ต้องออกตัวไว้ก่อนว่า ผมดูเวอร์ชันพากย์ไทย และผมเป็นฝั่งคนที่ไม่อินกับนโยบายความหลากหลายแบบสุดขั้ว
ดังนั้นรีวิวนี้ อาจจะมีอคติเข้ามาแน่ ๆ หากใครไม่ชอบความเห็นแนว Anti Woke สามารถข้ามไป หรือเข้ามาวิจารณ์หรือแก้ไขส่วนนี้ได้
เริ่มเรื่อง
จะกล่าวถึงต้นกำเนิดของสโนไวท์ที่เปลี่ยนไปจากต้นฉบับ (ใครตามข่าวน่าจะทราบอยู่แล้ว)
ก็คือการเปลี่ยนจากรูปพรรณของสโนไวท์ เปลี่ยนเป็นสภาพแวดล้อมตอนกำเนิดของสโนไวท์แทน
นอกจากนี้จะมีการปูเนื้อเรื่องในวัยเด็กของสโนไวท์ โดยนำเสนอในรูปแบบมิวสิคัล ซึ่งการดำเนินเรื่องของเรื่องนี้จะเป็นมิวสิคัลซะส่วนใหญ่
ด้วยความที่ผมดูเวอร์ชันไทย จุดที่ทำให้ดูไม่ลื่นคือ เสียงกับปากขยับไม่ตรงกันเลยทำให้ดูแปลก ๆ และเนื้อหาฟังคอร้องข้างยากพอสมควรในบางเพลง
ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องการอ่านซับ ผมว่าไปฟังเสียงต้นฉบับและอ่านซับไปจะอินกว่า ส่วนพากย์ไทยเหมาะกับการพาเด็กเล็กไปดู
ความพยายามเพิ่มมิติให้ตัวละครฝั่งนางเอก
จากการดูการปูเนื้อเรื่องจนถึงการปรากฎตัวของแม่เลี้ยงหรือราชินีใจร้าย ทำให้รู้ว่าผู้กำกับต้องการเพิ่มมิติตัวละครฝั่งนางเอกเพิ่มขึ้น
ในขณะฝั่งราชินีใจร้าย ตัวละครกับแบนมาก ๆ แหละ การแสดงออกขัดแย้งกับบทหลาย ๆ อย่าง
อย่างเช่น เนื้อเรื่องต้องการสื่อว่าราชินีเป็นคนโหดร้าย เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว สามารถทำเรื่องอะไรก็ได้ที่ทำให้คงอำนาจและความงามตัวเองไว้
แต่ในเนื้อเรื่องการแสดงออกกลับเป็นแค่คนที่ไม่เด็ดขาด ถ้าไม่นับเรื่องพ่อนางเอก ราชินีไม่เคยฆ่าตัวละครอื่นในเรื่องเลย
ต่อให้ไม่ชอบขี้หน้าแค่ไหนก็สั่งไปขังไว้เฉย ๆ ขนาดจะวางยาพิษในแอปเปิ้ล ยังใช้สูตรที่มีวิธีแก้ด้วยการจุมพิตจากเนื้อคู่เอาไว้อีก
ความขัดแย้งระหว่างภาพจำสโนไวท์เก่าและใหม่
กลับมาพูดถึงสโนไวท์บ้าง คิดว่าหลาย ๆ คนก็น่าจะเป็น คือภาพจำสโนไวท์แบบวิถีเดิมมันมาซ้อนทับกับสโนไวท์แบบใหม่
พยายามคงคอสตูม เครื่องแต่งกายและทรงผมแบบเดิมไว้ ซึ่งมันทำให้ขัดกับภาพลักษณ์และลักษณะนิสัยตัวละครที่เปลี่ยนไปมาก
ลุคของน้องเรเชลคือสายลุยหญิงแกร่ง มีความทอมบอย ไม่ได้เรียบร้อยแบบขนบเดิม พอมาเจอกับคอสตูมแบบนี้เลยรู้สึกว่ามันไม่เข้ากันเท่าไร
ช่วงที่ผมว่าทรงผมเข้ากับน้องมากกว่า คือช่วงที่จมน้ำแล้วขึ้นมาใหม่ ๆ ผมว่าลุคลุย ๆ ผมเซอ ๆ เข้ากับน้องมากกว่าพอสมควร
การใช้ CGI
เมื่อถึงช่วงหนีตามล่า เราจะเห็นว่าโทนภาพจะกลายเป็นแบบเน้น CGI คือฉากสัตว์ในเรื่องจะเป็น 3D Animation หมด
แต่ Art Style ไม่ใช่แบบสมจริง แต่เป็นแบบแนวอนิเมชั่น Pixar ส่วนดีไม่ดีแล้วแต่คนชอบ
แต่โดยส่วนตัวรู้สึกแปลก ๆ เพราะเหมือนอารมณ์คนแสดงมันลอยออกมาจากอนิเมชั่น
คนแคระในรูปแบบ CGI: ความคาดหวังกับความเป็นจริง
มาพูดถึงคนแคระบ้าง แนวทางของคนแคระภาคนี้ก็เป็น CGI แบบเดียวกับพวกสัตว์ในเรื่อง
ซึ่งอาจจะดีกว่าแบบดั้งเดิมที่มีภาพหลุดออกมา เพราะคงความออริจินอลให้แฟน ๆ ที่ชอบคนแคระแบบเดิม
แต่โดยส่วนตัว กลับไม่ชอบการปั้นหน้าของคนแคระบางตัว เช่น โดปี้
คือไม่รู้ว่าผู้หญิงมาดูอาจจะเฉย ๆ แต่สำหรับผู้ชายอย่างผมดู คือการแสดงสีหน้ามันอาหวังและจักจี้มาก
การมองหน้าสโนไวท์ของโดปี้มันเหมือนจะกลื่นกินสโนไวท์อยู่ตลอดเวลา ทำเอาผมนึกถึงสโนไวท์นิทานกริมขึ้นมาเลยทีเดียว
บทบาทพระเอกและการปรับเปลี่ยนคนแคระในเนื้อเรื่อง
เมื่อพูดถึงคนแคระก็ต้องพูดถึงพระเอก ที่ภาคนี้มีการเสนอมุมมองของพระเอก และพระเอกไม่ได้เป็นเจ้าชายขี่ม้าขาวที่ไหน
ซึ่งก็คือหัวหน้ากลุ่มโจรที่โผล่มาตอนต้นเรื่องนั่นเอง และเมื่อเราดูไปสักพัก เราจะได้เจอคนแคระเวอร์ชั่นดั้งเดิมที่นึกว่าถูกตัดทิ้งไปแล้ว
อันนี้ผมเดาว่าน่าจะเป็นโครงเรื่องเดิมก่อนถูกแก้แน่ ๆ ซึ่งเดิมคงกะให้กลุ่มความหลากหลายทั้ง 7 เป็นโจรแทนคนแคระนั่นแหละ
แต่โดนกระแสตีกลับเสียก่อน แต่ถึงจะไม่ได้ถูกตัดทิ้งไปหมด แต่ก็แทบไม่เหลือบทอะไรแล้ว
มีออกมาพูดนิดหน่อย ออกมาวางแผน แล้วก็หายไปเลย โผล่มาเป็นตัวประกอบแทน
การเดินเรื่องและการตีความสโนไวท์ใหม่
การเดินเรื่อง อย่างที่บอกว่าบุคลิกสโนไวท์เปลี่ยนเป็นแนวหญิงแกร่ง เพิ่มมิติการเดินเรื่องเพิ่ม
จนบางทีมทีดู ๆ แล้วแอบคิดว่า เอ้ย มันจะตีความเนื้อเรื่องใหม่หรือเปล่า เพราะเหมือนวางแผนให้นิสัยและการกระทำต่างจากเดิม
แต่สุดท้ายก็จะถูกราชินีตบเนื้อเรื่องให้กลับเข้ามาเส้นเรื่องเดิม ถึงสโนไวท์จะดูฉลาดทันคนขึ้น แต่ก็เผลอไปกินแอปเปิ้ลอาบยาพิษอยู่ดี
สรุปความผิดพลาดและบทสรุปสุดแปลก
สรุปแล้วการวางเนื้อเรื่อง มีการพยายามเพิ่มเหตุผล อุดมการณ์ทางการเมืองเพิ่มขึ้น จนบางทีรู้สึกจักจี้
แต่สุดท้ายก็วนกลับมาเป็นสโนไวท์แบบที่เรารู้จักกันเหมือนเดิม
บทพูดตัวละครบางทีก็ขัดแย้งกับบทหรือการแสดงก่อนหน้า
เช่น คนแคระทั้ง 7 เถียงกับกลุ่มความหลากหลายทั้ง 7 แล้วอยู่ดีก็สรุปกันแบบงง ๆ ว่า ราชินีวางแผนให้เราทะเลาะกัน
(ราชินีคงคิดในใจว่าไปวางแผนตอนไหนหว่า)
แล้วด้วยความที่ผมไม่ได้อินมิสิคัล ด้วยบทพูดที่จักจี้อยู่แล้ว เจอเพลงกับการเต้นการแสดงเข้าไปอีกยิ่งจักจี้เข้าไปใหญ่
สุดท้ายแล้ว พอทุกอย่างผสมกัน แล้วจบด้วยบทแบบละครคุณธรรมเข้าไปอีก เลยทำให้เนื้อเรื่องมันมีบทสรุปแบบแปลก ๆ
สุดท้ายแล้วสารภาพตรงๆว่าผมแอบหวังว่า เรื่องนี้มันจะ Woke ไปได้สุดแค่ไหน เลยลงทุนเข้าไปดู
อารมณ์ไปดูหนัง Woke ในยุคสูงสุดก่อนมันจะล่มสลาย แต่กลับกลายเป็นว่าหนังได้แก้บทจนมันไม่ได้ Woke ขนาดนั้นแล้ว
ส่วนที่แก้ไม่ได้แล้วก็คงเป็นตัวนักแสดงนำเอง ที่ถูกเลือกมาแล้ว แก้อะไรไม่ได้แล้ว
พอออกมาแล้วเลยเป็นหนังที่กลางๆ คนดูหนังแบบที่ดูไปคิดไป อาจจะงงกับความขัดแย้งในหลายๆจุด
แต่ถ้าเป็นคนไม่คิดมาก หรือให้เด็กเข้าไปดู ก็ดูได้เพลินๆ ไม่ได้มีแนวความคิดแปลกๆที่อันตรายต่อบุตรหลานของท่าน (ฮา)
รีวิว+บ่น Snow White (2025) มีสปอยล์
ดังนั้นรีวิวนี้ อาจจะมีอคติเข้ามาแน่ ๆ หากใครไม่ชอบความเห็นแนว Anti Woke สามารถข้ามไป หรือเข้ามาวิจารณ์หรือแก้ไขส่วนนี้ได้
เริ่มเรื่อง
จะกล่าวถึงต้นกำเนิดของสโนไวท์ที่เปลี่ยนไปจากต้นฉบับ (ใครตามข่าวน่าจะทราบอยู่แล้ว)
ก็คือการเปลี่ยนจากรูปพรรณของสโนไวท์ เปลี่ยนเป็นสภาพแวดล้อมตอนกำเนิดของสโนไวท์แทน
นอกจากนี้จะมีการปูเนื้อเรื่องในวัยเด็กของสโนไวท์ โดยนำเสนอในรูปแบบมิวสิคัล ซึ่งการดำเนินเรื่องของเรื่องนี้จะเป็นมิวสิคัลซะส่วนใหญ่
ด้วยความที่ผมดูเวอร์ชันไทย จุดที่ทำให้ดูไม่ลื่นคือ เสียงกับปากขยับไม่ตรงกันเลยทำให้ดูแปลก ๆ และเนื้อหาฟังคอร้องข้างยากพอสมควรในบางเพลง
ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องการอ่านซับ ผมว่าไปฟังเสียงต้นฉบับและอ่านซับไปจะอินกว่า ส่วนพากย์ไทยเหมาะกับการพาเด็กเล็กไปดู
ความพยายามเพิ่มมิติให้ตัวละครฝั่งนางเอก
จากการดูการปูเนื้อเรื่องจนถึงการปรากฎตัวของแม่เลี้ยงหรือราชินีใจร้าย ทำให้รู้ว่าผู้กำกับต้องการเพิ่มมิติตัวละครฝั่งนางเอกเพิ่มขึ้น
ในขณะฝั่งราชินีใจร้าย ตัวละครกับแบนมาก ๆ แหละ การแสดงออกขัดแย้งกับบทหลาย ๆ อย่าง
อย่างเช่น เนื้อเรื่องต้องการสื่อว่าราชินีเป็นคนโหดร้าย เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว สามารถทำเรื่องอะไรก็ได้ที่ทำให้คงอำนาจและความงามตัวเองไว้
แต่ในเนื้อเรื่องการแสดงออกกลับเป็นแค่คนที่ไม่เด็ดขาด ถ้าไม่นับเรื่องพ่อนางเอก ราชินีไม่เคยฆ่าตัวละครอื่นในเรื่องเลย
ต่อให้ไม่ชอบขี้หน้าแค่ไหนก็สั่งไปขังไว้เฉย ๆ ขนาดจะวางยาพิษในแอปเปิ้ล ยังใช้สูตรที่มีวิธีแก้ด้วยการจุมพิตจากเนื้อคู่เอาไว้อีก
ความขัดแย้งระหว่างภาพจำสโนไวท์เก่าและใหม่
กลับมาพูดถึงสโนไวท์บ้าง คิดว่าหลาย ๆ คนก็น่าจะเป็น คือภาพจำสโนไวท์แบบวิถีเดิมมันมาซ้อนทับกับสโนไวท์แบบใหม่
พยายามคงคอสตูม เครื่องแต่งกายและทรงผมแบบเดิมไว้ ซึ่งมันทำให้ขัดกับภาพลักษณ์และลักษณะนิสัยตัวละครที่เปลี่ยนไปมาก
ลุคของน้องเรเชลคือสายลุยหญิงแกร่ง มีความทอมบอย ไม่ได้เรียบร้อยแบบขนบเดิม พอมาเจอกับคอสตูมแบบนี้เลยรู้สึกว่ามันไม่เข้ากันเท่าไร
ช่วงที่ผมว่าทรงผมเข้ากับน้องมากกว่า คือช่วงที่จมน้ำแล้วขึ้นมาใหม่ ๆ ผมว่าลุคลุย ๆ ผมเซอ ๆ เข้ากับน้องมากกว่าพอสมควร
การใช้ CGI
เมื่อถึงช่วงหนีตามล่า เราจะเห็นว่าโทนภาพจะกลายเป็นแบบเน้น CGI คือฉากสัตว์ในเรื่องจะเป็น 3D Animation หมด
แต่ Art Style ไม่ใช่แบบสมจริง แต่เป็นแบบแนวอนิเมชั่น Pixar ส่วนดีไม่ดีแล้วแต่คนชอบ
แต่โดยส่วนตัวรู้สึกแปลก ๆ เพราะเหมือนอารมณ์คนแสดงมันลอยออกมาจากอนิเมชั่น
คนแคระในรูปแบบ CGI: ความคาดหวังกับความเป็นจริง
มาพูดถึงคนแคระบ้าง แนวทางของคนแคระภาคนี้ก็เป็น CGI แบบเดียวกับพวกสัตว์ในเรื่อง
ซึ่งอาจจะดีกว่าแบบดั้งเดิมที่มีภาพหลุดออกมา เพราะคงความออริจินอลให้แฟน ๆ ที่ชอบคนแคระแบบเดิม
แต่โดยส่วนตัว กลับไม่ชอบการปั้นหน้าของคนแคระบางตัว เช่น โดปี้
คือไม่รู้ว่าผู้หญิงมาดูอาจจะเฉย ๆ แต่สำหรับผู้ชายอย่างผมดู คือการแสดงสีหน้ามันอาหวังและจักจี้มาก
การมองหน้าสโนไวท์ของโดปี้มันเหมือนจะกลื่นกินสโนไวท์อยู่ตลอดเวลา ทำเอาผมนึกถึงสโนไวท์นิทานกริมขึ้นมาเลยทีเดียว
บทบาทพระเอกและการปรับเปลี่ยนคนแคระในเนื้อเรื่อง
เมื่อพูดถึงคนแคระก็ต้องพูดถึงพระเอก ที่ภาคนี้มีการเสนอมุมมองของพระเอก และพระเอกไม่ได้เป็นเจ้าชายขี่ม้าขาวที่ไหน
ซึ่งก็คือหัวหน้ากลุ่มโจรที่โผล่มาตอนต้นเรื่องนั่นเอง และเมื่อเราดูไปสักพัก เราจะได้เจอคนแคระเวอร์ชั่นดั้งเดิมที่นึกว่าถูกตัดทิ้งไปแล้ว
อันนี้ผมเดาว่าน่าจะเป็นโครงเรื่องเดิมก่อนถูกแก้แน่ ๆ ซึ่งเดิมคงกะให้กลุ่มความหลากหลายทั้ง 7 เป็นโจรแทนคนแคระนั่นแหละ
แต่โดนกระแสตีกลับเสียก่อน แต่ถึงจะไม่ได้ถูกตัดทิ้งไปหมด แต่ก็แทบไม่เหลือบทอะไรแล้ว
มีออกมาพูดนิดหน่อย ออกมาวางแผน แล้วก็หายไปเลย โผล่มาเป็นตัวประกอบแทน
การเดินเรื่องและการตีความสโนไวท์ใหม่
การเดินเรื่อง อย่างที่บอกว่าบุคลิกสโนไวท์เปลี่ยนเป็นแนวหญิงแกร่ง เพิ่มมิติการเดินเรื่องเพิ่ม
จนบางทีมทีดู ๆ แล้วแอบคิดว่า เอ้ย มันจะตีความเนื้อเรื่องใหม่หรือเปล่า เพราะเหมือนวางแผนให้นิสัยและการกระทำต่างจากเดิม
แต่สุดท้ายก็จะถูกราชินีตบเนื้อเรื่องให้กลับเข้ามาเส้นเรื่องเดิม ถึงสโนไวท์จะดูฉลาดทันคนขึ้น แต่ก็เผลอไปกินแอปเปิ้ลอาบยาพิษอยู่ดี
สรุปความผิดพลาดและบทสรุปสุดแปลก
สรุปแล้วการวางเนื้อเรื่อง มีการพยายามเพิ่มเหตุผล อุดมการณ์ทางการเมืองเพิ่มขึ้น จนบางทีรู้สึกจักจี้
แต่สุดท้ายก็วนกลับมาเป็นสโนไวท์แบบที่เรารู้จักกันเหมือนเดิม
บทพูดตัวละครบางทีก็ขัดแย้งกับบทหรือการแสดงก่อนหน้า
เช่น คนแคระทั้ง 7 เถียงกับกลุ่มความหลากหลายทั้ง 7 แล้วอยู่ดีก็สรุปกันแบบงง ๆ ว่า ราชินีวางแผนให้เราทะเลาะกัน
(ราชินีคงคิดในใจว่าไปวางแผนตอนไหนหว่า)
แล้วด้วยความที่ผมไม่ได้อินมิสิคัล ด้วยบทพูดที่จักจี้อยู่แล้ว เจอเพลงกับการเต้นการแสดงเข้าไปอีกยิ่งจักจี้เข้าไปใหญ่
สุดท้ายแล้ว พอทุกอย่างผสมกัน แล้วจบด้วยบทแบบละครคุณธรรมเข้าไปอีก เลยทำให้เนื้อเรื่องมันมีบทสรุปแบบแปลก ๆ
สุดท้ายแล้วสารภาพตรงๆว่าผมแอบหวังว่า เรื่องนี้มันจะ Woke ไปได้สุดแค่ไหน เลยลงทุนเข้าไปดู
อารมณ์ไปดูหนัง Woke ในยุคสูงสุดก่อนมันจะล่มสลาย แต่กลับกลายเป็นว่าหนังได้แก้บทจนมันไม่ได้ Woke ขนาดนั้นแล้ว
ส่วนที่แก้ไม่ได้แล้วก็คงเป็นตัวนักแสดงนำเอง ที่ถูกเลือกมาแล้ว แก้อะไรไม่ได้แล้ว
พอออกมาแล้วเลยเป็นหนังที่กลางๆ คนดูหนังแบบที่ดูไปคิดไป อาจจะงงกับความขัดแย้งในหลายๆจุด
แต่ถ้าเป็นคนไม่คิดมาก หรือให้เด็กเข้าไปดู ก็ดูได้เพลินๆ ไม่ได้มีแนวความคิดแปลกๆที่อันตรายต่อบุตรหลานของท่าน (ฮา)