หัวข้อ: ความเข้าใจเรื่อง "สยาม" อัตลักษณ์ และความเป็นไทยในบริบทของชาวมาเลเซียเชื้อสายไทย
บทนำ: จากความภาคภูมิใจสู่ความสับสน
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีการตื่นตัวเรื่องอัตลักษณ์ของชาวมาเลเซียเชื้อสายไทยเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่รัฐกลันตัน ปะลิส เคดาห์ และตรังกานู ซึ่งมีประชากรชาวมาเลเซียเชื้อสายไทยอาศัยอยู่จำนวนหนึ่ง การใช้คำว่า “คนสยาม” เพื่อบ่งบอกความเป็นไทย กลายเป็นแนวโน้มที่แพร่หลายในกลุ่มคนรุ่นใหม่บางกลุ่มบนโซเชียลมีเดีย และบางครั้งยังใช้ในการแสดงตัวตนต่อชาวไทย
อย่างไรก็ตาม ความนิยมในการใช้คำนี้อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิด ทั้งในหมู่ชาวไทยเองและในกลุ่มของชาวมาเลเซียเชื้อสายไทยด้วยกัน หนึ่งในคำถามที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ คือ “ทำไมถึงเรียกตัวเองว่าคนสยาม?” หรือ “คุณย้อนยุคมาจากไหน?” บางคนถึงกับตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าเชื้อสายมลายูก็อยู่ในรัฐเคดาห์ กลันตัน ปะลิส เช่นกัน งั้นเขาก็เป็นคนสยามด้วยใช่ไหม?
ปัญหาเหล่านี้เกิดจากการไม่เข้าใจทั้งภาษาประวัติศาสตร์และบริบทของคำว่า “สยาม” ซึ่งเราจะอธิบายอย่างละเอียดในบทความนี้
บทที่ 1: คนเชื้อสายไทยในมาเลเซียวันนี้เป็นใคร
ชาวมาเลเซียเชื้อสายไทย คือกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีบรรพบุรุษเป็นคนไทยดั้งเดิม ซึ่งตั้งถิ่นฐานอยู่ในดินแดนภาคเหนือของคาบสมุทรมลายู โดยเฉพาะในรัฐกลันตัน ปะลิส เคดาห์ และตรังกานู พวกเขาพูดภาษาไทย มีวัฒนธรรมประเพณีที่คล้ายคลึงกับไทย และนับถือพระพุทธศาสนาแบบเถรวาท
อย่างไรก็ตาม หลังปี ค.ศ. 1909 ที่ไทย (สยาม) และบริเตนได้ทำสนธิสัญญาแบ่งเขตแดน ชาวไทยที่อาศัยใน 4 รัฐดังกล่าวจึงกลายเป็นพลเมืองของมาเลเซียโดยอัตโนมัติ
ลูกหลานรุ่นใหม่จำนวนมากเรียนในระบบการศึกษามาเลเซีย อาจพูดภาษามลายูหรืออังกฤษได้ดีกว่าภาษาไทย และในบางกรณีไม่ได้รับการถ่ายทอดวัฒนธรรมไทยอย่างชัดเจน จึงเกิดความสับสนในอัตลักษณ์ว่า “แค่มีเชื้อสายไทย แต่ไม่มีภาษาและวัฒนธรรมไทยเลย ยังเรียกว่าเป็นคนไทยได้หรือ?”
บทที่ 2: ความสัมพันธ์ระหว่างสยามกับรัฐมลายูก่อนปี 1909
ก่อนปี พ.ศ. 2452 (ค.ศ. 1909) รัฐเคดาห์ ปะลิส กลันตัน และตรังกานู อยู่ในลักษณะรัฐบรรณาการ (tributary state) ต่อกรุงรัตนโกสินทร์ โดยส่งเครื่องราชบรรณาการแก่สยามเป็นประจำ แต่ปกครองตนเองผ่านสุลต่านท้องถิ่น สยามไม่ได้ปกครองโดยตรงแบบรวมศูนย์อย่างในภาคกลางหรือปัตตานี
ปี 1909 สยามและอังกฤษลงนามใน “สนธิสัญญาอังกฤษ–สยาม” ทำให้รัฐเหล่านี้กลายเป็นของอังกฤษ และต่อมาเป็นส่วนหนึ่งของมาเลเซียในปัจจุบัน
บทที่ 3: คำว่า “สยาม” ในอดีตหมายถึงอะไร?
คำว่า “สยาม” เป็นชื่อประเทศในอดีต ใช้ทางการตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 จนถึง พ.ศ. 2482 ก่อนจะเปลี่ยนเป็น “ประเทศไทย” เพื่อเน้นความเป็นรัฐชาติของชนชาติไทย
ที่มาของชื่อ "สยาม" คำว่า "สยาม" ปรากฏในเอกสารจีน สันนิษฐานว่ามาจากคำว่า "เซียน" (Xian) หรือ "เสียนลั่ว" (Xian Luo) ซึ่งเป็นการออกเสียงชื่อของชนกลุ่มหนึ่งที่อาศัยอยู่ในแถบลุ่มน้ำเจ้าพระยาในสมัยโบราณ นอกจากนี้ยังมีแนวคิดว่า "สยาม" เป็นคำที่ชาวต่างชาติ เช่น แขกเปอร์เซียหรือพ่อค้าฝรั่งใช้เรียกกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในแถบนี้ และราชสำนักไทยก็รับมาใช้ในที่สุด
ในอดีต “สยาม” ไม่ใช่เชื้อชาติ แต่หมายถึงประเทศที่มีประชากรหลากหลาย เช่น ไทย ลาว มลายู จีน เขมร มอญ
เอกสารราชการไทย เช่น ทะเบียนสำมะโนครัว พ.ศ. 2452 ก็แยกเชื้อชาติเป็น “ไทย”, “ลาว”, “จีน”, “มลายู” โดยไม่มีคำว่า “สยาม” เป็นเชื้อชาติ
บทที่ 4: คำว่า “เชื้อชาติสยาม”(Bangsa Siam) ใช้ผิดอย่างไร?
การเรียกตนเองว่า “เชื้อชาติสยาม” (Bangsa/Kaum/Etnik/Orang Siam หรือ “คนสยาม”) จึงไม่เพียงแต่ขัดต่อหลักความหมายในภาษาไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นการใช้คำผิดประเภทอย่างชัดเจน เพราะ “สยาม” ไม่เคยถูกใช้เป็นคำเรียกเชื้อชาติในระบบราชการหรือในทางวิชาการของไทย
ในภาษาไทย:
Orang Siam = คนสยาม (คำทั่วไปในภาษามลายูใช้เรียกคนที่มีเชื้อสายไทย)
Bangsa Siam = ชนชาติสยาม (สื่อถึงการระบุระดับเชื้อชาติ แต่ไม่ใช้ในภาษาไทย)
Kaum Siam / Etnik Siam = กลุ่มชาติพันธุ์สยาม (คำแปลผิดความหมายตามบริบทไทย)ในบริบทของภาษาไทย คำว่า "คนสยาม" หรือ "ชาติพันธุ์สยาม" ไม่ได้ถูกใช้ในระบบราชการหรือวิชาการไทยอีกต่อไป คำเหล่านี้จึงอาจสร้างความสับสนหรือเข้าใจผิดในความหมาย โดยเฉพาะเมื่อใช้สื่อสารกับคนไทยในปัจจุบัน
ในทางกลับกัน ในสามจังหวัดชายแดนใต้ของไทย ชาวไทยเชื้อสายมลายูมักเรียกคนไทยพุทธว่า “ออแงซีแย” (oge siyae) ซึ่งมีรากเสียงเดียวกับ “Orang Siam” สะท้อนให้เห็นว่าเป็นคำเรียกที่ภายนอกบัญญัติขึ้น ไม่ใช่คำที่คนไทยใช้เรียกตนเอง
บทที่ 5: ความเสี่ยงจากการใช้คำว่า “คนสยาม” ในบริบทคนไทย
สับสนว่าเป็นคนไทยสัญชาติไทย
ฟังดูเหมือนเป็น “คนไทยยุคเก่า” หรือ “ล้าสมัย”
อาจถูกตีความว่าเป็นการลดทอนศักดิ์ศรีของกลุ่มตนเอง โดยเฉพาะเมื่อต้องการสื่อสารว่า “เรามีเชื้อสาย ภาษา และวัฒนธรรมไทย” แต่กลับใช้คำที่แฝงความย้อนยุค
บทที่ 6: ข้อเสนอแนะเพื่อการสื่อสารอย่างเข้าใจ
✅ ในเอกสารราชการมาเลเซีย: การใช้คำว่า "Bangsa Siam" หรือ "Orang Siam" อาจเป็นความเคยชินที่เรียกติดปากมานาน
✅ แต่ในการสื่อสารกับชาวไทย: ควรใช้คำว่า
“ชาวมาเลเซียเชื้อสายไทย” (ถูกต้อง ชัดเจน)
ส่วนคำว่า “คนสยาม(Orang Siam)” หรือ “เชื้อชาติสยาม(Ethnik Siam)” เมื่อใช้สื่อสารกับคนไทยและภาษาไทยทำให้ความหมายคลาดคลื่อนและคลุมเครือ
หากต้องการอธิบายตนเอง ให้บอกว่า “ผม/ดิฉันเป็นคนมาเลเซียเชื้อสายไทย( Saya rakyat Malaysia berketurunan Thai )” ยิ่งไปกว่านั้น การเรียกตนเองว่า "เชื้อชาติสยาม" (Ethnik Siam) ยิ่งขัดต่อหลักภาษาศาสตร์ในภาษาไทย เพราะคำว่า "สยาม" ไม่ใช่คำเรียกเชื้อชาติในระบบราชการไทย หรือในงานวิชาการ แต่เป็นคำเรียกประเทศและชื่อทางการของรัฐในอดีต
บทที่ 7: “สยาม” ในอดีตคือกลุ่มคนหลายชาติพันธุ์
ในอดีต “สยาม” ไม่ได้หมายถึง “ชนชาติเดียว” แต่เป็นคำเรียกรวมของรัฐที่อยู่ใต้อำนาจกรุงเทพฯ ซึ่งมีทั้งไทย ลาว มลายู มอญ จีน เขมร ฯลฯ คนเหล่านี้อาจใช้ภาษาไทยกลางเป็นภาษาราชการ แต่เวลากลับบ้านก็มักพูดภาษาแม่ของตน เช่น ลาว เขมร หรือภาษาถิ่นไทย
ดังนั้น “คนสยาม” ในประวัติศาสตร์จึงหมายถึง “ประชากรที่อยู่ในรัฐสยาม” ไม่ได้บ่งบอกเชื้อชาติหรือกลุ่มชาติพันธุ์ใดกลุ่มเดียว
8. ความแตกต่างของคำว่า "ชาติพันธุ์" กับ "สัญชาติ"
ชาติพันธุ์ (Ethnicity) คือ การสืบสายเลือด วัฒนธรรม ภาษา ศาสนา และประเพณีร่วมกัน เช่น ไทย จีน มลายู
สัญชาติ (Nationality) คือ ความเป็นพลเมืองตามกฎหมายของรัฐ เช่น คนที่ถือบัตรประชาชนไทยจะมีสัญชาติไทย คนที่ถือบัตรประชาชนมาเลเซียจะมีสัญชาติมาเลเซีย (warganegara Malaysia)
ในกรณีชาวมาเลเซียเชื้อสายไทย พวกเขามี สัญชาติมาเลเซีย แต่มี ชาติพันธุ์ไทย การระบุว่าเป็น "คนไทย" ในบริบทนี้ จึงหมายถึง "ชาติพันธุ์ไทย" ไม่ใช่ "สัญชาติไทย"
บทสรุป
อัตลักษณ์ไม่ใช่สิ่งตายตัว แต่ควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจร่วมกัน การใช้คำย้อนยุคโดยไม่เข้าใจบริบท เช่น “คนสยาม” อาจนำไปสู่ความสับสน และสร้างความเข้าใจคลาดเคลื่อนในสายตาคนไทย
การจะเรียกตนเองว่าอะไรในประเทศของคุณเป็นสิทธิส่วนบุคคล แต่หากจะสื่อสารกับคนไทย ควรใช้คำที่ชัดเจน เช่น “ชาวมาเลเซียเชื้อสายไทย”
การเรียกตนเองว่า "คนสยาม" (Orang Siam) มีความหมายเฉพาะในบริบทของมาเลเซีย แต่เมื่อใช้สื่อสารกับคนไทย หรือในวงวิชาการไทย อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิด ทั้งในเรื่องอัตลักษณ์ ชาติพันธุ์ และความร่วมสมัยของคำศัพท์ การเลือกใช้คำจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่ออัตลักษณ์คือสิ่งที่ต้องการสื่อสารอย่างชัดเจน ไม่ให้ใครตีความคลาดเคลื่อน
“คนสยาม” คือใคร? ชำแหละความเข้าใจผิดของชาวมาเลเซียเชื้อสายไทย กับการสื่อสารอัตลักษณ์ที่ย้อนแย้งในสายตาคนไทย
บทนำ: จากความภาคภูมิใจสู่ความสับสน
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีการตื่นตัวเรื่องอัตลักษณ์ของชาวมาเลเซียเชื้อสายไทยเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่รัฐกลันตัน ปะลิส เคดาห์ และตรังกานู ซึ่งมีประชากรชาวมาเลเซียเชื้อสายไทยอาศัยอยู่จำนวนหนึ่ง การใช้คำว่า “คนสยาม” เพื่อบ่งบอกความเป็นไทย กลายเป็นแนวโน้มที่แพร่หลายในกลุ่มคนรุ่นใหม่บางกลุ่มบนโซเชียลมีเดีย และบางครั้งยังใช้ในการแสดงตัวตนต่อชาวไทย
อย่างไรก็ตาม ความนิยมในการใช้คำนี้อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิด ทั้งในหมู่ชาวไทยเองและในกลุ่มของชาวมาเลเซียเชื้อสายไทยด้วยกัน หนึ่งในคำถามที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ คือ “ทำไมถึงเรียกตัวเองว่าคนสยาม?” หรือ “คุณย้อนยุคมาจากไหน?” บางคนถึงกับตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าเชื้อสายมลายูก็อยู่ในรัฐเคดาห์ กลันตัน ปะลิส เช่นกัน งั้นเขาก็เป็นคนสยามด้วยใช่ไหม?
ปัญหาเหล่านี้เกิดจากการไม่เข้าใจทั้งภาษาประวัติศาสตร์และบริบทของคำว่า “สยาม” ซึ่งเราจะอธิบายอย่างละเอียดในบทความนี้
บทที่ 1: คนเชื้อสายไทยในมาเลเซียวันนี้เป็นใคร
ชาวมาเลเซียเชื้อสายไทย คือกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีบรรพบุรุษเป็นคนไทยดั้งเดิม ซึ่งตั้งถิ่นฐานอยู่ในดินแดนภาคเหนือของคาบสมุทรมลายู โดยเฉพาะในรัฐกลันตัน ปะลิส เคดาห์ และตรังกานู พวกเขาพูดภาษาไทย มีวัฒนธรรมประเพณีที่คล้ายคลึงกับไทย และนับถือพระพุทธศาสนาแบบเถรวาท
อย่างไรก็ตาม หลังปี ค.ศ. 1909 ที่ไทย (สยาม) และบริเตนได้ทำสนธิสัญญาแบ่งเขตแดน ชาวไทยที่อาศัยใน 4 รัฐดังกล่าวจึงกลายเป็นพลเมืองของมาเลเซียโดยอัตโนมัติ
ลูกหลานรุ่นใหม่จำนวนมากเรียนในระบบการศึกษามาเลเซีย อาจพูดภาษามลายูหรืออังกฤษได้ดีกว่าภาษาไทย และในบางกรณีไม่ได้รับการถ่ายทอดวัฒนธรรมไทยอย่างชัดเจน จึงเกิดความสับสนในอัตลักษณ์ว่า “แค่มีเชื้อสายไทย แต่ไม่มีภาษาและวัฒนธรรมไทยเลย ยังเรียกว่าเป็นคนไทยได้หรือ?”
บทที่ 2: ความสัมพันธ์ระหว่างสยามกับรัฐมลายูก่อนปี 1909
ก่อนปี พ.ศ. 2452 (ค.ศ. 1909) รัฐเคดาห์ ปะลิส กลันตัน และตรังกานู อยู่ในลักษณะรัฐบรรณาการ (tributary state) ต่อกรุงรัตนโกสินทร์ โดยส่งเครื่องราชบรรณาการแก่สยามเป็นประจำ แต่ปกครองตนเองผ่านสุลต่านท้องถิ่น สยามไม่ได้ปกครองโดยตรงแบบรวมศูนย์อย่างในภาคกลางหรือปัตตานี
ปี 1909 สยามและอังกฤษลงนามใน “สนธิสัญญาอังกฤษ–สยาม” ทำให้รัฐเหล่านี้กลายเป็นของอังกฤษ และต่อมาเป็นส่วนหนึ่งของมาเลเซียในปัจจุบัน
บทที่ 3: คำว่า “สยาม” ในอดีตหมายถึงอะไร?
คำว่า “สยาม” เป็นชื่อประเทศในอดีต ใช้ทางการตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 จนถึง พ.ศ. 2482 ก่อนจะเปลี่ยนเป็น “ประเทศไทย” เพื่อเน้นความเป็นรัฐชาติของชนชาติไทย
ที่มาของชื่อ "สยาม" คำว่า "สยาม" ปรากฏในเอกสารจีน สันนิษฐานว่ามาจากคำว่า "เซียน" (Xian) หรือ "เสียนลั่ว" (Xian Luo) ซึ่งเป็นการออกเสียงชื่อของชนกลุ่มหนึ่งที่อาศัยอยู่ในแถบลุ่มน้ำเจ้าพระยาในสมัยโบราณ นอกจากนี้ยังมีแนวคิดว่า "สยาม" เป็นคำที่ชาวต่างชาติ เช่น แขกเปอร์เซียหรือพ่อค้าฝรั่งใช้เรียกกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในแถบนี้ และราชสำนักไทยก็รับมาใช้ในที่สุด
ในอดีต “สยาม” ไม่ใช่เชื้อชาติ แต่หมายถึงประเทศที่มีประชากรหลากหลาย เช่น ไทย ลาว มลายู จีน เขมร มอญ
เอกสารราชการไทย เช่น ทะเบียนสำมะโนครัว พ.ศ. 2452 ก็แยกเชื้อชาติเป็น “ไทย”, “ลาว”, “จีน”, “มลายู” โดยไม่มีคำว่า “สยาม” เป็นเชื้อชาติ
บทที่ 4: คำว่า “เชื้อชาติสยาม”(Bangsa Siam) ใช้ผิดอย่างไร?
การเรียกตนเองว่า “เชื้อชาติสยาม” (Bangsa/Kaum/Etnik/Orang Siam หรือ “คนสยาม”) จึงไม่เพียงแต่ขัดต่อหลักความหมายในภาษาไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นการใช้คำผิดประเภทอย่างชัดเจน เพราะ “สยาม” ไม่เคยถูกใช้เป็นคำเรียกเชื้อชาติในระบบราชการหรือในทางวิชาการของไทย
ในภาษาไทย:
Orang Siam = คนสยาม (คำทั่วไปในภาษามลายูใช้เรียกคนที่มีเชื้อสายไทย)
Bangsa Siam = ชนชาติสยาม (สื่อถึงการระบุระดับเชื้อชาติ แต่ไม่ใช้ในภาษาไทย)
Kaum Siam / Etnik Siam = กลุ่มชาติพันธุ์สยาม (คำแปลผิดความหมายตามบริบทไทย)ในบริบทของภาษาไทย คำว่า "คนสยาม" หรือ "ชาติพันธุ์สยาม" ไม่ได้ถูกใช้ในระบบราชการหรือวิชาการไทยอีกต่อไป คำเหล่านี้จึงอาจสร้างความสับสนหรือเข้าใจผิดในความหมาย โดยเฉพาะเมื่อใช้สื่อสารกับคนไทยในปัจจุบัน
ในทางกลับกัน ในสามจังหวัดชายแดนใต้ของไทย ชาวไทยเชื้อสายมลายูมักเรียกคนไทยพุทธว่า “ออแงซีแย” (oge siyae) ซึ่งมีรากเสียงเดียวกับ “Orang Siam” สะท้อนให้เห็นว่าเป็นคำเรียกที่ภายนอกบัญญัติขึ้น ไม่ใช่คำที่คนไทยใช้เรียกตนเอง
บทที่ 5: ความเสี่ยงจากการใช้คำว่า “คนสยาม” ในบริบทคนไทย
สับสนว่าเป็นคนไทยสัญชาติไทย
ฟังดูเหมือนเป็น “คนไทยยุคเก่า” หรือ “ล้าสมัย”
อาจถูกตีความว่าเป็นการลดทอนศักดิ์ศรีของกลุ่มตนเอง โดยเฉพาะเมื่อต้องการสื่อสารว่า “เรามีเชื้อสาย ภาษา และวัฒนธรรมไทย” แต่กลับใช้คำที่แฝงความย้อนยุค
บทที่ 6: ข้อเสนอแนะเพื่อการสื่อสารอย่างเข้าใจ
✅ ในเอกสารราชการมาเลเซีย: การใช้คำว่า "Bangsa Siam" หรือ "Orang Siam" อาจเป็นความเคยชินที่เรียกติดปากมานาน
✅ แต่ในการสื่อสารกับชาวไทย: ควรใช้คำว่า
“ชาวมาเลเซียเชื้อสายไทย” (ถูกต้อง ชัดเจน)
ส่วนคำว่า “คนสยาม(Orang Siam)” หรือ “เชื้อชาติสยาม(Ethnik Siam)” เมื่อใช้สื่อสารกับคนไทยและภาษาไทยทำให้ความหมายคลาดคลื่อนและคลุมเครือ
หากต้องการอธิบายตนเอง ให้บอกว่า “ผม/ดิฉันเป็นคนมาเลเซียเชื้อสายไทย( Saya rakyat Malaysia berketurunan Thai )” ยิ่งไปกว่านั้น การเรียกตนเองว่า "เชื้อชาติสยาม" (Ethnik Siam) ยิ่งขัดต่อหลักภาษาศาสตร์ในภาษาไทย เพราะคำว่า "สยาม" ไม่ใช่คำเรียกเชื้อชาติในระบบราชการไทย หรือในงานวิชาการ แต่เป็นคำเรียกประเทศและชื่อทางการของรัฐในอดีต
บทที่ 7: “สยาม” ในอดีตคือกลุ่มคนหลายชาติพันธุ์
ในอดีต “สยาม” ไม่ได้หมายถึง “ชนชาติเดียว” แต่เป็นคำเรียกรวมของรัฐที่อยู่ใต้อำนาจกรุงเทพฯ ซึ่งมีทั้งไทย ลาว มลายู มอญ จีน เขมร ฯลฯ คนเหล่านี้อาจใช้ภาษาไทยกลางเป็นภาษาราชการ แต่เวลากลับบ้านก็มักพูดภาษาแม่ของตน เช่น ลาว เขมร หรือภาษาถิ่นไทย
ดังนั้น “คนสยาม” ในประวัติศาสตร์จึงหมายถึง “ประชากรที่อยู่ในรัฐสยาม” ไม่ได้บ่งบอกเชื้อชาติหรือกลุ่มชาติพันธุ์ใดกลุ่มเดียว
8. ความแตกต่างของคำว่า "ชาติพันธุ์" กับ "สัญชาติ"
ชาติพันธุ์ (Ethnicity) คือ การสืบสายเลือด วัฒนธรรม ภาษา ศาสนา และประเพณีร่วมกัน เช่น ไทย จีน มลายู
สัญชาติ (Nationality) คือ ความเป็นพลเมืองตามกฎหมายของรัฐ เช่น คนที่ถือบัตรประชาชนไทยจะมีสัญชาติไทย คนที่ถือบัตรประชาชนมาเลเซียจะมีสัญชาติมาเลเซีย (warganegara Malaysia)
ในกรณีชาวมาเลเซียเชื้อสายไทย พวกเขามี สัญชาติมาเลเซีย แต่มี ชาติพันธุ์ไทย การระบุว่าเป็น "คนไทย" ในบริบทนี้ จึงหมายถึง "ชาติพันธุ์ไทย" ไม่ใช่ "สัญชาติไทย"
บทสรุป
อัตลักษณ์ไม่ใช่สิ่งตายตัว แต่ควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจร่วมกัน การใช้คำย้อนยุคโดยไม่เข้าใจบริบท เช่น “คนสยาม” อาจนำไปสู่ความสับสน และสร้างความเข้าใจคลาดเคลื่อนในสายตาคนไทย
การจะเรียกตนเองว่าอะไรในประเทศของคุณเป็นสิทธิส่วนบุคคล แต่หากจะสื่อสารกับคนไทย ควรใช้คำที่ชัดเจน เช่น “ชาวมาเลเซียเชื้อสายไทย”
การเรียกตนเองว่า "คนสยาม" (Orang Siam) มีความหมายเฉพาะในบริบทของมาเลเซีย แต่เมื่อใช้สื่อสารกับคนไทย หรือในวงวิชาการไทย อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิด ทั้งในเรื่องอัตลักษณ์ ชาติพันธุ์ และความร่วมสมัยของคำศัพท์ การเลือกใช้คำจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่ออัตลักษณ์คือสิ่งที่ต้องการสื่อสารอย่างชัดเจน ไม่ให้ใครตีความคลาดเคลื่อน