สวัสดีค่ะเพื่อน ๆ ชาวพันทิปทุกคน 🌿
หลังจากใช้ชีวิตวนลูปอยู่ในเมืองกับการบ้านและโปรเจกต์จบที่ถาโถม เรากับเพื่อน ๆ ในคลาส GEN441 ก็ตัดสินใจว่า...พอ! ถึงเวลาหอบเป้แล้วหนีเมืองออกไปหาความสุขบ้าง 🎒✨
ทริปนี้เราเลือก
"ท้องตมใหญ่" ที่อาจไม่ใช่จุดหมายยอดฮิต แต่ขอบอกเลยว่า ความเงียบ สายลม และวิถีชีวิตเรียบง่ายที่นี่ ทำให้พวกเรารู้สึกเหมือนได้ชาร์จพลังชีวิตกลับมาเต็มถัง
📍
3 วัน 2 คืน กับกลุ่มเพื่อน และเป้หลังใบใหญ่ ที่บรรจุทั้งความสนุก ความเหนื่อย และความทรงจำดี ๆ เอาไว้ มาดูกันว่า...ที่ "ท้องตมใหญ่" มีอะไรให้เราตกหลุมรักบ้าง ❤️
รีวิวนี้มีทั้งเส้นทางการเดินทาง แคมป์ที่พัก อาหารท้องถิ่น และโมเมนต์ฮา ๆ กับเพื่อน ๆ รับรองว่าอบอุ่นแน่นอนค่ะ

เพิ่มเติมหากใครสนใจอยากดูภาพบรรยากาศของพวกเรา สามารถติดตามได้ที่คลิปนี้เลยค่ะ
https://youtu.be/ixOjGlit5HE?si=3t57HlL-zurrZGJV
----------------------------------------------------------------------
DAY 0 ( 7 เมษายน 2568)
ในการเดินทางไปจังหวัดชุมพรครั้งนี้ พวกเราเลือกที่จะไปเที่ยวที่อำเภอสวี ใน concept Low cost High experiences จึงเลือกเดินทางการด้วยรถไฟ รถไฟที่พวกเราจองนั้นคือ รถไฟด่วนพิเศษ 39 ซึ่งเป็นรถไฟชั้น 2 ที่นั่งจะสามารถปรับได้ โดยจะเดินทางจากสถานีกรุงเทพอภิวัฒน์ ถึงปลายทางสถานีสุราษฏ์ธานี แต่เราลงที่สถานีสวี ในราคาคนละ 479 บาท ซึ่งในการเดินทางครั้งนี้เรามีสมาชิกทั้งหมด 9 คน นอกจากที่จะมีพวกเรา 6 คน เนย อู๋ มังกร นนต์ ครีม และบอลที่เรียนรายวิชานี้ยังได้เพื่อนที่อยากไปเที่ยวอีก 3 คน คือกีต้าร์ เติ้ล และเอิร์ธ ซึ่งบางคนเป็นการนั่งรถไฟครั้งแรกและทุกคนยังเป็นการเดินทางไปชุมพรครั้งแรกอีกด้วย การเดินทางครั้งแรกของทุกคนจะได้เจอประสบการณ์แบบไหนทุกคนตื่นเต้นมาก

แต่ก่อนที่พวกเราจะเดินทางจะต้องเสบียงกันก่อน พวกเราแยกย้ายกันหาขนม น้ำ ข้าว ไข่ต้มมาเป็นเสบียงก่อนที่จะเริ่มเดินทาง 6 ชั่วโมงอันแสนยาวนาน เราซื้อของกันเยอะมากแต่ก่อนที่เราจะขึ้นรถไฟ วันที่ 7 เมษายน ยังเป็นวันพิเศษของคนในทริปพวกเราเลยตั้งใจนำเค้กมา Happy Birthday เนย จากนั้นหลังจากที่ทุกคนซื้อของกินกันอิ่มแล้วได้เวลาขึ้นรถไฟ

จากนั้นพอขึ้นรถไฟทุกคนหาที่นั่งตามตั๋วของตัวเอง ในเวลา 22.50 รถไฟได้ออกจากชาญชลาแล้ว (รถไฟออกตรงเวลามาก) บนรถไฟเรามีเวลา 6 ชั่วโมงในการพักผ่อน แต่แน่นอนการเดินครั้งแรกทุกคนตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ บางคนเอางานขึ้นมาทำ บางคนเล่นเกม และบางคนดูแลตัวเองก่อนที่จะได้ทำกิจกรรมมากมายในโฮมสเตย์ และหลังจากนั้นไม่นานทุกคนก็ทยอยหลับพักผ่อน แล้วเจอกันสวี!
----------------------------------------------------------------------
DAY 1 ( 8 เมษายน 2568)
จุดหมายปลายทางแรกของพวกเราคือ สถานที่รถไฟสวี ซึ่งพวกเราเดินทางมาถึงในเวลา 6.01 นาที สิ่งแรกที่กลุ่มของพวกเราทำคือการถ่ายรูปเช็คอินกับป้ายสถานีรถไฟสวี

ในขณะเดียวกันก็มีคุณลุงคนหนึ่งเดินเข้ามา และ ณ ตอนนั้นพวกเราสงสัยว่าคุณลุงเค้าเป็นใคร? แล้วเดินเข้ามาหากลุ่มพวกเราทำไม? เฉลยยยย คุณลุงเค้าเข้ามาถามว่า “กลุ่มพวกเราใช่ไหม? ที่ติดต่อลุงให้มารับไปส่งที่โฮมเตย์ท้องตมใหญ่” ซึ่งเป็นคนขับรถสองแถวที่ทางกลุ่มของพวกเราได้ติดต่อไว้เพื่อไปส่งเรายังที่โฮมเตย์ ซึ่งคุณลุงเค้ามีชื่อว่า "ลุงไข่" เป็นลุงขับรถสองแถวที่ใจดีที่สุดในสวี (คุณลุงเค้าติดไว้ตรงที่หลังรถของคุณลุง555) ณ ตอนนั้นคือพวกเรามองหน้ากันว่าคุณลุงเค้ารู้ได้ไงว่าเป็นกลุ่มของพวกเราที่ทำการติดต่อเอาไว้

ก่อนที่เราจะไปยังที่พักกลุ่มของพวกเราก็ได้ทำการเดินหาของกินตรงบริเวณสถานีรถไฟสวี เพื่อสำรวจวิถีชุมชนแถวนั้นว่าส่วนใหญ่ขายอะไรกันพร้อมกับหาของกินรองท้องก่อนที่จะไปกินอาหารเช้าที่ที่พัก ซึ่งพอพวกเราเดินได้ไปสักระยะหนึ่งจนไปเจอร้านของคุณป้าท่านหนึ่งซึ่งกำลังปิ้งอะไรสักอย่างที่มีรูปทรงเป็นสามเหลี่ยม ซึ่งนั้นก็คือ ตูปะ หรือข้าวต้มใบกะพ้อ มีลักษณะคล้ายข้าวต้มมัด แต่นิยมห่อด้วยใบกะพ้อให้เป็นรูปสามเหลี่ยม มักจะทำกันในวันก่อนรายอหนึ่งวัน โดยนำใบกะพ้อซึ่งควรใช้ยอดใบที่ยังไม่กางมาสานเป็นลูก ลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม มีสามมุมจากนั้นนำข้าวเหนียวขาวหรือข้าวเหนียวดำที่ผัดกับน้ำกะทิ น้ำตาล เกลือ จะใส่ถั่วขาวหรือถั่วดำเพื่อความอร่อยยิ่งขึ้นก็ได้ มาห่อด้วยใบกะพ้อเป็นสามเหลี่ยม แล้วนึ่งจนสุก ก็จะเป็น ตูปะ ที่เหนียวนุ่มละมุนลิ้น นิยมทำกันในช่วงงานบุญต่างๆ ถ้าเป็นชาวพุทธก็จะนิยมทำกันในช่วงออกพรรษา หรือไม่ก็ช่วงงานชักพระ ลากพระทั้งหลาย ชาวบ้านก็จะทำขนมต้มไปใส่บาตร หรือไปถวายพระ ส่วนชาวมุสลิมก็จะทำกันในวันออกอีด หรือวันฮารีรายอ ชาวมุสลิมบางจังหวัด บางชุมชน จะทำต้มกันทุกบ้าน แต่ก็จะทำใส่โน่นบ้างใส่นี้บ้างตามแต่จะบรรจงแต่งกันไป นอกจากจะนำไปมัสยิดแล้วก็ไปฝากเพื่อนบ้าน เพื่อนบ้านก็จะนำของตัวเองที่ทำไว้ใส่กลับมาให้เราต่อ

เมื่อพวกเราเดินชมตลาดรถไฟดูวิถีชีวิตเป็นที่เรียบร้อย พวกเราก็ออกเดินทางโดยรถสองแถวของคุณลุงไข่ซึ่งจะพาเราไปที่โอมสเตย์ท้องตมใหญ่ ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ 20-30 นาที ในระหว่างทางไปที่พักพวกเราสังเกตเห็นว่าในชุมชนอำเภอสวีบ้านแต่ละหลังจะอยู่ห่างกันมากและส่วนใหญ่จะมีสวนยาง สวนปาล์ม เป็นของตัวเอง ไม่ค่อยมีร้านสะดวกซื้ออย่าง 7-11 ให้เห็นตามระหว่างทาง ส่วนมากจะเป็นร้านค้าขายของ ของคนในชุมชนซะเป็นส่วนใหญ่ ผู้คนแถวนั้นดูรู้จักกันหมด เมื่อทางกลุ่มของพวกเราเข้าไปดู ผู้ใหญ่แถวนั้นก็เข้ามาถามพวกเราว่า “มาจากที่ไหนกัน แล้วพักอยู่แถวไหน” ซึ่งทำให้พวกเรามองว่าคนในชุมชนดูเป็นมิตร และยินดีต้อนรับพวกเรา
หลังจากนั้นกลุ่มของเรามาถึง
"โฮมสเตย์ท้องตมใหญ่(บ้านลุงน้อย)" เวลาประมาณ 08.30 น. โฮมสเตย์แห่งนี้ตั้งอยู่ติดทะเลในชุมชนท้องตมใหญ่ บรรยากาศตอนที่ไปถึงดีมาก ลมพัดแรงกำลังสบาย แสงแดดอ่อน ๆ ไม่ร้อนจนเกินไป ทำให้รู้สึกผ่อนคลายตั้งแต่ก้าวแรกที่มาถึงเมื่อมาถึงแล้ว เราช่วยกันขนของเข้าที่พัก ห้องนอนที่นี่เป็นห้องพัดลม มีหมอนและผ้าห่มให้ครบถ้วน ส่วนห้องน้ำและห้องอาบน้ำเป็นห้องน้ำรวม ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น โดยมีทั้งหมด 4 ห้อง แบ่งเป็นห้องน้ำในตัวห้องนอนใหญ่ 1 ห้อง และห้องน้ำกลางที่อยู่นอกตัวห้องอีก 3 ห้อง ทริปนี้กลุ่มของเราพักอยู่ที่นี่ 3 วัน 2 คืน ค่าใช้จ่ายอยู่ที่คนละ 2,600 บาท

หลังจากที่กลุ่มของเราจัดเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้ว ทางโฮมสเตย์ก็เตรียมอาหารมื้อแรกให้ทันที เป็น ข้าวต้มปลาสาก ร้อน ๆ รสชาติอร่อยมาก พวกเราอดไม่ได้ที่จะสอบถามป้าแม่ครัวถึงเหตุผลที่เลือกใช้ปลาสากเป็นวัตถุดิบ ซึ่งป้าแม่ครัวเล่าให้ฟังว่า ปลาสากเป็นปลาท้องถิ่นที่หาได้ง่ายในพื้นที่ เนื้อแน่น รสชาติอร่อย เหมาะสำหรับทำข้าวต้มที่สุด หลังจากอิ่มท้องกับอาหารเช้าแล้ว พวกเราต่างแยกย้ายกันไปทำธุระส่วนตัวและพักผ่อนตามอัธยาศัยในช่วงเช้า ก่อนที่ในช่วงบ่าย กลุ่มของเราจะนัดหมายกันออกไปสำรวจชุมชนสวี และเยี่ยมชมการเพาะพันธุ์ม้าน้ำ ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ตั้งใจมาดูในครั้งนี้

หลังจากที่พวกเราได้พักผ่อนจนหายเหนื่อยแล้ว ก็มารวมตัวกันรับประทานอาหารกลางวันในเวลา 12.30 น. มื้อนี้มีเมนูเด็ด ๆ ถึง 4 อย่าง ได้แก่ ต้มยำทะเล รสชาติจัดจ้าน กะหล่ำปลีผัดน้ำปลา หอมกลมกล่อม ทอดมันปลา เนื้อแน่นนุ่ม และ ปลาผัดซีอิ๊ว รสชาติเข้มข้น ทุกจานอร่อยมาก ๆ และคุณป้าแม่ครัวยังจัดข้าวสวยมาให้แบบไม่อั้น ทำให้มื้อนี้เป็นอีกมื้อที่พวกเราอิ่มท้องและมีความสุขสุด ๆ

หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเรียบร้อยแล้ว กลุ่มของเราก็เริ่มเตรียมตัวออกไปสำรวจพื้นที่ในชุมชนอำเภอสวี ซึ่งทางที่พักได้เตรียมรถมอเตอร์ไซค์ไว้ให้ทั้งหมด 4 คัน โกนกเล่าให้ฟังว่า 2 คันเป็นของโฮมสเตย์ และอีก 2 คันยืมมาจากคนในชุมชน สิ่งนี้ทำให้พวกเรารู้สึกประทับใจมาก เพราะสัมผัสได้ถึงความมีน้ำใจและความอบอุ่นของชุมชนท้องตมใหญ่

พวกเราเริ่มออกเดินทางสำรวจกันในเวลา 14.00 น. โดยขี่มอเตอร์ไซค์ไปเยี่ยมชมสถานที่ต่าง ๆ เช่น ศาลกรมหลวงชุมพร, หาดทุ่งขวัญทอง, และ ประตูสรรค์ เป็นต้น บรรยากาศระหว่างทางเต็มไปด้วยความสนุกสนานและตื่นเต้นกับการได้สัมผัสวิถีชีวิตในชุมชนอย่างใกล้ชิด
📍จุดหมายแรกของเราคือ "
ศาลกรมหลวงชุมพร" สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่บนยอดเขา
ตอนแรกก็คิดกันว่าขี่ขึ้นไปสวยๆ ชิลๆ แน่นอน แต่พอถึงทางขึ้นเท่านั้นแหละ... หันไปมองหน้ากันคือแบบ "ห๊ะ!?!"
ถนนชันเหมือนจะตั้งฉากกับพื้นโลกเลยค่ะ 🏍️💨 ขี่ขึ้นไม่ไหวแน่นอน มอไซค์งอแงหนักมาก พวกเราเลยต้องจอด แล้วเดินขึ้นแทน บรรยากาศระหว่างเดินขึ้นก็ทั้งเหนื่อย ทั้งขำ ใครหอบก่อนก็โดนเพื่อนแซว โวยวายกันไปตลอดทาง แต่พอถึงข้างบนเท่านั้นแหละ ลืมเหนื่อยเลย! วิวสวยมาก ลมเย็นๆ พัดมาตลอด แล้วก็เข้าไปในศาลเพื่อ
กราบไหว้องค์กรมหลวงชุมพร ด้วยความเคารพ ช่วงที่ได้ยืนสงบนิ่ง กราบไหว้กันจริงจัง มันก็มีความรู้สึกอบอุ่น อิ่มใจแปลกๆ นะ เหมือนได้เติมพลังดีๆ เข้าตัวเลย หลังจากนั้นพวกเราก็ถ่ายรูปรวมกันเป็นที่ระลึก
📍หาดทุ่งขวัญทอง
ต่อจากนั้น เราขี่รถเลาะชายฝั่งกันไปที่
หาดทุ่งขวัญทอง —หาดที่เงียบ สวย และธรรมชาติมากๆ ไม่มีคนพลุกพล่านเลย เหมือนหาดส่วนตัวของพวกเราเอง 🏖️เป็นหาดที่มีหินแทนทรายค่ะ สวยมากๆ ใครจะมาก็ระวังหน่อยนะคะด้วยความที่เป็นหินเนี่ยจะลื่นเอาการเลย แต่บรรยาการสวยเหมาะกับการถ่ายรูป มีสัตว์เล็กสัตว์น้อยตามซอกหินเต็มไปหมดเลย

ถัดมาเราได้ไปยังจุดหมายถัดไป ระหว่างทางเจอทั้งทางลาด ทางหลุม บางช่วงถนนชันจนเหมือนกำลังจะไปปีนเขา บางคนขี่หลง บางคนมอไซค์จะไม่ไหว พวกเราต้องจอดพักข้างทางกันเป็นระยะๆ ทั้งกินน้ำ ทั้งตากลม ทั้งขำท้องแข็งกับสภาพตัวเองที่เหงื่อท่วมแบบหมดสภาพ!
แต่ไฮไลต์มันยังไม่จบ! เพราะที่หมายสุดท้ายของเราคือ
"ประตูสรรค์" เส้นทางขี่ไปก็ยังคงทรหดเหมือนเดิม ลูกรังบ้าง หลุมบ้าง ถนนลื่นบ้าง บางช่วงต้องลงเขาแบบเบรกมือสั่น 555 แต่พอถึง "ประตูสรรค์" เท่านั้นแหละ — เหมือนหลุดเข้าไปอีกโลกนึง
"ประตูสรรค์" คือซุ้มหินธรรมชาติริมทะเล มองทะลุออกไปเห็นน้ำทะเลสีฟ้าใส ลมแรงพัดเอาความเหนื่อยหายวับไปหมด พวกเราแทบจะลงไปนอนกลิ้งกับทราย เป็นโมเมนต์ที่โคตรดีจริงๆ

แถมเดินต่ออีกนิดเรียบชายหาด ยังมีโขดหินจำนวนมาก ให้ได้เดินและถ่ายรูปเล่นอีกด้วย แต่ย้ำนะคะ ทางเดินค่อนข้างยาก เพราะมีแต่หินก้อนใหญ่ๆทั้งนั้นเลย หากใครมาเดินต้องระวังด้วยนะคะ
------ อ่านต่อที่ Comment ------
[CR] แบกเป้หนีเมือง ไปเจอความสุขที่ท้องตมใหญ่ | 3 วัน 2 คืน กับเพื่อน ๆ | Backpack Trip | GEN441
หลังจากใช้ชีวิตวนลูปอยู่ในเมืองกับการบ้านและโปรเจกต์จบที่ถาโถม เรากับเพื่อน ๆ ในคลาส GEN441 ก็ตัดสินใจว่า...พอ! ถึงเวลาหอบเป้แล้วหนีเมืองออกไปหาความสุขบ้าง 🎒✨
ทริปนี้เราเลือก "ท้องตมใหญ่" ที่อาจไม่ใช่จุดหมายยอดฮิต แต่ขอบอกเลยว่า ความเงียบ สายลม และวิถีชีวิตเรียบง่ายที่นี่ ทำให้พวกเรารู้สึกเหมือนได้ชาร์จพลังชีวิตกลับมาเต็มถัง
📍3 วัน 2 คืน กับกลุ่มเพื่อน และเป้หลังใบใหญ่ ที่บรรจุทั้งความสนุก ความเหนื่อย และความทรงจำดี ๆ เอาไว้ มาดูกันว่า...ที่ "ท้องตมใหญ่" มีอะไรให้เราตกหลุมรักบ้าง ❤️
รีวิวนี้มีทั้งเส้นทางการเดินทาง แคมป์ที่พัก อาหารท้องถิ่น และโมเมนต์ฮา ๆ กับเพื่อน ๆ รับรองว่าอบอุ่นแน่นอนค่ะ
เพิ่มเติมหากใครสนใจอยากดูภาพบรรยากาศของพวกเรา สามารถติดตามได้ที่คลิปนี้เลยค่ะ https://youtu.be/ixOjGlit5HE?si=3t57HlL-zurrZGJV
----------------------------------------------------------------------
DAY 0 ( 7 เมษายน 2568)
ในการเดินทางไปจังหวัดชุมพรครั้งนี้ พวกเราเลือกที่จะไปเที่ยวที่อำเภอสวี ใน concept Low cost High experiences จึงเลือกเดินทางการด้วยรถไฟ รถไฟที่พวกเราจองนั้นคือ รถไฟด่วนพิเศษ 39 ซึ่งเป็นรถไฟชั้น 2 ที่นั่งจะสามารถปรับได้ โดยจะเดินทางจากสถานีกรุงเทพอภิวัฒน์ ถึงปลายทางสถานีสุราษฏ์ธานี แต่เราลงที่สถานีสวี ในราคาคนละ 479 บาท ซึ่งในการเดินทางครั้งนี้เรามีสมาชิกทั้งหมด 9 คน นอกจากที่จะมีพวกเรา 6 คน เนย อู๋ มังกร นนต์ ครีม และบอลที่เรียนรายวิชานี้ยังได้เพื่อนที่อยากไปเที่ยวอีก 3 คน คือกีต้าร์ เติ้ล และเอิร์ธ ซึ่งบางคนเป็นการนั่งรถไฟครั้งแรกและทุกคนยังเป็นการเดินทางไปชุมพรครั้งแรกอีกด้วย การเดินทางครั้งแรกของทุกคนจะได้เจอประสบการณ์แบบไหนทุกคนตื่นเต้นมาก
แต่ก่อนที่พวกเราจะเดินทางจะต้องเสบียงกันก่อน พวกเราแยกย้ายกันหาขนม น้ำ ข้าว ไข่ต้มมาเป็นเสบียงก่อนที่จะเริ่มเดินทาง 6 ชั่วโมงอันแสนยาวนาน เราซื้อของกันเยอะมากแต่ก่อนที่เราจะขึ้นรถไฟ วันที่ 7 เมษายน ยังเป็นวันพิเศษของคนในทริปพวกเราเลยตั้งใจนำเค้กมา Happy Birthday เนย จากนั้นหลังจากที่ทุกคนซื้อของกินกันอิ่มแล้วได้เวลาขึ้นรถไฟ
จากนั้นพอขึ้นรถไฟทุกคนหาที่นั่งตามตั๋วของตัวเอง ในเวลา 22.50 รถไฟได้ออกจากชาญชลาแล้ว (รถไฟออกตรงเวลามาก) บนรถไฟเรามีเวลา 6 ชั่วโมงในการพักผ่อน แต่แน่นอนการเดินครั้งแรกทุกคนตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ บางคนเอางานขึ้นมาทำ บางคนเล่นเกม และบางคนดูแลตัวเองก่อนที่จะได้ทำกิจกรรมมากมายในโฮมสเตย์ และหลังจากนั้นไม่นานทุกคนก็ทยอยหลับพักผ่อน แล้วเจอกันสวี!
----------------------------------------------------------------------
DAY 1 ( 8 เมษายน 2568)
จุดหมายปลายทางแรกของพวกเราคือ สถานที่รถไฟสวี ซึ่งพวกเราเดินทางมาถึงในเวลา 6.01 นาที สิ่งแรกที่กลุ่มของพวกเราทำคือการถ่ายรูปเช็คอินกับป้ายสถานีรถไฟสวี
ในขณะเดียวกันก็มีคุณลุงคนหนึ่งเดินเข้ามา และ ณ ตอนนั้นพวกเราสงสัยว่าคุณลุงเค้าเป็นใคร? แล้วเดินเข้ามาหากลุ่มพวกเราทำไม? เฉลยยยย คุณลุงเค้าเข้ามาถามว่า “กลุ่มพวกเราใช่ไหม? ที่ติดต่อลุงให้มารับไปส่งที่โฮมเตย์ท้องตมใหญ่” ซึ่งเป็นคนขับรถสองแถวที่ทางกลุ่มของพวกเราได้ติดต่อไว้เพื่อไปส่งเรายังที่โฮมเตย์ ซึ่งคุณลุงเค้ามีชื่อว่า "ลุงไข่" เป็นลุงขับรถสองแถวที่ใจดีที่สุดในสวี (คุณลุงเค้าติดไว้ตรงที่หลังรถของคุณลุง555) ณ ตอนนั้นคือพวกเรามองหน้ากันว่าคุณลุงเค้ารู้ได้ไงว่าเป็นกลุ่มของพวกเราที่ทำการติดต่อเอาไว้
ก่อนที่เราจะไปยังที่พักกลุ่มของพวกเราก็ได้ทำการเดินหาของกินตรงบริเวณสถานีรถไฟสวี เพื่อสำรวจวิถีชุมชนแถวนั้นว่าส่วนใหญ่ขายอะไรกันพร้อมกับหาของกินรองท้องก่อนที่จะไปกินอาหารเช้าที่ที่พัก ซึ่งพอพวกเราเดินได้ไปสักระยะหนึ่งจนไปเจอร้านของคุณป้าท่านหนึ่งซึ่งกำลังปิ้งอะไรสักอย่างที่มีรูปทรงเป็นสามเหลี่ยม ซึ่งนั้นก็คือ ตูปะ หรือข้าวต้มใบกะพ้อ มีลักษณะคล้ายข้าวต้มมัด แต่นิยมห่อด้วยใบกะพ้อให้เป็นรูปสามเหลี่ยม มักจะทำกันในวันก่อนรายอหนึ่งวัน โดยนำใบกะพ้อซึ่งควรใช้ยอดใบที่ยังไม่กางมาสานเป็นลูก ลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม มีสามมุมจากนั้นนำข้าวเหนียวขาวหรือข้าวเหนียวดำที่ผัดกับน้ำกะทิ น้ำตาล เกลือ จะใส่ถั่วขาวหรือถั่วดำเพื่อความอร่อยยิ่งขึ้นก็ได้ มาห่อด้วยใบกะพ้อเป็นสามเหลี่ยม แล้วนึ่งจนสุก ก็จะเป็น ตูปะ ที่เหนียวนุ่มละมุนลิ้น นิยมทำกันในช่วงงานบุญต่างๆ ถ้าเป็นชาวพุทธก็จะนิยมทำกันในช่วงออกพรรษา หรือไม่ก็ช่วงงานชักพระ ลากพระทั้งหลาย ชาวบ้านก็จะทำขนมต้มไปใส่บาตร หรือไปถวายพระ ส่วนชาวมุสลิมก็จะทำกันในวันออกอีด หรือวันฮารีรายอ ชาวมุสลิมบางจังหวัด บางชุมชน จะทำต้มกันทุกบ้าน แต่ก็จะทำใส่โน่นบ้างใส่นี้บ้างตามแต่จะบรรจงแต่งกันไป นอกจากจะนำไปมัสยิดแล้วก็ไปฝากเพื่อนบ้าน เพื่อนบ้านก็จะนำของตัวเองที่ทำไว้ใส่กลับมาให้เราต่อ
เมื่อพวกเราเดินชมตลาดรถไฟดูวิถีชีวิตเป็นที่เรียบร้อย พวกเราก็ออกเดินทางโดยรถสองแถวของคุณลุงไข่ซึ่งจะพาเราไปที่โอมสเตย์ท้องตมใหญ่ ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ 20-30 นาที ในระหว่างทางไปที่พักพวกเราสังเกตเห็นว่าในชุมชนอำเภอสวีบ้านแต่ละหลังจะอยู่ห่างกันมากและส่วนใหญ่จะมีสวนยาง สวนปาล์ม เป็นของตัวเอง ไม่ค่อยมีร้านสะดวกซื้ออย่าง 7-11 ให้เห็นตามระหว่างทาง ส่วนมากจะเป็นร้านค้าขายของ ของคนในชุมชนซะเป็นส่วนใหญ่ ผู้คนแถวนั้นดูรู้จักกันหมด เมื่อทางกลุ่มของพวกเราเข้าไปดู ผู้ใหญ่แถวนั้นก็เข้ามาถามพวกเราว่า “มาจากที่ไหนกัน แล้วพักอยู่แถวไหน” ซึ่งทำให้พวกเรามองว่าคนในชุมชนดูเป็นมิตร และยินดีต้อนรับพวกเรา
หลังจากนั้นกลุ่มของเรามาถึง "โฮมสเตย์ท้องตมใหญ่(บ้านลุงน้อย)" เวลาประมาณ 08.30 น. โฮมสเตย์แห่งนี้ตั้งอยู่ติดทะเลในชุมชนท้องตมใหญ่ บรรยากาศตอนที่ไปถึงดีมาก ลมพัดแรงกำลังสบาย แสงแดดอ่อน ๆ ไม่ร้อนจนเกินไป ทำให้รู้สึกผ่อนคลายตั้งแต่ก้าวแรกที่มาถึงเมื่อมาถึงแล้ว เราช่วยกันขนของเข้าที่พัก ห้องนอนที่นี่เป็นห้องพัดลม มีหมอนและผ้าห่มให้ครบถ้วน ส่วนห้องน้ำและห้องอาบน้ำเป็นห้องน้ำรวม ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น โดยมีทั้งหมด 4 ห้อง แบ่งเป็นห้องน้ำในตัวห้องนอนใหญ่ 1 ห้อง และห้องน้ำกลางที่อยู่นอกตัวห้องอีก 3 ห้อง ทริปนี้กลุ่มของเราพักอยู่ที่นี่ 3 วัน 2 คืน ค่าใช้จ่ายอยู่ที่คนละ 2,600 บาท
หลังจากที่กลุ่มของเราจัดเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้ว ทางโฮมสเตย์ก็เตรียมอาหารมื้อแรกให้ทันที เป็น ข้าวต้มปลาสาก ร้อน ๆ รสชาติอร่อยมาก พวกเราอดไม่ได้ที่จะสอบถามป้าแม่ครัวถึงเหตุผลที่เลือกใช้ปลาสากเป็นวัตถุดิบ ซึ่งป้าแม่ครัวเล่าให้ฟังว่า ปลาสากเป็นปลาท้องถิ่นที่หาได้ง่ายในพื้นที่ เนื้อแน่น รสชาติอร่อย เหมาะสำหรับทำข้าวต้มที่สุด หลังจากอิ่มท้องกับอาหารเช้าแล้ว พวกเราต่างแยกย้ายกันไปทำธุระส่วนตัวและพักผ่อนตามอัธยาศัยในช่วงเช้า ก่อนที่ในช่วงบ่าย กลุ่มของเราจะนัดหมายกันออกไปสำรวจชุมชนสวี และเยี่ยมชมการเพาะพันธุ์ม้าน้ำ ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ตั้งใจมาดูในครั้งนี้
หลังจากที่พวกเราได้พักผ่อนจนหายเหนื่อยแล้ว ก็มารวมตัวกันรับประทานอาหารกลางวันในเวลา 12.30 น. มื้อนี้มีเมนูเด็ด ๆ ถึง 4 อย่าง ได้แก่ ต้มยำทะเล รสชาติจัดจ้าน กะหล่ำปลีผัดน้ำปลา หอมกลมกล่อม ทอดมันปลา เนื้อแน่นนุ่ม และ ปลาผัดซีอิ๊ว รสชาติเข้มข้น ทุกจานอร่อยมาก ๆ และคุณป้าแม่ครัวยังจัดข้าวสวยมาให้แบบไม่อั้น ทำให้มื้อนี้เป็นอีกมื้อที่พวกเราอิ่มท้องและมีความสุขสุด ๆ
หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเรียบร้อยแล้ว กลุ่มของเราก็เริ่มเตรียมตัวออกไปสำรวจพื้นที่ในชุมชนอำเภอสวี ซึ่งทางที่พักได้เตรียมรถมอเตอร์ไซค์ไว้ให้ทั้งหมด 4 คัน โกนกเล่าให้ฟังว่า 2 คันเป็นของโฮมสเตย์ และอีก 2 คันยืมมาจากคนในชุมชน สิ่งนี้ทำให้พวกเรารู้สึกประทับใจมาก เพราะสัมผัสได้ถึงความมีน้ำใจและความอบอุ่นของชุมชนท้องตมใหญ่
พวกเราเริ่มออกเดินทางสำรวจกันในเวลา 14.00 น. โดยขี่มอเตอร์ไซค์ไปเยี่ยมชมสถานที่ต่าง ๆ เช่น ศาลกรมหลวงชุมพร, หาดทุ่งขวัญทอง, และ ประตูสรรค์ เป็นต้น บรรยากาศระหว่างทางเต็มไปด้วยความสนุกสนานและตื่นเต้นกับการได้สัมผัสวิถีชีวิตในชุมชนอย่างใกล้ชิด
📍จุดหมายแรกของเราคือ "ศาลกรมหลวงชุมพร" สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่บนยอดเขา
ตอนแรกก็คิดกันว่าขี่ขึ้นไปสวยๆ ชิลๆ แน่นอน แต่พอถึงทางขึ้นเท่านั้นแหละ... หันไปมองหน้ากันคือแบบ "ห๊ะ!?!" ถนนชันเหมือนจะตั้งฉากกับพื้นโลกเลยค่ะ 🏍️💨 ขี่ขึ้นไม่ไหวแน่นอน มอไซค์งอแงหนักมาก พวกเราเลยต้องจอด แล้วเดินขึ้นแทน บรรยากาศระหว่างเดินขึ้นก็ทั้งเหนื่อย ทั้งขำ ใครหอบก่อนก็โดนเพื่อนแซว โวยวายกันไปตลอดทาง แต่พอถึงข้างบนเท่านั้นแหละ ลืมเหนื่อยเลย! วิวสวยมาก ลมเย็นๆ พัดมาตลอด แล้วก็เข้าไปในศาลเพื่อ กราบไหว้องค์กรมหลวงชุมพร ด้วยความเคารพ ช่วงที่ได้ยืนสงบนิ่ง กราบไหว้กันจริงจัง มันก็มีความรู้สึกอบอุ่น อิ่มใจแปลกๆ นะ เหมือนได้เติมพลังดีๆ เข้าตัวเลย หลังจากนั้นพวกเราก็ถ่ายรูปรวมกันเป็นที่ระลึก
📍หาดทุ่งขวัญทอง
ต่อจากนั้น เราขี่รถเลาะชายฝั่งกันไปที่ หาดทุ่งขวัญทอง —หาดที่เงียบ สวย และธรรมชาติมากๆ ไม่มีคนพลุกพล่านเลย เหมือนหาดส่วนตัวของพวกเราเอง 🏖️เป็นหาดที่มีหินแทนทรายค่ะ สวยมากๆ ใครจะมาก็ระวังหน่อยนะคะด้วยความที่เป็นหินเนี่ยจะลื่นเอาการเลย แต่บรรยาการสวยเหมาะกับการถ่ายรูป มีสัตว์เล็กสัตว์น้อยตามซอกหินเต็มไปหมดเลย
ถัดมาเราได้ไปยังจุดหมายถัดไป ระหว่างทางเจอทั้งทางลาด ทางหลุม บางช่วงถนนชันจนเหมือนกำลังจะไปปีนเขา บางคนขี่หลง บางคนมอไซค์จะไม่ไหว พวกเราต้องจอดพักข้างทางกันเป็นระยะๆ ทั้งกินน้ำ ทั้งตากลม ทั้งขำท้องแข็งกับสภาพตัวเองที่เหงื่อท่วมแบบหมดสภาพ! แต่ไฮไลต์มันยังไม่จบ! เพราะที่หมายสุดท้ายของเราคือ "ประตูสรรค์" เส้นทางขี่ไปก็ยังคงทรหดเหมือนเดิม ลูกรังบ้าง หลุมบ้าง ถนนลื่นบ้าง บางช่วงต้องลงเขาแบบเบรกมือสั่น 555 แต่พอถึง "ประตูสรรค์" เท่านั้นแหละ — เหมือนหลุดเข้าไปอีกโลกนึง
"ประตูสรรค์" คือซุ้มหินธรรมชาติริมทะเล มองทะลุออกไปเห็นน้ำทะเลสีฟ้าใส ลมแรงพัดเอาความเหนื่อยหายวับไปหมด พวกเราแทบจะลงไปนอนกลิ้งกับทราย เป็นโมเมนต์ที่โคตรดีจริงๆ
แถมเดินต่ออีกนิดเรียบชายหาด ยังมีโขดหินจำนวนมาก ให้ได้เดินและถ่ายรูปเล่นอีกด้วย แต่ย้ำนะคะ ทางเดินค่อนข้างยาก เพราะมีแต่หินก้อนใหญ่ๆทั้งนั้นเลย หากใครมาเดินต้องระวังด้วยนะคะ
------ อ่านต่อที่ Comment ------
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้