บจ.แห่ซื้อหุ้นคืนทุบสถิติ แค่ไตรมาสเดียวเคาะ 3.6 หมื่นล้าน

ด้วยภาวะตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันที่ดัชนี SET ลงมาอยู่ระดับต่ำกว่า 1,100 จุด และมีความเสี่ยงจะหลุด 1,000 จุดลงได้อีก จนหน่วยงานกำกับดูแลและภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ต้องมีมาตรการออกมาอุ้มอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็มีการส่งสัญญาณสนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (บจ.) ทำโครงการ “Treasury Stock” หรือ “ซื้อหุ้นคืน” กันให้มากขึ้น

บจ.แห่ประกาศซื้อหุ้นคืนทุบสถิติ
ดร.ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กรและหัวหน้าสายงานพัฒนาความยั่งยืนตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ในปี 2568 เห็นสัญญาณที่ บจ.มีการประกาศโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารจัดการสภาพคล่องทางการเงิน หรือ Treasury Stock เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

โดยเหตุผลหลัก คือ บจ. แต่ละแห่งคงมองว่าราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน (Fundamental) ไปมาก ซึ่งเป็นเพราะสถานการณ์ตลาดหุ้นช่วงนี้ตกลงทั้งกระดาน (Across the Board) จากปัจจัยความตื่นตระหนกเรื่องแผ่นดินไหว และความกังวลเรื่องสงครามการค้าโลก (Trade War 2.0) จากกรณีนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) หลายประเทศทั่วโลก

ทั้งนี้ สิ้นไตรมาส 1/2568 (ม.ค.-มี.ค.) พบว่า มีจำนวน บจ.ถึง 30 บริษัท ประกาศซื้อหุ้นคืน เป็นวงเงินรวมกันถึง 36,845 ล้านบาท

“ถือว่าวงเงินรวมสูงกว่าภาพทั้งปีของปี 2565-2567 ที่มีมูลค่ารวม 15,015 ล้านบาท, 11,576 ล้านบาท และ 29,223 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่ง บจ.ใน SET ที่ประกาศซื้อหุ้นคืนในไตรมาสแรกปีนี้ มีทั้งสิ้น 26 บริษัท วงเงินรวม 36,590 ล้านบาท ที่เหลืออีก 4 บริษัท เป็น บจ.ใน mai”

3 เซ็กเตอร์ซื้อหุ้นคืนสูงสุด
ดร.ศรพลกล่าวว่า บจ.ที่ซื้อหุ้นคืนส่วนใหญ่อยู่ใน 3 เซ็กเตอร์หลัก ได้แก่ 1.กลุ่มทรัพยากร ประกาศซื้อหุ้นคืน วงเงินรวม 16,700 ล้านบาท อาทิ บมจ.ปตท. (PTT) ประกาศซื้อหุ้นคืนรวม 16,000 ล้านบาท 2.กลุ่มบริการ ประกาศซื้อหุ้นคืน วงเงินรวม 9,874 ล้านบาท เช่น บมจ.โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO) ประกาศซื้อหุ้นคืนรวม 7,000 ล้านบาท และ 3. กลุ่มธุรกิจการเงิน ประกาศซื้อหุ้นคืน วงเงินรวม 7,500 ล้านบาท เช่น บมจ.ธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB) ซื้อหุ้นคืนรวม 7,000 ล้านบาท


“ตลาดหลักทรัพย์ฯกำลังมอนิเตอร์การทำ Treasury Stock อยู่ เพราะถือเป็นเครื่องมือมาตรฐานหนึ่งในการบริหารจัดการเงินทุนของบริษัทจดทะเบียนทั่วโลก ซึ่งตอนนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯก็ดูเรื่องปรับกฎเกณฑ์บางอย่างให้มีความคล่องตัวขึ้น โดยให้กระทรวงพาณิชย์ช่วยดำเนินการ”

“ตลท.-พาณิชย์” เร่งแก้เกณฑ์หนุน
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลท. ระบุว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯกำลังหารือกับกระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในการสนับสนุนการทำ Treasury Stock เพราะเป็นอีกหนึ่งกลไกที่ช่วยให้มูลค่ากิจการของ บจ. สะท้อนได้อย่างเหมาะสม โดยมีการหารือเพื่อจะปรับเปลี่ยนเกณฑ์ให้สะดวกและคล่องตัวขึ้น ซึ่งไม่ต้องแก้ไขกฎหมาย เพียงแต่ต้องแก้กฎกระทรวงเท่านั้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระทรวงพาณิชย์ได้เปิดผลรับฟังความคิดเห็นร่างกฎกระทรวงการซื้อหุ้นคืนของบริษัทมหาชน ที่ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นไปเมื่อวันที่ 12-27 มี.ค. 2568 ที่ผ่านมา โดยมีผู้เข้าร่วมแสดงความเห็น 34 ราย มีผู้เห็นด้วย 24 ราย คิดเป็นสัดส่วน 70.59%

ประเด็นแรก คือ 1.ยกเลิกระยะเวลาพักคอย (Breaking Period) จากเดิมกำหนดให้การซื้อหุ้นคืนตามโครงการซื้อหุ้นคืนครั้งใหม่จะทำได้เมื่อพ้นกำหนด 6 เดือน นับแต่วันซื้อหุ้นคืนครบจำนวนแล้ว มีผู้เห็นด้วย 25 ราย คิดเป็นสัดส่วน 73.53%

และ 2.ขยายระยะเวลาการขายหุ้นที่ซื้อคืนออกไปได้อีก 2 ปี หากราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในช่วงเวลาที่กำหนดไว้ในการซื้อหุ้นคืนต่ำกว่าหรือเท่ากับราคาซื้อคืนเฉลี่ย และหากไม่สามารถขายหุ้นที่ซื้อคืนได้หมดภายใน 2 ปี อาจขยายระยะเวลาการขายหุ้นที่ซื้อคืนได้อีกไม่เกิน 1 ปี เพื่อช่วยให้บริษัทสามารถบริหารจัดการการขายหุ้นที่ซื้อคืนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรองรับกรณีเกิดสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น ทั้งนี้ ในการขยายระยะเวลาดังกล่าวจะต้องได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นก่อน

“พาณิชย์” เร่งชง ครม.แก้เกณฑ์
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า กรมให้ความสำคัญกับข้อกังวลเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิของผู้ถือหุ้นรายย่อย ความชัดเจนของระยะเวลาในการถือครองหุ้นที่ซื้อคืน และแนวปฏิบัติที่เป็นไปตามมาตรฐานสากล เพื่อให้ร่างกฎกระทรวงดังกล่าว สามารถส่งเสริมการดำเนินธุรกิจของบริษัทเอกชนได้อย่างมีเสถียรภาพและความน่าเชื่อถือ

จะนำผลการรับฟังความคิดเห็นมาสรุปและวิเคราะห์ถึงผลกระทบเพื่อพิจารณาปรับปรุงร่างกฎกระทรวง ก่อนเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) และส่งต่อให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาปรับปรุงร่างกฎหมายอีกครั้ง โดยจะมีการเผยแพร่ข้อมูลความคืบหน้าให้ประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้รับทราบต่อไป

อีกหลาย บจ.มีศักยภาพทำได้
นายภูวดล ภูสอดเงิน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปีนี้เทรนด์การซื้อหุ้นคืนแค่ไตรมาสแรก ไตรมาสเดียวสูงถึง 36,800 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าปี 2565-2567 และมากกว่าช่วงปีที่เกิดวิกฤตโควิดที่มีวงเงินซื้อหุ้นคืนอยู่ประมาณ 25,000 ล้านบาท สาเหตุเพราะผลของราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาต่ำกว่าพื้นฐานค่อนข้างมาก

“เราประเมินว่า บจ.ที่มีศักยภาพในการซื้อหุ้นคืนเพิ่มเติมจากนี้ น่าจะเป็นกลุ่มบริษัทลูกของ ปตท. อย่าง บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (OR) หรือ บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) รวมทั้งบริษัทลูก บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) อย่าง บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) และ บมจ.เอสซีจี เดคคอร์ (SCGD) นอกจากนี้ บริษัทอื่น ๆ ที่ยังพอมีสภาพคล่องทางการเงินเหลืออยู่มีโอกาสซื้อหุ้นคืน เช่น บมจ.บ้านปู (BANPU), บมจ.ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส (HANA), บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN), บมจ.จีเอฟพีที (GFPT) เป็นต้น”

ขณะที่ บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 3 เม.ย.ที่ผ่านมา ก็ได้มีการอนุมัติเพิ่มวงเงินซื้อหุ้นคืนจากเดิม 3,000 ล้านบาท เป็นไม่เกิน 5,000 ล้านบาท โดยให้เหตุผลว่าบริษัทมีสภาพคล่องส่วนเกินจากการดำเนินงานที่สูง และสภาวะตลาดในปัจจุบันมีความผันผวนที่เพิ่มขึ้นจากหลายปัจจัย ส่งผลให้ราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานและไม่สอดคล้องกับผลการดำเนินงานของบริษัท

คาดบาง บจ.รอดูเอฟเฟ็กต์ “ทรัมป์”
นายภูวดลกล่าวต่อว่า มองว่าหลาย ๆ บจ.ที่ยังไม่ได้ประกาศโครงการซื้อหุ้นคืนออกมานั้น อาจเป็นเพราะต้องประเมินสถานการณ์ผลกระทบ Trade War 2.0 จาก Reciprocal Tariffs ก่อน แต่ภายในบริษัทเชื่อว่าคงมีการศึกษาเรื่องนี้กันไว้แล้ว เพราะราคาหุ้นปรับลงมามาก

“หลายบริษัทน่าจะแค่รอว่าจะเริ่มคิกออฟเมื่อไร ถ้าผลกระทบอยู่ในระดับที่จัดการได้ และมีสภาพคล่องยืนระยะไปได้ 3-5 ปี คงจะตัดสินใจซื้อหุ้นคืน เพราะคงมองผลกระทบภาษีทรัมป์แค่ 1-2 ปี”

นายภูวดลกล่าวว่า ข้อดีการซื้อหุ้นคืน จะทำให้กำไรต่อหุ้น (EPS) และอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) สูงขึ้น เนื่องจากหุ้นที่ถูกซื้อคืนจะไม่ถูกนำมาคำนวณกำไรต่อหุ้น และมีโอกาสได้รับเงินปันผลต่อหุ้นสูงขึ้น รวมถึงมีโอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับตัวสูงขึ้น ในระดับที่ P/E เท่าเดิม...

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/finance/news-1795083


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่