JJNY : รู้จัก ภาษีการรับให้│“ณัฐชา”ซัด ไม่จริงใจแก้ปัญหาปลาหมอ│จุลพงษ์อภิปรายปมอัลไพน์│ส.ส.ทสท.แฉเปิดช่องขายสมบัติชา

รู้จัก ภาษีการรับให้ ปมร้อนที่ วิโรจน์ อภิปราย นายกฯ แพทองธาร ในสภา
https://www.matichon.co.th/economy/news_5106728
.
.
รู้จัก ภาษีการรับให้ ปมร้อนที่ วิโรจน์ อภิปราย นายกฯ แพทองธาร ในสภา
.
จากกรณี การอภิปรายไม่ไว้วางใจ ของ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน อภิปรายว่าคุณสมบัตินายกรัฐมนตรี กล่าวหาว่า นายกรัฐมนตรีใช้ตั๋ว PN สร้างหนี้ปลอม หลีกเลี่ยงภาษีจำนวนสูงถึง 218.7 ล้านบาท
.
ทั้งระบุว่า มนุษย์ที่ร่ำรวย ถ้าเขาไม่อยากจ่ายภาษีรับให้ พ่อแม่ส่วนใหญ่จะทยอยให้ ปีละไม่เกิน 20 ล้านบาท เพื่อไม่ต้องเข้าเกณฑ์เสียภาษี แทนที่นายกรัฐมนตรีจะทำเหมือนกับมนุษย์ทั่วไปที่เขาทำกัน กลับมีพฤติกรรมใช้ช่องว่างทางกฎหมายหลีกเลี่ยง ภาษีรับให้ มาตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา
.
ทำให้คนสนใจ ภาษีรับได้ และกลยุทธ์การส่งต่อมรดก
.
ภาษีการรับให้ คืออะไร?
ภาษีการรับให้ หรือเรียกทั่วไปว่า ภาษีการให้ (Gift Tax) คือ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่จัดเก็บจากทรัพย์สินที่ให้หรือรับแก่บุตร คู่สมรส ญาติ หรือบุคคลอื่น ก่อนผู้ให้เสียชีวิต ทั้งนี้ ภาษีการรับให้มีขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับการจัดเก็บภาษีการรับมรดก ป้องกันไม่ให้เกิดการหลีกเลี่ยงภาษีการรับมรดก
.
มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559 เป็นต้นไป ตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 40) พ.ศ. 2558 และ (ฉบับที่ 43) พ.ศ. 2559
.
บุพการี-ผู้สืบสันดาน หมายถึง บุคคลใดบ้าง
– บุพการี หมายถึง บิดามารดา ปู่ย่า ตายาย ทวด
– ผู้สืบสันดาน หมายถึง บุตร (รวมบุตรบุญธรรม/บุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้ว) หลาน เหลน
.
ใครบ้าง มีหน้าที่เสียภาษีรับให้
1. กรณีการให้อสังหาริมทรัพย์ กำหนดให้ผู้ที่โอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์เป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษี ได้แก่ บิดาและหรือมารดาผู้โอนกรรมสิทธิ์ให้บุตรชอบด้วยกฎหมาย แต่ไม่รวมถึงบุตรบุญธรรม (มาตรา 42(26))
.
2. กรณีการให้สังหาริมทรัพย์
– บุคคลธรรมดาผู้ได้รับเงินได้จากการอุปการะหรือจากการให้โดยเสน่หาจากบุพการี ผู้สืบสันดาน หรือคู่สมรส เฉพาะเงินได้ในส่วนที่เกินกว่า 20 ล้านบาทในแต่ละปีภาษี (มาตรา 42(27))
– บุคคลธรรมดาผู้ได้รับเงินได้จากการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยาหรือจากการให้โดยเสน่หาเนื่องในพิธีหรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณีจากบุคคลอื่น ซึ่งมิใช่บุพการี ผู้สืบสันดาน คู่สมรส เฉพาะเงินได้ส่วนที่เกินกว่า 10 ล้านบาท ในแต่ละปีภาษี (มาตรา 42(28))
.
ต้องเสียภาษีในอัตราเท่าใด?
ผู้มีหน้าที่เสียภาษีการรับให้ ต้องเสียภาษีในอัตราดังนี้
.
1. กรณีการให้อสังหาริมทรัพย์ ผู้โอนเสียภาษีขณะที่มีการจดทะเบียนสิทธิหรือนิติกรรม ณ สำนักงานที่ดิน อัตราร้อยละ 5 ของมูลค่าทรัพย์สินที่ได้รับในส่วนที่เกิน 20 ล้านบาท หรือนำไปรวมคำนวณกับเงินได้พึงประเมินอื่นก็ได้
.
2. กรณีการให้สังหาริมทรัพย์ ผู้รับเสียภาษีอัตราร้อยละ 5 ของมูลค่าทรัพย์สินที่ได้รับในส่วนที่เกิน 20 ล้านบาท หรือ 10 ล้านบาท หรือนำไปรวมคำนวณกับเงินได้พึงประเมินอื่นก็ได้
.
คำนวณอย่างไร?
– กรณีการให้อสังหาริมทรัพย์
กรณีราคาประเมินของมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ที่ให้ไม่เกิน 20 ล้านบาทต่อบุตรหนึ่งคน ต่อปีภาษีผู้ให้จะไม่มีภาระภาษีการรับให้ที่จะต้องเสียแต่อย่างใด แต่ถ้าหากราคาประเมินของอสังหาริมทรัพย์มีมูลค่าเกิน 20 ล้านบาท ผู้ให้จะต้องเสียภาษีในส่วนที่เกิน 20 ล้านบาทในอัตรา 5%
.
– กรณีการให้สังหาริมทรัพย์
การให้ระหว่างบุพการี และ ผู้สืบสันดาน หรือ การให้ระหว่างคู่สมรส การให้ในกรณีนี้ผู้รับจะต้องเสียภาษีในส่วนที่เกิน 20 ล้านบาทต่อปี ภาษีในอัตรา 5%
การให้ตามหน้าที่ธรรมจรรยาหรือการให้โดยเสน่หา กรณีนี้จะไม่ได้กำหนดตัวผู้รับและผู้ให้เหมือนอย่างกรณี 2.1 แต่จะดูตามวาระโอกาสหรือตามหน้าที่ธรรมจรรยา โดยผู้รับจะต้องเสียภาษีในส่วนที่เกิน 10 ล้านบาทต่อปีภาษีในอัตรา 5%
.
กรณีอื่น กรณีที่ไม่เข้าข้อ 2.1 และ 2.2 ผู้รับก็จะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตราปกติ 5% – 35%
.
ผู้มีหน้าที่เสียภาษีการรับให้ ต้องยื่นแบบฯ ภายในเมื่อใด?
.
ผู้มีหน้าที่เสียภาษีการรับให้ ต้องนำเงินได้ที่เกิดในระหว่างเดือนมกราคม ถึง เดือนมิถุนายน ยื่นแบบ ภ.ง.ด.94 ภายในเดือนกันยายนของปีภาษี และนำรายได้ระหว่างเดือนมกราคม ถึง เดือนธันวาคม ยื่นแบบ ภ.ง.ด.90 ภายในเดือนมกราคม ถึง เดือนมีนาคม ของปีถัดจากปีภาษี และหากยื่นแบบฯ ผ่านอินเทอร์เน็ตได้รับขยายเวลาออกไปอีก 8 วัน
.

“ณัฐชา” ซัด “รัฐบาล” ไม่จริงใจแก้ปัญหา “ปลาหมอคางดำ”
https://tna.mcot.net/politics-1505855
.
รัฐสภา 24 มี.ค.-“ณัฐชา” ถลก “รัฐบาล” ไม่จริงใจแก้ปัญหา “ปลาหมอคางดำ” ชี้อนุมัติงบเพิ่ม 98 ล้านบาท ก็เหมือนซื้อยาพาราไปรักษาโรคมะเร็ง ถาม “เพื่อไทย” หัวใจคือนายทุนหรือไม่ เหตุครอบครัวนายกฯ ใกล้ชิดกับครอบครัวของกลุ่มทุน ส่อเอี่ยวนำเข้า พร้อมเปิดคลิปเทียบ “นอกทำเนียบ-ในทำเนียบ” สะท้อน ความไม่ใส่ใจ
.
นายณัฐชา อินไชยสวัสดิ์ สส.กทม.พรรคประชาชน อภิปรายว่า นางสาวแพรทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นนายกฯ เจนวาย ที่ขึ้นมาบริหารงานกว่า 194 วัน รับตำแหน่งจาก นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรีที่เคลียร์ทางสะดวก รับมือ รับหน้า ในช่วงวิกฤติการจัดตั้งรัฐบาลไว้ให้แล้ว เพื่อให้นางสาวแพทองธาร ได้ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีในตระกูลชินวัตรอีกหนึ่งคน แต่เป็น 194 วัน ทีมประชาชน ต้องทนทุกข์ทรมานานลำบากยากเย็น ไม่มีกิน ไม่มีใช้ ไร้เกียรติ ไร้ศักดิ์ศรี ไม่เหมือนคำโฆษณาชวนเชื่อเมื่อครั้งหาเสียงเลือกตั้ง ที่เคยเปรยคำโฆษณาชวนเชื่อ กับประชาชนอย่างสวยหรู แต่สุดท้าย เมื่อได้ขึ้นมาบริหารงานกลับล้มไม่เป็นท่า
.
นายณัฐชา กล่าวหานางสาวแพทองธารว่า ขาดภาวะความเป็นผู้นำ ขาดความรู้ ขาดเจตจำนงค์ ในการบริหารราชการแผ่นดิน ที่ต้องแก้ไขปัญหาให้กับประเทศชาติ และประชาชน ทำลายภาพลักษณ์ความน่าเชื่อมั่นของประเทศ จงใจลอยตัวอยู่เหนือปัญหา ทำบ้านเมืองผิดพลาดทั้งด้านเศรษฐกิจ คุณภาพชีวิต และสิ่งแวดล้อม จงใจเอื้อผลประโยชน์ ให้กับตนเอง พวกพ้อง และกลุ่มทุน
.
นายณัฐชา ยกคำกล่าว ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยเคยมีความอุดมสมบูรณ์ แต่ในยุคสมัยนี้ มีการบริหารผิดทิศผิดทาง จนทำให้ประเทศไทยกลายเป็น ในนามีสารเคมี ส่วนในน้ำมีหายนะครั้งยิ่งใหญ่ ซึ่งกำลังทำลายกลืนกินทุกสิ่งมีชีวิตในทุกแหล่งน้ำของประเทศ ในการระบาดของปลาหมอคางดำ ซึ่งนับเป็นอาชญากรรมครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด ทำให้เกิดความเสียหาย สูญเสียอาชีพ ทรัพย์สิน ความมั่นคงในชีวิต มองไม่เห็นอนาคตของเกษตรกร และประชาชนคนไทย หมดสิ้นซึ่งหนทางในการเลี้ยงสัตว์น้ำ เหลือแต่บ่อที่มีแต่ผักบุ้ง ที่บ้านนี้เมืองนี้ไม่ช่วยอะไรเขาเลย ตัวเลขความเสียหายดิ่งสูงขึ้น ณ ตอนนี้ประเมินมูลค่าคร่าวๆ ที่ 26,432 ล้านบาท นี่ยังไม่รวมมูลค่าทางอ้อม ที่กระทบต่อเศรษฐกิจ และการขาดดุลการค้า แล้วเราจะให้ลูกหลานคนรุ่นหลัง ต้องรับชะตากรรม ที่น่าอับอายแบบนี้ต่อไปหรือ
.
แม้เงินหมื่นที่ท่านนายกรัฐมนตรี แจกออกไปหวังจะเป็นพายุหมุนทางเศรษฐกิจ แต่ตอนนี้กลายเป็นอาหารอันโอชะของปลาหมอคางดำกันหมดแล้ว เพราะชาวบ้านหวังจะนำเอาเงินก้อนนี้ไปเป็นทุนต่อยอด แต่ในแหล่งน้ำธรรมชาติทุกสาย กลับมีปลาหมอคางดำ แทรกซึมไปทั้งหมด
.
นายณัฐชา ย้ำว่า สิ่งที่เจ็บปวดที่สุด ไม่ใช่แค่ความสูญเสียที่เกิดขึ้น แต่คือความเงียบของรัฐบาล ที่นิ่งนอนใจและปล่อยให้ประชาชน ต้องสู้กับวิกฤตครั้งนี้อยู่เพียงลำพัง พร้อมยกตัวอย่าง กรณีเรือน้ำตาลล่ม ที่มีการรวมตัวกัน 6 หน่วยงาน ที่ออกมาปกป้องทรัพยากรธรรมชาติให้กับชาวบ้าน คือ กรมควบคุมมลพิษ กรมประมง สำนักปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จังหวัดอยุธยา องค์การบริหารส่วนจังหวัดอยุธยา และองค์การบริหารส่วนจังหวัดอ่างทอง เพื่อฟ้องร้องหน่วยงาน และสามารถเรียกร้องค่าเสียหายได้ทั้งหมด นี่คือกรณีเทียบเคียงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งเห็นได้ชัดว่า การแก้ปัญหาแทบไม่ต้องใช้งบประมาณแผ่นดินเลย
.
นายณัฐชา มองว่า ขณะที่กรณีปลาหมอคางดำ กลับไม่มีหน่วยงานใดเลย ที่จะกล้าออกมาปกป้องทรัพยากรที่มีมูลค่ามหาศาลของประเทศชาติ ไม่มาต่อสู้เคียงข้างพี่น้องประชาชน ทั้ง ๆ ที่ในยุครัฐบาลพรรคเพื่อไทย ทั้ง 2 นายกรัฐมนตรีต่างรับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เห็นถึงความเสียหาย ที่ส่งผลกระทบในทางเศรษฐกิจ และภาระงบประมาณแผ่นดิน ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ที่จะเกิดขึ้นกับการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ พร้อมทั้งได้หยิบยกขึ้นมาเป็นวาระแห่งชาติ แต่ภายใต้วาระแห่งชาตินี้กลับไม่มีอะไรอยู่เลย แม้แต่ความจริงใจต่อเกษตรกร และอนาคตของประชาชนชาวไทยทุกคน
.
นายณัฐชา ชี้ว่า นี่คือสิ่งสะท้อนว่าไม่มีความจริงใจเลย เนื่องจากการแก้ปัญหาเรื่องนี้ ดูเหมือนจะเอาจริงเอาจังชั่วครั้ง ชั่วคราว ทำ ๆ เลิก ๆ มา ๆ หาย ๆ จนกลายเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์ จากมาตรการต่างๆ ที่ออกมา เพราะความจริงแล้ว ต้องเริ่มจากการที่รัฐบาลมีความกล้า หาตัวผู้กระทำความผิดให้ได้เป็นอันดับแรก ชดเชยเกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบทั้งหมด บังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่แล้วให้เต็มประสิทธิภาพ ใช้หน่วยงานที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรี ทุกกลไกต้องทำงานอย่างเต็มที่ แค่นั้นก็จบ แต่มาถึงวันนี้นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ไม่ทำอะไรเลย
.
ท่านกลัวอะไร ทำไมถึงไม่กล้าสั่งให้ตามล่าหาความจริง รื้อเรื่องนี้มาตรวจสอบ หาผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหน หรือหากท่านเกรงใจ ไม่กล้าทำอะไรที่อาจจะไปกระทบกระทั่งกับกลุ่มทุนผู้ที่ช่วยตั้งไข่รัฐบาลนี้มา ก็ช่วยเห็นใจประชาชน โดยการหยิบเอารายงานของคณะกรรมาธิการการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่พิจารณาเรื่องนี้แล้วมาใช้ ไม่ต้องใช้ความรู้ความสามารถพิเศษใด ๆ เพียงแค่นำรายงานเล่มนี้ เข้าคณะรัฐมนตรี แล้วสั่งการอ้อม ๆ ได้เลย ซึ่งผู้ที่มีอำนาจเต็มในการสั่งการครั้งนี้ คือนางสาวแพทองธาร
.
นายณัฐชา ย้ำว่า ในรายงานผลการศึกษา ระบุชัดเจนด้วยพยานหลักฐานทั้งหมดว่า เราพบการขออนุญาตนำเข้าปลาหมอคางดำมาในราชอาณาจักรไทยเพียงรายเดียว นั่นคือ “บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF” พร้อมไล่เรียงไทม์ไลน์เรื่องทั้งหมด
.
หากมันฉลาดถึงขนาดว่ายข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงประเทศไทย เพราะคิดว่าพ่อและเพื่อน ๆ ของมันบินมาอยู่ที่นี่ แต่มันก็คงจะไม่รู้ถึงขนาดว่ายมาที่ตำบลเดียวกัน อำเภอเดียวกัน จังหวัดเดียวกัน เพราะถ้ามันเก่งขนาดนี้ ฉลาดขนาดนี้ว่ายมาหาพ่อมันที่มาเป็นสัตว์วิจัยได้พิกัดตรงเป๊ะขนาดนี้ ก็จับมันแกงให้นายกรัฐมนตรีแพทองธารทานไปเลย จะได้ฉลาดและเก่งแบบไอปลาหมอคางดำฝูงนี้
.
นอกจากนี้ นายณัฐชา ยังขอเรียกร้อง 4 ข้อ ที่รับมาจากชาวบ้าน ดังนี้ 1.ตั้งคณะกรรมการอิสระตรวจสอบผู้หากระทำความผิด 2.กำจัดปลาหมอคางดำให้หมดภายใน 1 ปี 3.ประกาศเขตภัยพิบัติทันที และ 4.ให้หน่วยงานรัฐฟ้องผู้กระทำผิดมาชดเชยเยียวยา ซึ่งไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรง ไม่ได้เกินความสามารถของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร และน้ำหนักของฟิวเจอร์บอร์ดข้อเรียกร้องนี้ ก็ไม่ได้มีน้ำหนักมากไปกว่าช่อดอกไม้ ที่ท่านรับในวันนั้นเลย ทำไมถึงจะมารับไปดำเนินการ แก้ไขให้พวกเขาไม่ได้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่