May 18 (2007) .. วันอัปยศควังจู พฤษภาทมิฬ ทหารฆ่าประชาชน ..



คัง มิน-วู ทำงานเป็นคนขับแท็กซี่ในเมืองควังจู เขามีหน้าที่คอยดูแลจินวูน้องชายของเขาตัวคนเดียวแทนพ่อแม่ที่เสียไป
แต่จินวูไม่เคยทำให้ผิดหวัง เขาเป็นเด็กตั้งใจเรียน โดยมีเป้าหมายคือการได้เป็นเรียนต่อด้านกฎหมายที่โซล
แน่นอนว่าค่าใช้จ่ายเยอะแค่มินวูก็ตั้งใจทำงานเพื่อส่งเสียน้องชาย โดยหวังว่าเขาจะมีอนาคตที่ดีกว่าตนเอง



ชีวิตในควังจูดำเนินไปอย่างสุขสงบ จนกระทั่งเช้าของวันที่ 18 พฤษภาคม 1980 ก
องกำลังทหารได้เคลื่อนพลมาที่เมืองแห่งนี้ และชีวิตของทุกคนในเมืองก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
แน่นอนว่ารวมทั้งตัวของคัง มิน-วู เช่นกัน....



May 18 (เกาหลี: 화려한 휴가 แปลว่า Splendid Holiday) เป็นภาพยนตร์ดราม่าประวัติศาสตร์เกาหลีใต้
กำกับโดย Kim Ji-hoon บอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่กองทัพนำพาบรรดานายทหารสังหารหมู่ประชาชนที่ควังจูในเกาหลีใต้
หลังจากที่นายพลช็อน ดู-ฮวัน พยายามกำจัดผู้ที่ต่อต้านเขาทุกคน



นำแสดงโดยดาราดังมากมายอาทิ Kim Sang-kyung (จาก Memories of Murder) ในบทของคัง มิน-วู ตัวเดินเรื่อง...
Lee Yo-won (จาก Perfect Number) นางพยาบาลสาวใจดี และซุเปอร์สตาร์ขวัญใจชาวไทยอย่าง Lee Joon-gi รับบทจินวู น้องชายพระเอก
ผู้ยึดมั่นในอุดมการณ์เหมือนเป็นตัวแทนของนักศึกษาทั่วประเทศเกาหลีในเวลานั้น



หนังที่ว่าด้วยเรื่องเหตุการณ์ในวันนั้นมีหลายเรื่องด้วยกันครับทั้ง 26 Years (2012), National Security (2012)
The Attorney (2013), Excavator (2017), A Taxi Driver (2017) คนส่วนใหญ่จะรู้จักเรื่องนี้มากที่สุด
มีเยอะแยะไปหมด แต่ที่ผมเลือกหนังเรื่องนี้มาเล่าก็ยอมรับเลยว่านี่คือหนังที่ว่าด้วยเหตุการณ์ในวันนั้นแบบตรงไปตรงมา
ให้เห็นความสูญเสียและความโหดร้ายแบบชัดเจนที่สุด



หลังจากที่ผมนำเสนอภาพยนตร์ 2 เรื่องไปก่อนหน้านี้ทั้ง The President's Last Bang (2005)
เหตุการณ์วันสังหารประธานาธิบดีพัก จ็อง-ฮี ต่อด้วย 12.12: The Day (2023) วันยึดกรุงโซล
เรื่องราวหลังจากการสอบสวนเหตุลอบสังหารที่บานปลายจนนำไปสู่การยึดอำนาจของนายพลช็อน ดู-ฮวัน ของกลุ่มฮานาฮเว
และก็มาถึงเรื่องที่ 3 ปิดซีรี่ย์รีวิวไตรภาคการเมืองเกาหลีในช่วงเวลานั้นกับ May 18 .. วันอัปยศควังจู เมื่อทหารฆ่าประชาชน



ภายหลังที่นายพลช็อน ดู-ฮวัน ยึดกองทัพได้แบบเบ็ดเสร็จแม้ว่าจะยังมีประธานาธิบดีชเว กยู-ฮาดำรงตำแหน่งอยู่ก็ตาม
แต่ก็แทบจะไม่มีอำนาจใดๆลงเหลืออีกแล้ว ประชาชนทั่วประเทศต่างไม่พอใจการกระทำในครั้งนี้ของนายพล
และเริ่มออกมาลงถนนประท้วง ท่ามกลางกระแสข่าวลือที่ปล่อยมาจากรัฐบาลเองว่าฝ่ายเหนือ (เกาหลีเหนือ) ได้เข้ามาแทรกซึมสู่ใต้
ทำให้นายพลช็อนประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศ... แน่นอนว่านี่เป็นแค่ข้ออ้างเพื่อกำจัดผู้เห็นต่างเท่านั้น...



เช่นเดียวกับนักศึกษาและประชาชนทั่วประเทศที่ออกมาประท้วงเมืองควังจูคือเมืองใหญ่
ที่ทุกคนร่วมแรงร่วมใจเรียกร้องประชาธิปไตยไม่ต่างกัน แต่ชาวบ้านธรรมดาๆ จะสู้อะไรได้กับทหารที่อาวุธครบมือ
กำลังทหารกว่า 100,000 นาย เข้าปิดล้อมควังจูตั้งแต่วันที่ 18 พ.ค. การปะทะกันอย่างรุนแรงเกิดขึ้น
และทุกอย่างก็จบลงในวันที่ 27 พ.ค. รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 9 วัน



May 18 เริ่มเรื่องด้วยความสุข วิถีชีวิตของชาวเมืองที่ต่างคนต่างใช้ชีวิตประจำวันแบบเรียบง่าย
โดยใช้คัง มิน-วู คนขับแท็กซี่ที่ต้องดูแลน้องชายตัวคนเดียวเป็นคนเดินเรื่องช่วง 20 นาที
เหมือนกับว่าเรากำลังดูหนังรอมคอมน่ารักๆ เรื่องนึงเลยทีเดียว จนกระทั่งการมาถึงของกองทัพ
และนั่นก็ทำให้มู้ดและโทนของหนังเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง



เมื่อเสียงกระสุนนัดแรกแผดดังขึ้นพร้อมกับ 1 ชีวิตที่ล้มลง ทุกอย่างจากนั้นคือความสูญเสียที่เหมือนใบไม้ร่วง
คนตายจากห่ากระสุน การโดนทุบทำร้าย ผู้ชาย ผู้หญิง เด็ก คนแก่ ไม่มีละเว้น กระทั่งคนสติไม่ดียังถูกฆ่าตาย..
ความหดหู่ ความเสียใจ ความโกรธ ไม่เข้าใจในเหตุผลทุกสิ่งทุกอย่างมันจะประดังเข้ามาจนคุณแทบตั้งตัวไม่ทัน
ทั้งๆที่รู้ก่อนรับชมอยู่แล้วว่าจะต้องพบเจอกับอะไร



หนังสงครามมันดิ่งแทบทุกเรื่องอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่พวกแนวแอ๊คชั่น แต่นี่มันคือดราม่าที่มาจากเรื่องจริง
ในเหตุการณ์จริงที่มีผู้เสียชีวิตนับร้อย (ตัวเลขรวมผู้สูญหายน่าจะอยู่ที่ 260 คน) ไม่นับที่บาดเจ็บอีกกว่า4,000 ราย
ความรู้สึกผมเรื่องนี้มันหนักกว่าสุสานหิ่งห้อยชนิดที่เรียกได้ว่าคนละ Level เลยทีเดียว
ความหดหู่อย่างที่สุดนั้นเพราะมันคือคนชาติเดียวกันกลับมาเข่นฆ่ากันเอง



เพียงเพราะอำนาจตัวเดียว ต้องการที่จะครอบครอง รักษาไว้ให้นานที่สุด
ใครเห็นต่างคือศัตรูต้องกำจัดให้พ้นทางไม่ให้เป็นเสี้ยนหนามต่อไปในอนาคต
รวมไปถึงบรรดาเหล่าขี้ข้าที่คอยรับใช้ผู้มีอำนาจอย่างโลภโมโทสันและขาดสติยั้งคิด
ทำทุกอย่างเพื่อเอาใจนายแม้ว่าจะต้องมาห้ำหั่นฆ่าพี่น้องเพื่อนร่วมชาติก็ยินดีที่จะลงมือ
นี่คือหนังที่ถ่ายทอดความโหดร้ายของการเมืองได้ดีที่สุดเรื่องนึงเท่าที่ผมเคยดูมา



ถึงแม้ว่าบริบททางการเมืองของเกาหลี ณ วันนั้นจนถึงวันนี้จะเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว
ไม่มีการยึดอำนาจรัฐประหารใดๆอีก (แม้ว่าจะมีประเด็นกับประธานาธิบปีคนล่าสุดก็ตาม)
แต่บทเรียนแห่งการได้มาซึ่งอำนาจที่เต็มไปด้วยความฉ้อฉล
ก็ยังคงเหมือนกับแผลที่แม้จะตกสะเก็ดเรียบร้อย แต่ร่องรอยของแผลเป็นนั้นก็จะยังคงอยู่ตลอดไป ...
และสุดท้ายนี้ผมก็หวังว่ารอยแผลนั้นจะไม่เกิดขึ้นอีกไม่ว่าจะเป็นในที่อื่นใดในโลกนี้.... ผมได้แต่หวังให้เป็นเช่นนั้น...


เพราะหนังมันฝังใจ


=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่