หลังแผ่นดินไหว 28 มี.ค. 68 แม้ "กาย" จะปลอดภัย.. แต่ “ใจ" อาจยังไม่ดี
จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ผ่านมา อาจทำให้หลายคนได้เผชิญกับเหตุการณ์ที่รุนแรง
สะเทือนขวัญเป็นอย่างมาก จนอาจเกิดภาวะ “โรควิตกกังวลหลังผ่านเหตุการวิกฤติ”
วันนี้พี่หมอฝั่งธน..จะมาให้ความรู้
ภาวะ PTSD (Post-Traumatic Stress Disorder) ความเข้าใจใหม่ต่อโรควิตกกังวลหลังเหตุการณ์วิกฤติ
Post-Traumatic Stress Disorder (PTSD) หรือ “โรควิตกกังวลหลังเหตุการณ์วิกฤติ”
เป็นภาวะผิดปกติทางจิตใจที่เกิดขึ้นภายหลังบุคคลประสบเหตุการณ์รุนแรงหรือสะเทือนขวัญ
โดยมีลักษณะของความหวาดกลัว ความวิตกกังวล และการรับรู้เหตุการณ์ซ้ำ ๆ อย่างไม่ตั้งใจ
ภาวะนี้ไม่ได้เกิดกับทุกคนที่ประสบเหตุการณ์รุนแรง แต่หากเกิดขึ้นจะส่งผลต่อชีวิตประจำวัน
การทำงาน และความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลอย่างมาก
องค์การอนามัยโลกจัดให้ PTSD เป็นหนึ่งในโรคทางจิตเวชที่สำคัญ
และมีการประมาณการว่า ร้อยละ 3.5 ของประชากรทั่วโลกมีภาวะ PTSD ในช่วงหนึ่งของชีวิต
ซึ่งตัวเลขอาจสูงกว่านี้ในกลุ่มประชากรที่เผชิญเหตุการณ์รุนแรง เช่น ผู้ลี้ภัย ทหารผ่านศึก หรือผู้รอดชีวิตจากภัยพิบัติ
ลักษณะและอาการของ PTSDPTSD มักปรากฏอาการภายในไม่กี่สัปดาห์ถึงหลายเดือนหลังเหตุการณ์
แต่ในบางรายอาจแสดงอาการช้ากว่านั้น องค์การ APA ได้จัดกลุ่มอาการหลักของ PTSD ออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ ได้แก่:
1.การกลับมารำลึกเหตุการณ์ (Re-experiencing)
มีความทรงจำย้อนกลับ (flashbacks) หรือฝันร้ายเกี่ยวกับเหตุการณ์
มีอาการหวาดกลัวเมื่อเจอกระตุ้นที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เดิม
2.การหลีกเลี่ยง (Avoidance)
พยายามหลีกเลี่ยงสถานที่ บุคคล หรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์
หลีกเลี่ยงการพูดถึงหรือคิดถึงเหตุการณ์
3.การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์และความคิด (Cognitive and mood alterations)
รู้สึกผิด โกรธ หรือรู้สึกว่าตนเองไร้ค่า
มีความยากลำบากในการจดจำเหตุการณ์
ไม่สามารถสัมผัสกับอารมณ์ด้านบวกได้
4.การตอบสนองเกินปกติ (Hyperarousal)
มีปฏิกิริยาตกใจง่าย
หงุดหงิด โมโหง่าย
นอนไม่หลับหรือมีปัญหาการนอนหลับ
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง
PTSD มีปัจจัยหลายอย่างที่เกี่ยวข้อง ทั้งจากประสบการณ์ส่วนตัวและชีวภาพ ได้แก่:
ความรุนแรงของเหตุการณ์: ยิ่งเหตุการณ์รุนแรงหรือใกล้ตัวมาก ความเสี่ยงยิ่งสูง
ประวัติสุขภาพจิตเดิม: ผู้ที่มีประวัติโรคซึมเศร้าหรือวิตกกังวลมีความเสี่ยงสูงขึ้น
การขาดการสนับสนุนทางสังคม: บุคคลที่ไม่มีครอบครัวหรือเพื่อนคอยสนับสนุนมีแนวโน้มเป็น PTSD มากกว่า
พันธุกรรมและสมอง: การศึกษาพบว่าสารสื่อประสาท เช่น serotonin และ cortisol มีบทบาทสำคัญในการตอบสนองต่อความเครียด
การวินิจฉัย PTSD ต้องอาศัยการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญ โดยใช้เกณฑ์ DSM-5 จากสมาคมจิตแพทย์
ซึ่งต้องมีอาการต่อเนื่องมากกว่า 1 เดือน และมีผลต่อชีวิตประจำวันอย่างชัดเจน
การรักษาด้วยจิตบำบัด (Psychotherapy)
Cognitive Behavioral Therapy (CBT): การบำบัดทางความคิดเพื่อปรับเปลี่ยนความเชื่อผิด ๆ
Exposure Therapy: การเผชิญหน้าและเรียนรู้ที่จะจัดการกับความทรงจำ
EMDR (Eye Movement Desensitization and Reprocessing): การเคลื่อนไหวดวงตาเพื่อช่วยลดความรุนแรงของความทรงจำ
การใช้ยา
ยากลุ่ม SSRIs เช่น sertraline, paroxetine เป็นยาหลักที่ใช้
ในบางรายอาจใช้ยา anxiolytics หรือ antipsychotics เสริม
ผลกระทบและแนวทางการสนับสนุน
หากไม่ได้รับการรักษา PTSD อาจส่งผลระยะยาว เช่น ความสัมพันธ์พังทลาย การทำงานลดลง
หรือปัญหาทางสุขภาพจิตอื่น ๆ เช่น ซึมเศร้า เสพติด หรือแม้แต่พฤติกรรมฆ่าตัวตาย
ครอบครัวและชุมชน ควรให้การยอมรับ ไม่ซ้ำเติม และพร้อมรับฟัง
หน่วยงานทางสาธารณสุข ควรมีบริการตรวจคัดกรองความเสี่ยง PTSD โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบาง
การให้ความรู้ แก่สังคมและบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อเข้าใจและดูแลได้อย่างถูกต้อง
*** PTSD เป็นภาวะผิดปกติทางจิตใจที่ซับซ้อน และอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิตผู้ป่วย หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม
การวินิจฉัยเร็วและการรักษาอย่างถูกต้องจะสามารถช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติที่สุด
ความรู้เพิ่มเติม
https://www.youtube.com/watch?v=9U0ICgvjrg0


ภาวะ PTSD (Post-Traumatic Stress Disorder): ความเข้าใจใหม่ต่อโรควิตกกังวลหลังเหตุการณ์วิกฤติ
Post-Traumatic Stress Disorder (PTSD) หรือ “โรควิตกกังวลหลังเหตุการณ์วิกฤติ”
เป็นภาวะผิดปกติทางจิตใจที่เกิดขึ้นภายหลังบุคคลประสบเหตุการณ์รุนแรงหรือสะเทือนขวัญ
โดยมีลักษณะของความหวาดกลัว ความวิตกกังวล และการรับรู้เหตุการณ์ซ้ำ ๆ อย่างไม่ตั้งใจ
ภาวะนี้ไม่ได้เกิดกับทุกคนที่ประสบเหตุการณ์รุนแรง แต่หากเกิดขึ้นจะส่งผลต่อชีวิตประจำวัน
การทำงาน และความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลอย่างมาก
องค์การอนามัยโลกจัดให้ PTSD เป็นหนึ่งในโรคทางจิตเวชที่สำคัญ
และมีการประมาณการว่า ร้อยละ 3.5 ของประชากรทั่วโลกมีภาวะ PTSD ในช่วงหนึ่งของชีวิต
ซึ่งตัวเลขอาจสูงกว่านี้ในกลุ่มประชากรที่เผชิญเหตุการณ์รุนแรง เช่น ผู้ลี้ภัย ทหารผ่านศึก หรือผู้รอดชีวิตจากภัยพิบัติ
แต่ในบางรายอาจแสดงอาการช้ากว่านั้น องค์การ APA ได้จัดกลุ่มอาการหลักของ PTSD ออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ ได้แก่:
1.การกลับมารำลึกเหตุการณ์ (Re-experiencing)
มีความทรงจำย้อนกลับ (flashbacks) หรือฝันร้ายเกี่ยวกับเหตุการณ์
มีอาการหวาดกลัวเมื่อเจอกระตุ้นที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เดิม
2.การหลีกเลี่ยง (Avoidance)
พยายามหลีกเลี่ยงสถานที่ บุคคล หรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์
หลีกเลี่ยงการพูดถึงหรือคิดถึงเหตุการณ์
3.การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์และความคิด (Cognitive and mood alterations)
รู้สึกผิด โกรธ หรือรู้สึกว่าตนเองไร้ค่า
มีความยากลำบากในการจดจำเหตุการณ์
ไม่สามารถสัมผัสกับอารมณ์ด้านบวกได้
4.การตอบสนองเกินปกติ (Hyperarousal)
มีปฏิกิริยาตกใจง่าย
หงุดหงิด โมโหง่าย
นอนไม่หลับหรือมีปัญหาการนอนหลับ
PTSD มีปัจจัยหลายอย่างที่เกี่ยวข้อง ทั้งจากประสบการณ์ส่วนตัวและชีวภาพ ได้แก่:
ความรุนแรงของเหตุการณ์: ยิ่งเหตุการณ์รุนแรงหรือใกล้ตัวมาก ความเสี่ยงยิ่งสูง
ประวัติสุขภาพจิตเดิม: ผู้ที่มีประวัติโรคซึมเศร้าหรือวิตกกังวลมีความเสี่ยงสูงขึ้น
การขาดการสนับสนุนทางสังคม: บุคคลที่ไม่มีครอบครัวหรือเพื่อนคอยสนับสนุนมีแนวโน้มเป็น PTSD มากกว่า
พันธุกรรมและสมอง: การศึกษาพบว่าสารสื่อประสาท เช่น serotonin และ cortisol มีบทบาทสำคัญในการตอบสนองต่อความเครียด
การวินิจฉัย PTSD ต้องอาศัยการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญ โดยใช้เกณฑ์ DSM-5 จากสมาคมจิตแพทย์
ซึ่งต้องมีอาการต่อเนื่องมากกว่า 1 เดือน และมีผลต่อชีวิตประจำวันอย่างชัดเจน
การรักษาด้วยจิตบำบัด (Psychotherapy)
Cognitive Behavioral Therapy (CBT): การบำบัดทางความคิดเพื่อปรับเปลี่ยนความเชื่อผิด ๆ
Exposure Therapy: การเผชิญหน้าและเรียนรู้ที่จะจัดการกับความทรงจำ
EMDR (Eye Movement Desensitization and Reprocessing): การเคลื่อนไหวดวงตาเพื่อช่วยลดความรุนแรงของความทรงจำ
การใช้ยา
ยากลุ่ม SSRIs เช่น sertraline, paroxetine เป็นยาหลักที่ใช้
ในบางรายอาจใช้ยา anxiolytics หรือ antipsychotics เสริม
หากไม่ได้รับการรักษา PTSD อาจส่งผลระยะยาว เช่น ความสัมพันธ์พังทลาย การทำงานลดลง
หรือปัญหาทางสุขภาพจิตอื่น ๆ เช่น ซึมเศร้า เสพติด หรือแม้แต่พฤติกรรมฆ่าตัวตาย
ครอบครัวและชุมชน ควรให้การยอมรับ ไม่ซ้ำเติม และพร้อมรับฟัง
หน่วยงานทางสาธารณสุข ควรมีบริการตรวจคัดกรองความเสี่ยง PTSD โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบาง
การให้ความรู้ แก่สังคมและบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อเข้าใจและดูแลได้อย่างถูกต้อง
*** PTSD เป็นภาวะผิดปกติทางจิตใจที่ซับซ้อน และอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิตผู้ป่วย หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม
การวินิจฉัยเร็วและการรักษาอย่างถูกต้องจะสามารถช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติที่สุด
ความรู้เพิ่มเติม
https://www.youtube.com/watch?v=9U0ICgvjrg0