เมื่อยังเป็นปุถุชน มีกายอยู่ มีวาจาอยู่ มีใจอยู่ แม้ปฏิบัติธรรม ปฏิจสมุทปบาทฝ่ายเกิดปรากฏอยู่เนื่องๆ เป็นธรรมดา
ซึ่งอาจจะมีคนแย้งว่า ปุถุชน ปฏิบัติอานาปานสติ จนบรรลุถึง ฌาน 4 ที่มีความเป็นอุเบกขาสงบนิ่งอย่างมีสติสมบูรณ์แลอยู่ อวิชชาย่อมไม่ปรากฏ
>>> ชี้แจ้ง อวิชชาไม่ปรากฏ เพราะ ไม่มีนิวรณ์ 5 นั้นเอง
แต่อวิชชาไม่เคยดับขาดอย่างสิ้นเชิง (ยังไม่เคยมีปัญญาฌาณดับ อวิชชาอย่างสิ้นเชิง)
อาสวะที่นอนเนืองยังมีอยู่ ที่เป็นอาหารหรือปัจจัย ให้อวิชชาเจริญงอกงาม ต่อไปได้ เมื่อกำลัง ฌาน 4 อ่อน หรือเสือมลง.
จึงจะกล่าวว่า อวิชชาไม่มีแล้วหมดสิ้นแล้ว เมื่ออยู่ใน ฌาน 4 ย่อมไม่ถูกต้อง เพียงแต่ ไม่มีการปรากฏของอวิชชา ที่รู้สึกได้ในสมาธินั้น นั้นเองเท่านั้น เพราะยังมีเหตุปัจจัยหรือมีอาหาร คืออาสวะที่นอนเนื่องอยู่ภายใน อย่าง อวิชชาสวะ ให้อวิชชาเจริญขึ้น ปรากฏขึ้นชัดเจนได้อีก เมื่อกำลัง ฌาน เสื่อมลง .
เมื่อยังเป็นปุถุชน มีกายอยู่ มีวาจาอยู่ มีใจอยู่ แม้ปฏิบัติธรรม ปฏิจสมุทปบาทฝ่ายเกิดปรากฏอยู่เนื่องๆ เป็นธรรมดา
ซึ่งอาจจะมีคนแย้งว่า ปุถุชน ปฏิบัติอานาปานสติ จนบรรลุถึง ฌาน 4 ที่มีความเป็นอุเบกขาสงบนิ่งอย่างมีสติสมบูรณ์แลอยู่ อวิชชาย่อมไม่ปรากฏ
>>> ชี้แจ้ง อวิชชาไม่ปรากฏ เพราะ ไม่มีนิวรณ์ 5 นั้นเอง
แต่อวิชชาไม่เคยดับขาดอย่างสิ้นเชิง (ยังไม่เคยมีปัญญาฌาณดับ อวิชชาอย่างสิ้นเชิง)
อาสวะที่นอนเนืองยังมีอยู่ ที่เป็นอาหารหรือปัจจัย ให้อวิชชาเจริญงอกงาม ต่อไปได้ เมื่อกำลัง ฌาน 4 อ่อน หรือเสือมลง.
จึงจะกล่าวว่า อวิชชาไม่มีแล้วหมดสิ้นแล้ว เมื่ออยู่ใน ฌาน 4 ย่อมไม่ถูกต้อง เพียงแต่ ไม่มีการปรากฏของอวิชชา ที่รู้สึกได้ในสมาธินั้น นั้นเองเท่านั้น เพราะยังมีเหตุปัจจัยหรือมีอาหาร คืออาสวะที่นอนเนื่องอยู่ภายใน อย่าง อวิชชาสวะ ให้อวิชชาเจริญขึ้น ปรากฏขึ้นชัดเจนได้อีก เมื่อกำลัง ฌาน เสื่อมลง .