JJNY : 5in1 ไทยติดอันดับ 23│DSI เข้าค้นเครือข่ายไชน่าเรลเวย์ฯ│พรุ่งนี้ สธ.นัดถก│ทองทำนิวไฮไม่หยุด│รัสเซียมีแผนใช้สินค้า

ไทยติดอันดับ 23 ปท.ทุจริตจัดซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ พบปี 64-65 ยอดนำเข้ารวมมูลค่า 1.3 หมื่นล.
.
.
สื่อสหรัฐฯ จัดไทยอันดับ 23 จาก 25 อันดับประเทศทุจริตที่เป็นลูกค้าซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ เผยข้อมูลปี 64-65 ไทยซื้ออาวุธนำเข้าจากสหรัฐฯ  รวม 1.3 หมื่นล้าน ขณะอัฟกานิสถานได้อันดับหนึ่ง จัดซื้ออาวุธ 2.3 หมื่นล้าน ส่วนเนปาลรั้งท้ายอันดับ 25 จัดซื้ออาวุธสหรัฐฯหลักพันล้าน
.
-----------------------------------------------------------------------------------------------------
.
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานข่าวอ้องอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ 24/7 Wall St ซึ่งเป็นเว็บไซต์ข่าวด้านการเงินของสหรัฐอเมริกาที่ที่รายงานข้อมูลการจัดอันดับประเทศซึ่งมีพฤติกรรมทุจริตและเป็นลูกค้าในด้านการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์กับสหรัฐอเมริกาในช่วงปี 2564-2565 โดยไทยติดอันดับ 23 จากที่มีการจัดอันดับทั้งหมด 25 อันดับ 
.
โดยในช่วงตั้งแต่ปี 2564-2665 ไทยมีการจัดซื้ออาวุธ นำเข้าจากสหรัฐฯ อยู่ที่ 441.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (13,681,462,720 บาท) ทว่าไทยกลับมีคะแนนในดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) อยู่ที่ 34 จากทั้งหมด 100 คะแนน และมีลักษณะของรัฐบาลในช่วงเวลาดังกล่าวคือเผด็จการแบบปิด หรือระบบ Closed Autocracy ซึ่งประชาชนไม่มีสิทธิ์เลือกผู้บริหารระดับสูงของรัฐบาลหรือฝ่ายนิติบัญญัติผ่านการเลือกตั้งแบบหลายพรรค
.
สำหรับข้อมูลการส่งมอบอาวุธลอตล่าสุดของไทยและสหรัฐฯ ที่ปรากฏข้อมูลได้แก่การส่งมอบ อาวุธอาทิ เครื่องบินโจมตีภาคพื้นดิน AT-6 Wolverine 8 ลําในปี 2564 (38.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 1,261,923,000 บาท), เฮลิคอปเตอร์ต่อสู้ AH-8S 8 ลําในปี 2565 (32.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯหรือ 1,062,703,843 บาท), เฮลิคอปเตอร์ขนส่ง S-70 Black Hawk 9 ลําในปี 2565(26.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 866,976,750 บาท)
.
ขณะที่ประเทศซึ่งมีการทุจริตเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งเคยมีประวัติการจัดซื้ออาวุธจากสหรัฐฯในช่วงปี 2564-2565 ได้แก่ประเทศอัฟกานิสถาน โดยมีอันดับ CPI อยู่ที่อันดับ 17 แต่มีการจัดซื้ออาวุธจากสหรัฐฯไปในช่วงเวลาดังกล่าวอยู่ที่ 710.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (23,605,189,800 บาท) ส่วนประเทศที่ทุจริตเป็นอันดับที่ 25 ซึ่งเคยมีประวัติการจัดซื้ออาวุธจากสหรัฐฯในช่วงปี 2564-2565 ได้แก่ประเทศเนปาล มีการจัดซื้ออาวุธไปทั้งสิ้น 31.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (1,052,756,727 บาท)
.

.
DSI เข้าค้น เครือข่ายบริษัทไชน่าเรลเวย์ฯ - กิจการร่วมค้า PKW 4 ขุดกลอุบาย “ฟันราคา”
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_9721983
.
DSI นำกำลังเข้าค้น เครือข่ายบริษัทไชน่าเรลเวย์ฯ – กิจการร่วมค้า PKW 4 เป้าหมายสำคัญยึดเอกสารประกอบกิจการและเอกสารโครงการก่อสร้างฯ
.
วันที่ 17 เม.ย.2568 พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้มอบหมายให้ ร้อยตำรวจเอก สุรวุฒิ รังไสย์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 32/2568 กรณี คดีความผิดตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 และความผิดที่เกี่ยวข้อง กรณีอาคารของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)
.
ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างถล่มพังเสียหายในเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา นำเจ้าหน้าที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ วิศวกรจากกรมโยธาธิการและผังเมือง พร้อมหมายค้นของศาลอาญาเข้าตรวจค้นบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัทกิจการร่วมค้า PKW ซึ่งเป็นผู้ควบคุมงานก่อสร้างรวม 4 จุด
.
ได้แก่ จุดที่ 1 บริษัท คาร์ฮัพ จำกัด จุด 2 บริษัท กิจการร่วมค้า PKW จุด 3 บริษัท ว.และสหาย และจุด 4 บริษัท PN ซิงโครไนส์ เพื่อพบและตรวจยึดพยานหลักฐานต่าง ๆ เพื่อประกอบการสอบสวนดำเนินคดี เบื้องต้นพบและตรวจยึดพยานเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างอาคารดังกล่าวและการประกอบธุรกิจได้เป็นจำนวนมากและมีการตรวจยึดเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินโครงการก่อสร้างในเรื่องนี้ มาตรวจสอบด้วยและจะเชิญผู้เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำประกอบพยานหลักฐานโดยเร็ว
.
ร้อยตำรวจเอก สุรวุฒิ กล่าวว่า คดีนอมินี มีความคืบหน้าไปมากทั้งเรื่องพยานหลักฐานเส้นทางการเงินที่พิสูจน์ทุนและการถือครองหุ้นแทนคนต่างด้าว ขณะนี้มีการรวบรวมพยานหลักฐานในเรื่องการทำให้การแข่งขันในการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐไม่เป็นธรรม จนได้โครงการมาว่ามีการใช้กลอุบาย “ฟันราคา” แล้วมาลดงานภายหลัง อันจะเป็นความผิดตามกฎหมายฮั้วประมูลหรือพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ หรือไม่ ซึ่งต้องเร่งทำความจริงให้ปรากฏ
.

.
ดีเดย์พรุ่งนี้ สธ.นัดถกแก้ปัญหา "หมอ"แห่ลาออก ชี้มีข้อจำกัดเรื่องค่าตอบแทน
.
รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผย สธ.จ่อประชุมแก้ปัญหา หมอลาออก พรุ่งนี้ ชี้มีข้อจำกัดเรื่องค่าตอบแทน
.
วันที่ 17 เม.ย.2568 นพ.ภูวเดช สุระโคตร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) เปิดเผยกรณีแพทย์ลาออกจากระบบราชการ ว่า กระทรวงสาธารณสุขมีการดำเนินการแก้ปัญหาบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขมาตลอด อย่างกรณีหมอลาออกในแต่ละปี มีข้อมูลและการดำเนินการรองรับ ซึ่งทุกปีหมอจะลาออกทั้งการไปศึกษาต่อ เกษียณ และปัจจัยอื่นๆ อย่างไรก็ตาม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข นัดประชุมเกี่ยวกับเรื่องนี้ในวันพรุ่งนี้ 18 เม.ย. เวลา 13.30 น. เพื่อหารือร่วมกันและเสนอทางออกเรื่องนี้
.
เมื่อถามว่า เบื้องต้น สส.พรรคประชาชน มองว่ากระทรวงสาธารณสุข เน้นการผลิตแพทย์เพิ่มอย่างเดียว ไม่ตอบโจทย์ นพ.ภูวเดช กล่าวว่า ไม่ใช่ การผลิตเป็นส่วนหนึ่ง แต่เราทำหลายอย่างควบคู่กัน อย่างการผลิต ก็ไม่ใช่แค่แพทย์ เราผลิตทุกวิชาชีพที่มีความจำเป็น อย่างพยาบาล ก็มีการผลิต อย่างหากต้องเร่งด่วนเราก็ผลิตผู้ช่วยพยาบาล แต่ในเรื่องอื่นๆ ความก้าวหน้าก็มีการดำเนินการ หรือค่าตอบแทนต่างๆ เพียงแต่ประเด็นค่าตอบแทน เงินเดือนก็ต้องใช้เกณฑ์เดียวกับสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(ก.พ.) หรือค่าตอบแทนก็มีข้อจำกัด เพราะต้องขออนุญาต ก.พ. และกรมบัญชีกลาง ที่สำคัญค่าตอบแทนก็เกี่ยวโยงกับสถานะเงินบำรุงด้วย
.
การเปิดให้จ่ายค่าตอบแทนมาก แต่บางโรงพยาบาลเงินบำรุงไม่มี ก็ทำไม่ได้ อย่างงบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่จ่ายเรื่องค่าบริการผู้ป่วยใน ที่การันตีว่าจะจ่ายเฉลี่ย 8,300 บาท แต่ความเป็นจริงที่ผ่านมาจ่ายไม่ถึง ก็ส่งผลต่อสถานะ หากสามารถจ่ายตามการันตีก็จะทำให้อยู่ได้ ทั้งหมดเกี่ยวโยงกันหมด ยิ่งรพ.เล็กๆ หากได้รับงบบัตรทองน้อยก็มีผลเยอะ” นพ.ภูวเดชกล่าว
.
เมื่อถามกรณีกระทรวงสาธารณสุข จะมีการเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นเรื่องปัญหาขาดแคลนบุคลากรทุกวิชาชีพหรือไม่ นพ.ภูวเดช กล่าวว่า จริงๆ เรามีการเปิดรับฟังความคิดเห็นกรณีร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ระเบียบข้าราชการสาธารณสุข พ.ศ. … หรือร่างกฎหมายแยกสธ.ออกจากสำนักงาน ก.พ.แล้ว แต่ความคิดเห็นก็อาจจะหลากหลาย อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ขอให้มีการหารือร่วมกับทางรมว.สาธารณสุขในวันพรุ่งนี้( 18 เม.ย.) เพื่อรอความชัดเจนและจะมีแนวทางที่เป็นทางออกที่ดี
.
ผู้สื่อข่าวถามความคืบหน้ากรณีส่งหนังสือเพื่อขอหารือร่วมกับแพทยสภากรณีการทบทวนโครงการแพทย์เพิ่มพูนทักษะ นพ.ภูวเดช กล่าวว่า กำลังดำเนินการลงนามและส่งให้แพทยสภา ซึ่งเนื้อหาครอบคลุมเรื่องแพทย์เพิ่มพูนทักษะทั้งหมดว่า แต่ละพื้นที่ควรมีสัดส่วนอย่างไรให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เป็นต้น
.

.
ราคาทองทำนิวไฮไม่หยุด มองพุ่งเร็วกว่าคาดการณ์
.
ทองไทยยังพุ่งแรง ทำสถิตินิวไฮไม่หยุด เปิดตลาดบวกทันที 500 บาท ระหว่างวันยังผันผวนล่าสุด ปิดตลาดปรับขึ้นสุทธิ 400 บาท ด้านนายกสมาคมค้าทองคำ ยอมรับราคาทองพุ่งเร็วกว่าที่คาด และยังมีแนวโน้มขึ้นต่อเนื่อง แนะลงทุนด้วยความระมัดระวัง
.
เปิดตลาดทองคำเช้าที่ผ่านมา ราคาทองไทยพุ่งแรง ปรับขึ้นทันทีบาทละ 500 บาท ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้ง ขณะที่ระหว่างวันราคาทองคำยังผันผวน ปรับไปทั้งหมด 12 ครั้ง(16.00 น.) ล่าสุดปิดตลาด ทองไทยขึ้นไป 400 บาท โดยทองคำแท่งขายออกบาทละ 52,350 บาท ส่วนทองรูปพรรณขายออก 53,150 บาท
.
นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ ยอมรับว่า การปรับขึ้นราคาไปแตะที่ระดับสูงกว่า 5 หมื่นบาท เป็นการปรับขึ้นเร็วกว่าที่คาดไว้ว่าอาจจะได้เห็นราคานี้ในช่วงไตรมาส 3 แต่กลับมาเห็นได้ตั้งแต่ต้นไตรมาส 2 ซึ่งเป็นผลมาจากความกังวลมาตรการตอบโต้ทางภาษีของประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ขณะที่ร้านทองต่างได้รับผลกระทบยอดขายลดลง แต่เชื่อว่าสามารถบริหารความเสี่ยงได้
.
ด้านเพจ "MTS GOLD" แม่ทองสุก รายงานว่า ราคาทองคำในตลาดโลกยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 3,357 ดอลลาร์ ต่อ ออนซ์ สะท้อนให้เห็นถึงสถานะของทองคำที่เปลี่ยนไปเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในระยะยาว
.
รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/IHE521Vrtt0
.
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่