบาสกอุบาสิกา ที่ดี หรือแม้แต่ เป็นผู้เฒ่าสติฟั่นเฟือน ที่ตีกลองเพราะความโกรธเคือง คับแค้นใจในกลองใบนั้น ที่บังเอิญว่า เงาของกลอง ไปบดบังแท่นบูชาภูติผีปืสาจ ของแก..ก็ตามที
จงมาช่วยกันตีกลองพุทธทาสเภรี เพื่อระบือพระธรรมของพระพุทธเจ้า ระดมจิตใจของผู้คน ให้มีปัญญา ขจัดเสียซึ่งอวิชชาความมืดเขลา ต่อไป อย่าปล่อยให้คนแก่ฟั่นเฟือน จองสิทธิ์ ตีกลองอยู่แต่เพียงผู้เดียว ผู้อื่นที่ "ตีกลองเป็น" ก็ควรจะได้สิทธิ์ในการตีกลอง และแน่นอน ย่อมตีได้ไพเราะกว่ากันเยอะ
สรุปว่า กลองดี ๆ ยิ่งตียิ่งดัง ไม่ได้เหมือนกลองผุ ๆ พัง ๆ ที่ทำมาจากไม้ผุ ๆ เน่า ๆ ปราศจากแก่นแท้ ไร้ราคา แม้ไม่ตี มันก็ต้องเน่าเปื่อย ผุพังไปเอง หรือไม่มันก็คงจะ .......
..... มีเสียงดังอยู่แค่เฉพาะในบริเวณอาศรม หรือกระท่อม ของพวกพ่อมดหมอผี เท่านั้น.... จะหวังอะไรได้ กับการที่จะออกไปเผยแผ่ ต่อโลกกว้าง ถิ่นไกล......ให้ผู้คนในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลกได้สดับรับฟังการปลุกด้วยเสียงกลองพรรค์อย่างนี้....
ส่วน "พทธทาสเภรี" นั้น มีเสียงดังไปไกลทั่วทุกภูมิภาคของโลกแล้วด้วยซ้ำ....
เฒ่าหอบฟาง ผู้ชะแร แก่ชรายากไร้ น่าสงสารผู้นี้ แกก็ยังคงคับแค้นใจ มัวย่ำกลองอยู่ทั้งเช้าทั้งเพล ด้วยอคติส่วนตัว ของแกอยู่นั่นเอง แต่ถึงจะตีด้วยเหตุผลใด ๆ ก็ตาม แต่สรุปว่า กลองชั้นดี ก็ยัง "ดัง" อยู่นั่นเอง