เห็นหลายท่านบอกว่าใช้บัตรแดงแล้วคุ้มมากครับ
“กาแฟพันธ์ุไทย” เชนร้านกาแฟ ยอดขาย 2,000 ล้าน ที่เปิดสาขาใหม่เฉลี่ยวันละ 1 สาขา /โดย ลงทุนแมน
รู้ไหมว่าช่วง 1-2 ปีมานี้ “กาแฟพันธุ์ไทย” เป็นแบรนด์กาแฟที่กำลังเติบโตได้อย่างน่าสนใจ
เห็นได้จากจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปี
- ปี 2565 กาแฟพันธ์ุไทย มีจำนวน 511 สาขา
- ปี 2566 กาแฟพันธ์ุไทย มีจำนวน 882 สาขา
- ปี 2567 กาแฟพันธ์ุไทย มีจำนวน 1,347 สาขา
ถ้าตีเป็นตัวเลขกลม ๆ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา กาแฟพันธุ์ไทย มีจำนวนสาขาเพิ่มขึ้น 836 สาขา
หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ยวันละ 1.1 สาขา ถือว่าไม่ธรรมดาเลย กับธุรกิจ “ร้านกาแฟ” ที่มีแต่คู่แข่งเก่ง ๆ เต็มไปหมด และน่าจะโดนเชนใหญ่ ๆ ครองตลาดไปมากแล้ว
กาแฟพันธุ์ไทย ใช้กลยุทธ์อะไร ถึงยังเติบโตได้ดี ท่ามกลางสมรภูมินี้ ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
กาแฟพันธุ์ไทย เปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อปี 2555 หรือเมื่อ 13 ปีที่แล้ว ในฐานะธุรกิจ
Non-Oil ของ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG
เจ้าของสถานีน้ำมัน PT, Subway ในประเทศไทย, Coffee World, ร้านสะดวกซื้อ Max Mart และอีกหลายอย่าง
จุดเด่นที่น่าจะทำให้หลายคนจำกาแฟพันธุ์ไทยได้ ก็คือเรื่องของ Branding ที่วางตัวเองเป็น
“ร้านกาแฟสไตล์ไทย” เห็นได้จากองค์ประกอบของแบรนด์ในมุมต่าง ๆ ที่จะดูมีความเป็นไทยมาก
ตั้งแต่โลโกรูปช้าง, สไตล์การตกแต่งร้าน รวมไปถึงการออกเมนูพิเศษต่าง ๆ ที่เอาวัตถุดิบบ้าน ๆ ของไทย
เช่น น้ำตาลดอกมะพร้าว, ตาลโตนด หรือส้มมะปี๊ด มาใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องดื่ม
แม้กาแฟพันธุ์ไทย จะเปิดให้บริการมาเป็น 10 ปีแล้ว แต่จุดเปลี่ยนของแบรนด์จริง ๆ น่าจะอยู่ในช่วง
ปี 2564 ที่ PT ได้ออกบัตรสมาชิกรายปี “Max Card Plus” หรือที่หลายคนเรียกว่า “บัตรแดง” ออกมา
ใครก็ตามที่จ่ายเงินซื้อบัตรแดงราคา 599 บาทต่อปี จะได้รับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ จากธุรกิจในเครือ PT ตัวอย่างเช่น
- ลดราคากาแฟพันธุ์ไทย 50% ต่อแก้ว ใช้สิทธิ์ได้ 10 แก้วต่อเดือน
- ลดราคาน้ำมันลิตรละ 50 สตางค์ ใช้สิทธิ์ได้ 200 ลิตรต่อเดือน
- มีโปรโมชันซื้อ 1 แถม 1 ที่ร้าน Max Mart ใช้สิทธิ์ได้ 5 ครั้งต่อเดือน
จะเห็นได้ว่าแม้ราคาสมาชิกรายปีจะค่อนข้างสูง แต่ถ้าเทียบกับสิทธิประโยชน์ที่ได้รับแล้ว ทำให้หลายคนยอมจ่าย
เพราะถ้าลองคิดเร็ว ๆ ว่า คนสมัครบัตรแดงรายปี 599 บาท ถ้าไปซื้ออเมริกาโนเย็น 60 บาท
ที่กาแฟพันธุ์ไทย แล้วใช้สิทธิ์ลดราคา 50% เดือนละ 10 ครั้ง ไปเรื่อย ๆ จนครบ 1 ปี
หมายความว่าใน 1 ปี คนที่ถือบัตรแดง จะได้ส่วนลดค่ากาแฟรวมกัน 3,600 บาท ซึ่งแค่นี้ก็มากกว่าค่าสมาชิกรายปี 599 บาท โดยที่ยังไม่รวมส่วนลดค่าน้ำมัน และส่วนลดอื่น ๆ
โดย PT ได้เผยว่ากลยุทธ์ตรงนี้เป็นส่วนสำคัญมาก ๆ ที่ทำให้ลูกค้าเปิดใจให้กาแฟพันธุ์ไทยเยอะขึ้นเรื่อย ๆ แถมยังกลับมาซื้อซ้ำ
เพราะคนที่สมัครสมาชิกบัตรแดง ก็จะคิดในใจว่าจ่ายเงินไปแล้วปีละตั้ง 599 บาท
ถ้าอยากดื่มกาแฟสักแก้ว ก็คงต้องมีชื่อของกาแฟพันธุ์ไทยเป็นตัวเลือกแรก ๆ
ในเมื่อได้ส่วนลด 50% ตั้งเดือนละ 10 ครั้งแล้ว ถ้าไปใช้บริการกาแฟร้านอื่น ก็จะเสียโอกาสตรงนี้ไป
ทำให้ลูกค้าที่มีบัตรแดง มีโอกาสเดินเข้าร้านกาแฟพันธุ์ไทยเยอะขึ้น และยังมีแนวโน้มกลับมาซื้อเรื่อย ๆ จนกว่าโควตาจะหมด
ซึ่งความสำเร็จของกลยุทธ์นี้ ก็สะท้อนให้เห็นผ่านผลประกอบการของ กาแฟพันธุ์ไทย ที่โตระเบิดทุกปีในช่วงหลัง ๆ
บริษัท กาแฟพันธุ์ไทย จำกัด
ปี 2564 รายได้ 502 ล้านบาท ขาดทุน 32 ล้านบาท
ปี 2565 รายได้ 906 ล้านบาท กำไร 78 ล้านบาท
ปี 2566 รายได้ 1,412 ล้านบาท กำไร 212 ล้านบาท
โดยในปี 2567 มีรายงานว่า กาแฟพันธุ์ไทย มีรายได้ 2,266 ล้านบาท..
การเติบโตในปีที่ผ่านมา ก็มาจากการขยายสาขาที่มากขึ้น
รวมถึงการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) จากการทำการตลาดและแคมเปญส่งเสริมการขาย ซึ่งทำให้ลูกค้าสมาชิกกลับมาใช้บริการบ่อยขึ้น
อ่านถึงตรงนี้หลายคนน่าจะเห็นภาพแล้วว่า ทำไมกาแฟพันธุ์ไทยถึงโตไวในพักหลัง ๆ นี้ ชนิดที่ว่า สามารถขยายกิจการได้วันละ 1 สาขา
โดยเคสของกาแฟพันธุ์ไทย เป็นกรณีศึกษาที่ดีเลยว่า ต่อให้จะอยู่ในธุรกิจที่เป็น Red Ocean
หรือธุรกิจที่ใคร ๆ ก็อยากทำอย่าง ธุรกิจร้านกาแฟ
แถมยังเป็นตลาดที่เจ้าตลาด หรือแบรนด์ใหญ่ ๆ ได้ขยายสาขาไปทั่วประเทศเยอะมากแล้ว ซึ่งน่าจะไม่มีพื้นที่ให้แทรกตัวเข้าไปได้
แต่กาแฟพันธุ์ไทย แสดงให้เห็นแล้วว่า ถ้ามีกลยุทธ์ที่ดี มีสินค้าและบริการที่ลูกค้าชื่นชอบ มีทรัพยากรที่เหมาะสม ก็ยังมีช่องว่างให้แทรกตัวไปเติบโตได้เสมอ..
สุดท้ายนี้ ขอปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
รู้ไหมว่า ตอนนี้สมาชิก Max Card Plus ที่ต้องจ่ายปีละ 599 บาท
มีมากถึง 600,000 กว่าคนแล้ว
หรือคิดเป็นรายได้ค่าสมาชิกราว 360 ล้านบาทต่อปี..
https://www.facebook.com/share/p/1AQpvgqgmb/
“กาแฟพันธ์ุไทย” เชนร้านกาแฟ ยอดขาย 2,000 ล้าน ที่เปิดสาขาใหม่เฉลี่ยวันละ 1 สาขา
“กาแฟพันธ์ุไทย” เชนร้านกาแฟ ยอดขาย 2,000 ล้าน ที่เปิดสาขาใหม่เฉลี่ยวันละ 1 สาขา /โดย ลงทุนแมน
รู้ไหมว่าช่วง 1-2 ปีมานี้ “กาแฟพันธุ์ไทย” เป็นแบรนด์กาแฟที่กำลังเติบโตได้อย่างน่าสนใจ
เห็นได้จากจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปี
- ปี 2565 กาแฟพันธ์ุไทย มีจำนวน 511 สาขา
- ปี 2566 กาแฟพันธ์ุไทย มีจำนวน 882 สาขา
- ปี 2567 กาแฟพันธ์ุไทย มีจำนวน 1,347 สาขา
ถ้าตีเป็นตัวเลขกลม ๆ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา กาแฟพันธุ์ไทย มีจำนวนสาขาเพิ่มขึ้น 836 สาขา
หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ยวันละ 1.1 สาขา ถือว่าไม่ธรรมดาเลย กับธุรกิจ “ร้านกาแฟ” ที่มีแต่คู่แข่งเก่ง ๆ เต็มไปหมด และน่าจะโดนเชนใหญ่ ๆ ครองตลาดไปมากแล้ว
กาแฟพันธุ์ไทย ใช้กลยุทธ์อะไร ถึงยังเติบโตได้ดี ท่ามกลางสมรภูมินี้ ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
กาแฟพันธุ์ไทย เปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อปี 2555 หรือเมื่อ 13 ปีที่แล้ว ในฐานะธุรกิจ
Non-Oil ของ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG
เจ้าของสถานีน้ำมัน PT, Subway ในประเทศไทย, Coffee World, ร้านสะดวกซื้อ Max Mart และอีกหลายอย่าง
จุดเด่นที่น่าจะทำให้หลายคนจำกาแฟพันธุ์ไทยได้ ก็คือเรื่องของ Branding ที่วางตัวเองเป็น
“ร้านกาแฟสไตล์ไทย” เห็นได้จากองค์ประกอบของแบรนด์ในมุมต่าง ๆ ที่จะดูมีความเป็นไทยมาก
ตั้งแต่โลโกรูปช้าง, สไตล์การตกแต่งร้าน รวมไปถึงการออกเมนูพิเศษต่าง ๆ ที่เอาวัตถุดิบบ้าน ๆ ของไทย
เช่น น้ำตาลดอกมะพร้าว, ตาลโตนด หรือส้มมะปี๊ด มาใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องดื่ม
แม้กาแฟพันธุ์ไทย จะเปิดให้บริการมาเป็น 10 ปีแล้ว แต่จุดเปลี่ยนของแบรนด์จริง ๆ น่าจะอยู่ในช่วง
ปี 2564 ที่ PT ได้ออกบัตรสมาชิกรายปี “Max Card Plus” หรือที่หลายคนเรียกว่า “บัตรแดง” ออกมา
ใครก็ตามที่จ่ายเงินซื้อบัตรแดงราคา 599 บาทต่อปี จะได้รับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ จากธุรกิจในเครือ PT ตัวอย่างเช่น
- ลดราคากาแฟพันธุ์ไทย 50% ต่อแก้ว ใช้สิทธิ์ได้ 10 แก้วต่อเดือน
- ลดราคาน้ำมันลิตรละ 50 สตางค์ ใช้สิทธิ์ได้ 200 ลิตรต่อเดือน
- มีโปรโมชันซื้อ 1 แถม 1 ที่ร้าน Max Mart ใช้สิทธิ์ได้ 5 ครั้งต่อเดือน
จะเห็นได้ว่าแม้ราคาสมาชิกรายปีจะค่อนข้างสูง แต่ถ้าเทียบกับสิทธิประโยชน์ที่ได้รับแล้ว ทำให้หลายคนยอมจ่าย
เพราะถ้าลองคิดเร็ว ๆ ว่า คนสมัครบัตรแดงรายปี 599 บาท ถ้าไปซื้ออเมริกาโนเย็น 60 บาท
ที่กาแฟพันธุ์ไทย แล้วใช้สิทธิ์ลดราคา 50% เดือนละ 10 ครั้ง ไปเรื่อย ๆ จนครบ 1 ปี
หมายความว่าใน 1 ปี คนที่ถือบัตรแดง จะได้ส่วนลดค่ากาแฟรวมกัน 3,600 บาท ซึ่งแค่นี้ก็มากกว่าค่าสมาชิกรายปี 599 บาท โดยที่ยังไม่รวมส่วนลดค่าน้ำมัน และส่วนลดอื่น ๆ
โดย PT ได้เผยว่ากลยุทธ์ตรงนี้เป็นส่วนสำคัญมาก ๆ ที่ทำให้ลูกค้าเปิดใจให้กาแฟพันธุ์ไทยเยอะขึ้นเรื่อย ๆ แถมยังกลับมาซื้อซ้ำ
เพราะคนที่สมัครสมาชิกบัตรแดง ก็จะคิดในใจว่าจ่ายเงินไปแล้วปีละตั้ง 599 บาท
ถ้าอยากดื่มกาแฟสักแก้ว ก็คงต้องมีชื่อของกาแฟพันธุ์ไทยเป็นตัวเลือกแรก ๆ
ในเมื่อได้ส่วนลด 50% ตั้งเดือนละ 10 ครั้งแล้ว ถ้าไปใช้บริการกาแฟร้านอื่น ก็จะเสียโอกาสตรงนี้ไป
ทำให้ลูกค้าที่มีบัตรแดง มีโอกาสเดินเข้าร้านกาแฟพันธุ์ไทยเยอะขึ้น และยังมีแนวโน้มกลับมาซื้อเรื่อย ๆ จนกว่าโควตาจะหมด
ซึ่งความสำเร็จของกลยุทธ์นี้ ก็สะท้อนให้เห็นผ่านผลประกอบการของ กาแฟพันธุ์ไทย ที่โตระเบิดทุกปีในช่วงหลัง ๆ
บริษัท กาแฟพันธุ์ไทย จำกัด
ปี 2564 รายได้ 502 ล้านบาท ขาดทุน 32 ล้านบาท
ปี 2565 รายได้ 906 ล้านบาท กำไร 78 ล้านบาท
ปี 2566 รายได้ 1,412 ล้านบาท กำไร 212 ล้านบาท
โดยในปี 2567 มีรายงานว่า กาแฟพันธุ์ไทย มีรายได้ 2,266 ล้านบาท..
การเติบโตในปีที่ผ่านมา ก็มาจากการขยายสาขาที่มากขึ้น
รวมถึงการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) จากการทำการตลาดและแคมเปญส่งเสริมการขาย ซึ่งทำให้ลูกค้าสมาชิกกลับมาใช้บริการบ่อยขึ้น
อ่านถึงตรงนี้หลายคนน่าจะเห็นภาพแล้วว่า ทำไมกาแฟพันธุ์ไทยถึงโตไวในพักหลัง ๆ นี้ ชนิดที่ว่า สามารถขยายกิจการได้วันละ 1 สาขา
โดยเคสของกาแฟพันธุ์ไทย เป็นกรณีศึกษาที่ดีเลยว่า ต่อให้จะอยู่ในธุรกิจที่เป็น Red Ocean
หรือธุรกิจที่ใคร ๆ ก็อยากทำอย่าง ธุรกิจร้านกาแฟ
แถมยังเป็นตลาดที่เจ้าตลาด หรือแบรนด์ใหญ่ ๆ ได้ขยายสาขาไปทั่วประเทศเยอะมากแล้ว ซึ่งน่าจะไม่มีพื้นที่ให้แทรกตัวเข้าไปได้
แต่กาแฟพันธุ์ไทย แสดงให้เห็นแล้วว่า ถ้ามีกลยุทธ์ที่ดี มีสินค้าและบริการที่ลูกค้าชื่นชอบ มีทรัพยากรที่เหมาะสม ก็ยังมีช่องว่างให้แทรกตัวไปเติบโตได้เสมอ..
สุดท้ายนี้ ขอปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
รู้ไหมว่า ตอนนี้สมาชิก Max Card Plus ที่ต้องจ่ายปีละ 599 บาท
มีมากถึง 600,000 กว่าคนแล้ว
หรือคิดเป็นรายได้ค่าสมาชิกราว 360 ล้านบาทต่อปี..
https://www.facebook.com/share/p/1AQpvgqgmb/