เมื่อคนไทยพบว่า คนมาเลย์ก็ "เคลม" เก่ง

เนื่องจากในปัจจุบัน มีบางท่านเริ่มพบกลุ่มประวัติศาสตร์มาเลย์ ซึ่งมีหลายครั้งที่เราพบว่ามีเรื่องราวที่แตกต่างจากมุมมองของเราหรือเติมเสริมปั้นแต่งขึ้น
ทำให้มีบางท่านนั้นถึงกับพูดว่า คนมาเลย์นั้นก็ "เคลม" เก่งไม่แพ้เพื่อนบ้านที่เคยทะเลาะกันเลย ซึ่งก็เป็นอีกสีสันหนึ่งของโซเชียลอาเซียนในช่วงเวลานี้
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีบางท่านที่เพิ่งติดตามหรือสนใจเรื่องราวประวัติศาสตร์โลกมลายู (มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, บรูไน, สิงคโปร์) มากขึ้นในไม่กีปีนี้
ผมจึงได้ทำกระทู้นี้ขึ้นมาเพื่อแจงเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ เพราะรู้ดีว่าแม้แต่โลกมลายูเอง แต่ละประเทศ แต่ละท้องถิ่นก็ถือตำราหรือปากเล่าต่างกันไป
ทั้งนี้ นอกจากจะเป็นคำเตือนและคำแนะนำแล้ว อาจจะทำให้หลายๆ ท่าน เข้าใจและศึกษาเรื่องราวประวัติศาสตร์โลกมลายูในที่ต่างๆ ง่ายขึ้นกว่าเดิม

มีหลายครั้งที่ผม Search คำว่า Sejarah Kedah แล้วพบว่ารูปภาพเรือพระที่นั่งสมัยรัชกาลที่ 4-5 ถูกไทรบุรีเคลมไปว่าเป็นเรือพระที่นั่งของสุลต่าน!!
หรืออย่างไวรัลเมื่อหลายปีก่อนเรื่องตำหนักร้างที่เมืองสุไหงปัตตานี (Sungai Petani) ก็ถูกอ้างว่าเป็นพระตำหนักของกษัตริย์อสูร (Raja Bersiong)
(กษัตริย์อสูร เป็นตำนานของไทรบุรีที่เล่าเรื่องกษัตริย์ที่โปรดเสวยโลหิตมนุษย์จนทำให้เหล่าเสนาบดีอำมาตย์ต้องรวมตัวกันขับไล่พระองค์ออกไป)
หรืออย่างฮิกายัต มะโรง มหาวังสะ ที่ถูกเขียนในศตวรรษที่ 18-19 ก็มีเนื้อหาหนึ่งที่ระบุไว้ว่ากษัตริย์สยามทรงเป็นเชื้อสายร่วมกับสุลต่านของไทรบุรี
หรือแม้แต่ตัวมหาธีร์ โมฮาหมัด เอง ที่ช่วงหนึ่งยังเคยบอกว่ามาเลเซียไม่เคยเป็นอาณานิคมใคร แต่เชิญอังกฤษมาร่วมพัฒนาบ้านเมืองด้วยเท่านั้น

หากถามว่าคนมาเลย์อ่อนประวัติศาสตร์มั้ย ถามว่าไม่เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนมาเลย์ที่อยู่แถวทางตอนเหนืออย่าง เกดะห์ กลันตัน ตรังกานู
แต่เรื่องที่ต้องระวังไว้ก็คือ ประวัติศาสตร์มลายู มักจะชอบซ้อนทับกันมาก อย่างเรื่องอาณาจักรมัชปาหิตที่อ้างว่าเคยมีพื้นที่ถึงดินแดนแหลมมลายู
แต่ก็อยู่ร่วมสมัยกับอาณาจักรมะละกาที่ศูนย์กลางอยู่ในเมืองมะละกาในปัจจุบัน และมีอาณาเขตไปถึงปัตตานีและสงขลา อันนี้ก็ต้องระวังไว้หน่อย
ไทรบุรีก็อ้างว่ารับอิสลามตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 12 ทั้งที่อาณาจักรที่มีหลักฐานชัดเจนว่ารับอิสลามเป็นรัฐแรกอย่างปาไซ เพิ่งรับในศตวรรษที่ 13
(เกร็ด: ประชาชนในสมัยนั้นต่างต้องเข้ารีตเป็นอิสลามตามผู้ปกครอง เนื่องจากเป็นช่วงที่ยังมีความเชื่อเรื่องสมมติเทพต่อผู้ปกครองเมืองอยู่)

ส่วนเรื่องวัฒนธรรม อันนี้ยอมรับว่ามาเลย์อาจจะอ้างยากหน่อย เพราะว่าวัฒนธรรมส่วนใหญ่โดยเฉพาะทางใต้ มีความแตกต่างกับมาเลย์โดยชัดเจน
แต่เรื่องประวัติศาสตร์ เชื้อชาตินิยม อย่างที่เรารู้กันว่ามีบางคนอ้างว่าถูกกดขี่ ในมุมมองกลางๆ ผมว่าอาจจะคล้ายกับเรื่องคนไทย-ไทใหญ่นี้แหละ
ผมจึงไม่แปลกใจที่เห็นคนมาเลย์ในดินแดนมาเลย์รู้สึกไม่พอใจกับคำอ้างของคนมลายูในไทยที่อ้างว่าถูกกดขี่ ห้ามไม่ใช่ภาษา นับถือศาสนา
ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว คนมลายูในไทยเอง ก็ได้รับอะไรหลายๆ อย่าง ไม่ต่างกับคนไทยโดยทั่วไป หรืออาจจะดีกว่าเสียด้วยซ้ำไป (ในมุมมองผม)
(ถ้าใครสนใจเรื่องราวเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องราวในชายแดน ขอเชิญอ่านเรื่องราวที่ผมเคยเขียนไว้ที่ https://ppantip.com/topic/39520609 )

สุดท้ายนี้ ยอมรับว่า ไม่ว่าประวัติศาสตร์จะเป็นอย่างไร มันก็คืออดีต ปัจจุบันนั้นสำคัญกว่า ประวัติศาสตร์มันก็เป็นแค่เรื่องราวเพื่อย้ำเตือนไว้เท่านั้น
การแต่งเติมประวัติศาสตร์ตามชาตินิยม เป็นเรื่องธรรมดา ใครๆ ก็ภูมิใจในอดีตของตนเองทั้งนั้น แต่ความจริงตรงหน้าเราก็คือ เรากำลังทำอะไรอยู่
เคยมีเพื่อนคนมาเลย์ ถามผมเกี่ยวกับเรื่องชายแดนใต้ ผมตอบไปว่าไม่มีใครลำบากทั้งนั้น มีแต่คนที่สบายจนเคยตัว พยายามด้อยค่าตัวเองเกินไป
เรื่องนี้ ผมนึกถึงคำพูดหนึ่งที่เคยมีคนเกดะห์เคยพูดเอาไว้ว่า "Ingatkan, kitalah orang Melayu, bukan orang Arab dan bukan hambanya" 
แปลแบบเท่ๆ เลยก็คือ "จงจำไว้ว่า เราคือคนมลายู ไม่ใช่คนอาหรับ และไม่ใช่ทาสพวกเขา" เป็นคำพูดสำคัญที่ผมยังจำไม่ลืมเลยจนถึงทุกวันนี้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่