ภรรยาทำงานออฟฟิศมีกลุ่มเพื่อนร่วมงานสาวๆ สนิทกันในระดับหนึ่งมีเล่าให้ฟังบ้างว่าคนนั้นคนนี้เป็นอย่างไร อยู่มาวันนึงน้องในกลุ่มถอยรถป้ายแดงขับรถมาทำงาน
จอดรถที่จอดใกล้ๆบริษัทที่ให้พนักงานจอดได้เป็นสวัสดิการบริษัทและมีหลายๆบริษัทใช้ร่วมกัน น้องคนนี้ก็เป็นมือใหม่หัดขับตอนเลี้ยวออกจากซองไปเฉี่ยวรถคันข้างๆ น้องก็ตกใจและรีบขับรถกลับบ้าน ตามที่ภรรยาเล่าให้ฟัง น้องค่อนข้างเสียใจและตกใจเพราะเป็นรถคันแรก จบการเล่าแค่นั้นผมเลยถามไปว่าแล้วยังไงต่อเค้าได้รับผิดชอบรถคันที่เฉี่ยวหรือไม่ ซึ่งภรรยาบอกว่าน้องเค้าสนใจแต่รถตัวเองกำลังจะติดต่อประกัน
ผมเลยแนะนำไปว่าเป็นเรื่องธรรมดาของมือใหม่หัดขับ ขับบ่อยๆเดี๋ยวก็ชินแต่ควรบอกให้น้องรับผิดชอบการกระทำของตัวเอง เพราะธรรมดารถใหม่ป้ายแดงมีประกันชั้น 1 อยู่แล้ว ควรติดต่อคันที่เฉี่ยวเพื่อรับผิดชอบ เพราะเป็นที่จอดรถรวมมีกล้องวงจรปิด(ผมเคยขับรถไปส่งภรรยา)เค้าตามได้ไม่ยาก ถ้าเค้าเอาเรื่องจะซวยเพราะเป็นการชนแล้วหนี ให้รีบรับผิดชอบ อีกวันภรรยาก็ไปบอกน้องคนนั้นซึ่งก็ได้รับทราบมาว่าน้องก็ไปรอพบเจ้าของรถที่เฉี่ยวเพื่อรับผิดชอบได้ยินดังนั้นผมก็ดีใจที่น้องรับฟังและไปปฏิบัติตาม
ต่อมาไม่นานภรรยาก็มาเล่าให้ฟังว่าเดี๋ยวนี้น้องคนนั้นไม่ค่อยได้พูดคุยทักทายกันเหมือนแต่ก่อน ถามคำตอบคำไม่รู้ว่าเป็นอะไร มาทราบภายหลังพี่คนในทีมเล่าให้ฟังว่า น้องคนนั้นไปฟังคำแนะนำคนอื่นๆบอกไม่น่าไปรับผิดชอบรถคันที่เฉี่ยวและบอกว่าไม่น่าเชื่อคำแนะนำของภรรยาผมเลย เพราะทำให้เค้าเสียประวัติการเคลมทำให้เค้าจะเสียค่าเบี้ยประกันในปีต่อๆไปสูงขึ้น ภรรยาเล่าให้ฟังก็ดูจะเสียใจ ผมก็ได้แต่ปลอบไปว่าเราแนะนำสิ่งที่ดีๆให้แล้วเค้าคิดว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดีและโทษเรา ผมคิดว่าไม่ควรเสียดายกับการมีเืพื่อนแบบนี้ ไม่ต้องเสียใจ ลองคิดดูว่าในสังคมถ้ามีคนแบบน้องคนนั้นเยอะๆกับมีคนแบบภรรยาผมเยอะๆ เค้าจะเลือกอยู่ในสังคมแบบไหน เค้าได้ฟังแบบนั้นก็รู้สึกสบายใจขึ้น
แต่ผมก้ได้ข้อคิดที่ว่า หรือผมแนะนำไปเป็นสิ่งที่ผิดรึเปล่า ไม่ใช่เรื่องของเราไม่ควรที่จะเข้าไปยุ่ง แต่คำตอบของผมคือ ถ้าผมอยุ่ในเหตุการณ์เดียวกันผมจะทำอย่างไรซึ่งผมก็ยังจะทำแบบเดิมใจเขาใจเราครับ เป็นเพื่อนๆล่ะจะทำแบบไหนครับ
ภรรยาโดนเพื่อนที่ทำงานเลิกคบเพราะคำแนะนำของผม!!!
จอดรถที่จอดใกล้ๆบริษัทที่ให้พนักงานจอดได้เป็นสวัสดิการบริษัทและมีหลายๆบริษัทใช้ร่วมกัน น้องคนนี้ก็เป็นมือใหม่หัดขับตอนเลี้ยวออกจากซองไปเฉี่ยวรถคันข้างๆ น้องก็ตกใจและรีบขับรถกลับบ้าน ตามที่ภรรยาเล่าให้ฟัง น้องค่อนข้างเสียใจและตกใจเพราะเป็นรถคันแรก จบการเล่าแค่นั้นผมเลยถามไปว่าแล้วยังไงต่อเค้าได้รับผิดชอบรถคันที่เฉี่ยวหรือไม่ ซึ่งภรรยาบอกว่าน้องเค้าสนใจแต่รถตัวเองกำลังจะติดต่อประกัน
ผมเลยแนะนำไปว่าเป็นเรื่องธรรมดาของมือใหม่หัดขับ ขับบ่อยๆเดี๋ยวก็ชินแต่ควรบอกให้น้องรับผิดชอบการกระทำของตัวเอง เพราะธรรมดารถใหม่ป้ายแดงมีประกันชั้น 1 อยู่แล้ว ควรติดต่อคันที่เฉี่ยวเพื่อรับผิดชอบ เพราะเป็นที่จอดรถรวมมีกล้องวงจรปิด(ผมเคยขับรถไปส่งภรรยา)เค้าตามได้ไม่ยาก ถ้าเค้าเอาเรื่องจะซวยเพราะเป็นการชนแล้วหนี ให้รีบรับผิดชอบ อีกวันภรรยาก็ไปบอกน้องคนนั้นซึ่งก็ได้รับทราบมาว่าน้องก็ไปรอพบเจ้าของรถที่เฉี่ยวเพื่อรับผิดชอบได้ยินดังนั้นผมก็ดีใจที่น้องรับฟังและไปปฏิบัติตาม
ต่อมาไม่นานภรรยาก็มาเล่าให้ฟังว่าเดี๋ยวนี้น้องคนนั้นไม่ค่อยได้พูดคุยทักทายกันเหมือนแต่ก่อน ถามคำตอบคำไม่รู้ว่าเป็นอะไร มาทราบภายหลังพี่คนในทีมเล่าให้ฟังว่า น้องคนนั้นไปฟังคำแนะนำคนอื่นๆบอกไม่น่าไปรับผิดชอบรถคันที่เฉี่ยวและบอกว่าไม่น่าเชื่อคำแนะนำของภรรยาผมเลย เพราะทำให้เค้าเสียประวัติการเคลมทำให้เค้าจะเสียค่าเบี้ยประกันในปีต่อๆไปสูงขึ้น ภรรยาเล่าให้ฟังก็ดูจะเสียใจ ผมก็ได้แต่ปลอบไปว่าเราแนะนำสิ่งที่ดีๆให้แล้วเค้าคิดว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดีและโทษเรา ผมคิดว่าไม่ควรเสียดายกับการมีเืพื่อนแบบนี้ ไม่ต้องเสียใจ ลองคิดดูว่าในสังคมถ้ามีคนแบบน้องคนนั้นเยอะๆกับมีคนแบบภรรยาผมเยอะๆ เค้าจะเลือกอยู่ในสังคมแบบไหน เค้าได้ฟังแบบนั้นก็รู้สึกสบายใจขึ้น
แต่ผมก้ได้ข้อคิดที่ว่า หรือผมแนะนำไปเป็นสิ่งที่ผิดรึเปล่า ไม่ใช่เรื่องของเราไม่ควรที่จะเข้าไปยุ่ง แต่คำตอบของผมคือ ถ้าผมอยุ่ในเหตุการณ์เดียวกันผมจะทำอย่างไรซึ่งผมก็ยังจะทำแบบเดิมใจเขาใจเราครับ เป็นเพื่อนๆล่ะจะทำแบบไหนครับ