ถ้าคุณเรียนจบมัธยมจากเตรียมอุดม รับทุนคิง แล้วไปจบเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาแสตนฟอร์ด ทำงานบริษัทคอนซัลท์ท็อปโลก และบริษัท FMCG ระดับโกลบอล คุณจะลาออกจากงาน มาขายครีมกันแดดในตลาดนัดออฟฟิศไหม?
คนอื่นคิดยังไงเรื่องนี้ไม่รู้ แต่ ‘หนุย-วริษฐา สืบพันธ์วงษ์' หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Mizumi ทำ และทำมันได้ดีด้วย เพราะเธอทำให้กันแดดที่ยังไม่มีที่วางขายในวันนั้นขายได้มากถึง 4 ล้านหลอด รวมถึงสร้างให้บริษัทให้เติบโต จนวันนี้มีรายได้ทะลุ 2 พันล้านแล้วด้วย
เรื่องราวของเธอและธุรกิจเป็นยังไง Brand Inside คุยกับ CEO ของ Mizumi มาแล้วในงาน The Entrepreneur Forum 2025 และพร้อมแล้วจะเล่าให้คุณฟัง
[ ลาออกจากงาน เพราะชอบลงมือทำ ]
เส้นทางของ ‘หนุย-วริษฐา สืบพันธ์วงษ์' ก็คงไม่แตกต่างจากพนักงานออฟฟิศอย่างเราๆ ถ้าไม่ใช่ เพราะเธอดันเป็นคนชอบลงมือทำ
หนุย เรียนจบมัธยมศึกษาจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ที่เป็นที่รู้กันดีว่าเป็นหนึ่งในโรงเรียนที่รวบรวมเหล่าหัวกะทิทั่วประเทศไทยมาไว้รวมกัน ก่อนเธอจะรับ ‘ทุนคิง’ (หรือทุนเล่าเรียนหลวงที่มีการแข่งขันสูงและแต่ละปีมอบให้กับเด็กเพียง 9 คนเท่านั้น) บินข้ามฟ้าไปเรียนถึงสแตนฟอร์ด
หลังจบการศึกษาระดับปริญญาครีทางด้านเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด สหรัฐอเมริกา อันเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 2 ของโลกแล้ว เธอก็เริ่มต้นเส้นทางอาชีพในบริษัทคอนซัลท์ระดับโลก แต่ติดตรงที่งานคอนซัลท์นั้นเน้นคิดเป็นหลัก แต่ไม่เน้นลงมือทำแบบที่เธอชอบ
หนุยจึงมองหาเส้นทางใหม่ ขยับไปทำงานด้าน FMCG ในบริษัทระดับโกลบอลแทน แต่เพราะเป็นแบรนด์ระดับโกลบอล แน่นอนว่าย่อมมีกรอบและขอบเขตมากมาย
หลังเก็บประสบการณ์ทำงานครบ 2 ปี หนุยจึงตัดสินใจว่า เอาล่ะ หรือฉันจะไม่เหมาะกับการทำงานในบริษัท และได้เวลาเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองแล้ว นั่นจึงเป็นจุดกำเนิดของ Mizumi
[ เพื่อน 4 คนจับมือกัน ขายครีมกันแดดในตลาดนัด ]
พอคิดว่าจะมาทำแบรนด์เป็นของตัวเอง หนุยเลือก 'สกินแคร์' สินค้าที่ตัวเองคุ้นเคยและชื่นชอบ ส่วนสินค้าตัวแรกของแบรนด์ หนุยเลือกเริ่มต้นที่ ‘ครีมกันแดด’ ก่อน
สาเหตุเพราะในยุคนั้นหรือราวๆ 10 ปีก่อน หนุยเห็นว่า ในประเทศไทยมีคนทำกันแดดแบบฟิสิคัลน้อยมาก (กันแดดแบบฟิสิคัล หรือ Physical Sunscreen คือครีมกันแดดที่สารกันแดดจะทำหน้าที่เหมือนกระจกสะท้อนรังสี UV ออกไปจากผิว)
โดยในหมู่แบรนด์จำนวนน้อยนิดที่ทำกันแดดแบบฟิสิคัล ก็ไม่ค่อยได้บอกเล่ากับผู้บริโภคเท่าไรว่า กันแดดแบบฟิสิคัลดีและแตกต่างจากกันแดดแบบเคมิคัลอย่างไร เหมาะสมกับคนแพ้ง่าย-ผิวบอบบางมากกว่ากันแค่ไหน รวมถึงเวลานั้นกันแดดกลุ่มฟิสิคัลส่วนใหญ่ ยังมักมีปัญหาขาววอก ทำให้หน้าลอย และสัมผัสเหนียวเหนอะหนะด้วย
หนุยและพาร์ทเนอร์อีก 3 คน จึงปักเลือก ‘กันแดดแบบฟิสิคัล’ เป็นสินค้าตัวแรกของแบรนด์ พร้อมๆ กับมองหาหนทางที่จะปิดเพนพ้อยท์ของกันแดดแบบฟิสิคัลให้ได้ด้วย
หนุยใช้เวลาราว 1-2 ปี พัฒนาสูตรครีมกันแดดแบบฟิสิคัลร่วมกับอาจารย์และโรงงานในญี่ปุ่น ก่อนผลลัพธ์จะออกมาเป็นที่พอใจ ก่อกำเนิดเป็น ‘กันแดดหลอดฟ้า’ อันโด่งดังของ Mizumi
แต่โลกนี้ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ ถึงเพียงนั้น เพราะยุคที่โซเชียลมีเดียยังไม่มากและหลากหลายเท่านี้ แบรนด์ใหม่เล็กๆ จะเข้าสู่ตลาดได้ จำเป็นจะต้องลงไปหาลูกค้าและแนะนำสินค้าด้วยตัวเอง
.
หนุยและพาร์ทเนอร์จึงจับมือกันพากันแดดหลอดฟ้าของ Mizumi ไปขายในตลาดนัด ทั้งตลาดนัดออฟฟิศและตลาดนัดในห้างสรรพสินค้า เพื่อแนะนำให้ลูกค้ารู้จัก
.
ผู้ก่อตั้ง 4 คนของ Mizumi ทำงานอย่างหนัก จนสุดท้ายสามารถส่งกันแดดหลอดฟ้าเข้าไปติดตลาดได้สำเร็จ
.
[ คอนเซปต์ไม่เหมือนใคร ทะลุ 100 ล้านด้วยสินค้าแค่ 3 ตัวเท่านั้น ]
.
พอถามถึงปัจจัยที่ทำให้กันแดดหลอดฟ้าเข้าไปครองใจลูกค้าได้ หนุย คิดว่า เพราะคอนเซปต์ของกันแดดหลอดฟ้าไม่ค่อยเหมือนใครในวันนั้น มีเนื้อเบาสบายเหมาะสำหรับคนแพ้ง่าย ถ้านึกไม่ออกว่าเป็นสิว ผิวพัง จะใช้กันแดดไหน ลูกค้าจะนึกถึง Mizumi รวมถึงยังมีราคาสามารถเข้าถึงได้ ทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อซ้ำอีกได้ไม่ยาก
จุดบูมจุดแรกของ Mizumi คือวันที่เข้าไปขายในวัตสันเป็นครั้งแรก เพราะได้รับโอกาสให้กระจายสินค้าถึงลูกค้าหลายร้อยสาขา
“จุดที่เรารู้สึกว่าเรารอดแน่ๆ คือ ตอนที่เราค้นพบว่ามีคนรักแบรนด์ของเรามากๆ เลย เราไม่มีพนักงานขาย แต่สินค้าของเราสามารถขายตัวเองได้ ไม่ต้องมีคนเชียร์ แปลว่าคนน่าจะชอบสินค้าของเราจริงๆ”
ครบรอบ 3 ปีของการเปิดตัว MIZUMI ถึงทำรายได้ทะลุ 100 ล้านบาท
ณ วันที่มีรายได้ 100 ล้านนั้น Mizumi มีสินค้าอยู่แค่ 3 ตัว คือ กันแดดหลอดฟ้าทาหน้า กัดแดดหลอดส้มทาตัว และคลีนซิ่งวอเตอร์ หลังจากวันนั้น Mizumi ก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ และบูมมากอีก 2 ครั้งในช่วงเข้าวางขายใน 7-Eleven และหลังโควิดที่ช่องทางออนไลน์แทบจะกลายเป็นกระแสหลัก
จากวันแรกจนถึงวันนี้ Mizumi ขายกันแดดหลอดฟ้าไปแล้วกว่า 4 ล้านหลอด สร้างนิวไฮต่อเนื่องทุกปี เป็นสินค้าอันดับ 1 ของแบรนด์มาโดยตลอด
[ ทำงานมา 10 ปี ทำรายได้ทะลุ 2 พันล้าน ]
ปี 2567 ที่ผ่านมา Mizumi มีรายได้ทะลุ 2 พันล้านบาทแล้ว โดยเติบโตเท่าตัวจากปีก่อนหน้าที่มีรายได้ราว 1,000 ล้านบาท ทำให้ Mizumi สามารถขึ้นเป็น Top Local Skincare Brand ของประเทศไทยได้สำเร็จ
ย้อนดูรายได้ตลอด 10 ปีของ Mizumi หรือ บริษัท มิซึฮาดะ กรุ๊ป จำกัด
.
ปี 2558 รายได้ 1.3 ล้าน กำไร 2 แสน
ปี 2559 รายได้ 43 ล้าน กำไร 11 ล้าน
ปี 2560 รายได้ 108 ล้าน กำไร 8.9 ล้าน
ปี 2561 รายได้ 137 ล้าน กำไร 10 ล้าน
ปี 2562 รายได้ 193 ล้าน กำไร 19 ล้าน
ปี 2563 รายได้ 288 ล้าน กำไร 65 ล้าน
ปี 2564 รายได้ 345 ล้าน กำไร 59 ล้าน
ปี 2565 รายได้ 531 ล้าน กำไร 110 ล้าน
ปี 2566 รายได้ 1,067 ล้าน กำไร 216 ล้าน
งบกำไร-ขาดทุนของบริษัทสะท้อนการเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่แข็งแกร่งของ Mizumi ได้เป็นอย่างดี และจะเห็นว่าแนวโน้มของรายได้ในช่วงปีหลังๆ เป็นการเติบโตแบบเท่าตัวทั้งสิ้น
ตอนนี้ Mizumi มีสินค้ารวมกว่า 40 SKU ภายใต้ 3 แบรนด์หลักอย่าง Mimuzi, Bomi และ Gentle Colors น้องใหม่ที่พึ่งเปิดตัวเมื่อปลายปี 2567 เข้ามาเติมเต็มพอร์ตของ Mizumi ในด้านเครื่องสำอางให้สมบูรณ์
‘หนุย’ เล่าสาเหตุที่เลือกแยกแบรนด์ออกมาว่าเป็นเพราะอยากไปให้สุดเรื่องสีสันและแฟชัน ไม่ติดภาพลักษณ์ที่เน้นความอ่อนโยนของ Mizumi ซึ่ง Gentle Colors ก็ได้รับการตอบรับดี ติดตลาดค่อนข้างไว แบรนด์จึงเร่งเติมพอร์ตให้เต็มที่ เปิดตัวมาแล้ว 4 คอลเลกชันใน 10 เดือนที่ผ่านมา
สำหรับปี 2568 นี้ Mizumi มีแผนจะเปิดตัวสินค้าอีก 6-10 ตัว และหลังจากเข้าไปตีตลาดเวียดนามมาแล้ว ปีนี้ก็เตรียมจะไปเปิดตัวในอาเซียนเพิ่มอีก 1 ประเทศ
‘หนุย’ บอกว่า อยากให้ Mizumi สามารถเติบโตเป็น Regional Brand หรือแบรนด์ระดับภูมิภาคได้ เป็นความภูมิใจ เป็นซอฟต์เพาเวอร์ของคนไทย
“ตอนนี้เรามาไกลกว่าที่คิดเยอะมาก ตอนเริ่มทำเราไม่เคยคิดว่าจะมีวันที่ทำรายได้เป็นพันล้านไดั แต่พอทำได้ก็อยากทำดีต่อไป จึงอยากจะทำงานหนัก ไม่ให้ทุกคนผิดหวัง”
https://www.facebook.com/share/p/18NuqXzuNa/
https://brandinside.asia/mizumi-thai-skincare-success-with-2-billion-thb/?fbclid=IwY2xjawJHBV1leHRuA2FlbQIxMQABHTsQtM4EU-lKXMKmoM34YOu0QKq8bHIHau8zRRlAZIqmM5Ab_H0Fusub3g_aem_JRVDR3YEX7jstvGTC80vqw
จากยืนในตลาดนัด ทำยังไงถึงขายได้ 2,000 ล้าน
คนอื่นคิดยังไงเรื่องนี้ไม่รู้ แต่ ‘หนุย-วริษฐา สืบพันธ์วงษ์' หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Mizumi ทำ และทำมันได้ดีด้วย เพราะเธอทำให้กันแดดที่ยังไม่มีที่วางขายในวันนั้นขายได้มากถึง 4 ล้านหลอด รวมถึงสร้างให้บริษัทให้เติบโต จนวันนี้มีรายได้ทะลุ 2 พันล้านแล้วด้วย
เรื่องราวของเธอและธุรกิจเป็นยังไง Brand Inside คุยกับ CEO ของ Mizumi มาแล้วในงาน The Entrepreneur Forum 2025 และพร้อมแล้วจะเล่าให้คุณฟัง
[ ลาออกจากงาน เพราะชอบลงมือทำ ]
เส้นทางของ ‘หนุย-วริษฐา สืบพันธ์วงษ์' ก็คงไม่แตกต่างจากพนักงานออฟฟิศอย่างเราๆ ถ้าไม่ใช่ เพราะเธอดันเป็นคนชอบลงมือทำ
หนุย เรียนจบมัธยมศึกษาจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ที่เป็นที่รู้กันดีว่าเป็นหนึ่งในโรงเรียนที่รวบรวมเหล่าหัวกะทิทั่วประเทศไทยมาไว้รวมกัน ก่อนเธอจะรับ ‘ทุนคิง’ (หรือทุนเล่าเรียนหลวงที่มีการแข่งขันสูงและแต่ละปีมอบให้กับเด็กเพียง 9 คนเท่านั้น) บินข้ามฟ้าไปเรียนถึงสแตนฟอร์ด
หลังจบการศึกษาระดับปริญญาครีทางด้านเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด สหรัฐอเมริกา อันเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 2 ของโลกแล้ว เธอก็เริ่มต้นเส้นทางอาชีพในบริษัทคอนซัลท์ระดับโลก แต่ติดตรงที่งานคอนซัลท์นั้นเน้นคิดเป็นหลัก แต่ไม่เน้นลงมือทำแบบที่เธอชอบ
หนุยจึงมองหาเส้นทางใหม่ ขยับไปทำงานด้าน FMCG ในบริษัทระดับโกลบอลแทน แต่เพราะเป็นแบรนด์ระดับโกลบอล แน่นอนว่าย่อมมีกรอบและขอบเขตมากมาย
หลังเก็บประสบการณ์ทำงานครบ 2 ปี หนุยจึงตัดสินใจว่า เอาล่ะ หรือฉันจะไม่เหมาะกับการทำงานในบริษัท และได้เวลาเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองแล้ว นั่นจึงเป็นจุดกำเนิดของ Mizumi
[ เพื่อน 4 คนจับมือกัน ขายครีมกันแดดในตลาดนัด ]
พอคิดว่าจะมาทำแบรนด์เป็นของตัวเอง หนุยเลือก 'สกินแคร์' สินค้าที่ตัวเองคุ้นเคยและชื่นชอบ ส่วนสินค้าตัวแรกของแบรนด์ หนุยเลือกเริ่มต้นที่ ‘ครีมกันแดด’ ก่อน
สาเหตุเพราะในยุคนั้นหรือราวๆ 10 ปีก่อน หนุยเห็นว่า ในประเทศไทยมีคนทำกันแดดแบบฟิสิคัลน้อยมาก (กันแดดแบบฟิสิคัล หรือ Physical Sunscreen คือครีมกันแดดที่สารกันแดดจะทำหน้าที่เหมือนกระจกสะท้อนรังสี UV ออกไปจากผิว)
โดยในหมู่แบรนด์จำนวนน้อยนิดที่ทำกันแดดแบบฟิสิคัล ก็ไม่ค่อยได้บอกเล่ากับผู้บริโภคเท่าไรว่า กันแดดแบบฟิสิคัลดีและแตกต่างจากกันแดดแบบเคมิคัลอย่างไร เหมาะสมกับคนแพ้ง่าย-ผิวบอบบางมากกว่ากันแค่ไหน รวมถึงเวลานั้นกันแดดกลุ่มฟิสิคัลส่วนใหญ่ ยังมักมีปัญหาขาววอก ทำให้หน้าลอย และสัมผัสเหนียวเหนอะหนะด้วย
หนุยและพาร์ทเนอร์อีก 3 คน จึงปักเลือก ‘กันแดดแบบฟิสิคัล’ เป็นสินค้าตัวแรกของแบรนด์ พร้อมๆ กับมองหาหนทางที่จะปิดเพนพ้อยท์ของกันแดดแบบฟิสิคัลให้ได้ด้วย
หนุยใช้เวลาราว 1-2 ปี พัฒนาสูตรครีมกันแดดแบบฟิสิคัลร่วมกับอาจารย์และโรงงานในญี่ปุ่น ก่อนผลลัพธ์จะออกมาเป็นที่พอใจ ก่อกำเนิดเป็น ‘กันแดดหลอดฟ้า’ อันโด่งดังของ Mizumi
แต่โลกนี้ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ ถึงเพียงนั้น เพราะยุคที่โซเชียลมีเดียยังไม่มากและหลากหลายเท่านี้ แบรนด์ใหม่เล็กๆ จะเข้าสู่ตลาดได้ จำเป็นจะต้องลงไปหาลูกค้าและแนะนำสินค้าด้วยตัวเอง
.
หนุยและพาร์ทเนอร์จึงจับมือกันพากันแดดหลอดฟ้าของ Mizumi ไปขายในตลาดนัด ทั้งตลาดนัดออฟฟิศและตลาดนัดในห้างสรรพสินค้า เพื่อแนะนำให้ลูกค้ารู้จัก
.
ผู้ก่อตั้ง 4 คนของ Mizumi ทำงานอย่างหนัก จนสุดท้ายสามารถส่งกันแดดหลอดฟ้าเข้าไปติดตลาดได้สำเร็จ
.
[ คอนเซปต์ไม่เหมือนใคร ทะลุ 100 ล้านด้วยสินค้าแค่ 3 ตัวเท่านั้น ]
.
พอถามถึงปัจจัยที่ทำให้กันแดดหลอดฟ้าเข้าไปครองใจลูกค้าได้ หนุย คิดว่า เพราะคอนเซปต์ของกันแดดหลอดฟ้าไม่ค่อยเหมือนใครในวันนั้น มีเนื้อเบาสบายเหมาะสำหรับคนแพ้ง่าย ถ้านึกไม่ออกว่าเป็นสิว ผิวพัง จะใช้กันแดดไหน ลูกค้าจะนึกถึง Mizumi รวมถึงยังมีราคาสามารถเข้าถึงได้ ทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อซ้ำอีกได้ไม่ยาก
จุดบูมจุดแรกของ Mizumi คือวันที่เข้าไปขายในวัตสันเป็นครั้งแรก เพราะได้รับโอกาสให้กระจายสินค้าถึงลูกค้าหลายร้อยสาขา
“จุดที่เรารู้สึกว่าเรารอดแน่ๆ คือ ตอนที่เราค้นพบว่ามีคนรักแบรนด์ของเรามากๆ เลย เราไม่มีพนักงานขาย แต่สินค้าของเราสามารถขายตัวเองได้ ไม่ต้องมีคนเชียร์ แปลว่าคนน่าจะชอบสินค้าของเราจริงๆ”
ครบรอบ 3 ปีของการเปิดตัว MIZUMI ถึงทำรายได้ทะลุ 100 ล้านบาท
ณ วันที่มีรายได้ 100 ล้านนั้น Mizumi มีสินค้าอยู่แค่ 3 ตัว คือ กันแดดหลอดฟ้าทาหน้า กัดแดดหลอดส้มทาตัว และคลีนซิ่งวอเตอร์ หลังจากวันนั้น Mizumi ก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ และบูมมากอีก 2 ครั้งในช่วงเข้าวางขายใน 7-Eleven และหลังโควิดที่ช่องทางออนไลน์แทบจะกลายเป็นกระแสหลัก
จากวันแรกจนถึงวันนี้ Mizumi ขายกันแดดหลอดฟ้าไปแล้วกว่า 4 ล้านหลอด สร้างนิวไฮต่อเนื่องทุกปี เป็นสินค้าอันดับ 1 ของแบรนด์มาโดยตลอด
[ ทำงานมา 10 ปี ทำรายได้ทะลุ 2 พันล้าน ]
ปี 2567 ที่ผ่านมา Mizumi มีรายได้ทะลุ 2 พันล้านบาทแล้ว โดยเติบโตเท่าตัวจากปีก่อนหน้าที่มีรายได้ราว 1,000 ล้านบาท ทำให้ Mizumi สามารถขึ้นเป็น Top Local Skincare Brand ของประเทศไทยได้สำเร็จ
ย้อนดูรายได้ตลอด 10 ปีของ Mizumi หรือ บริษัท มิซึฮาดะ กรุ๊ป จำกัด
.
ปี 2558 รายได้ 1.3 ล้าน กำไร 2 แสน
ปี 2559 รายได้ 43 ล้าน กำไร 11 ล้าน
ปี 2560 รายได้ 108 ล้าน กำไร 8.9 ล้าน
ปี 2561 รายได้ 137 ล้าน กำไร 10 ล้าน
ปี 2562 รายได้ 193 ล้าน กำไร 19 ล้าน
ปี 2563 รายได้ 288 ล้าน กำไร 65 ล้าน
ปี 2564 รายได้ 345 ล้าน กำไร 59 ล้าน
ปี 2565 รายได้ 531 ล้าน กำไร 110 ล้าน
ปี 2566 รายได้ 1,067 ล้าน กำไร 216 ล้าน
งบกำไร-ขาดทุนของบริษัทสะท้อนการเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่แข็งแกร่งของ Mizumi ได้เป็นอย่างดี และจะเห็นว่าแนวโน้มของรายได้ในช่วงปีหลังๆ เป็นการเติบโตแบบเท่าตัวทั้งสิ้น
ตอนนี้ Mizumi มีสินค้ารวมกว่า 40 SKU ภายใต้ 3 แบรนด์หลักอย่าง Mimuzi, Bomi และ Gentle Colors น้องใหม่ที่พึ่งเปิดตัวเมื่อปลายปี 2567 เข้ามาเติมเต็มพอร์ตของ Mizumi ในด้านเครื่องสำอางให้สมบูรณ์
‘หนุย’ เล่าสาเหตุที่เลือกแยกแบรนด์ออกมาว่าเป็นเพราะอยากไปให้สุดเรื่องสีสันและแฟชัน ไม่ติดภาพลักษณ์ที่เน้นความอ่อนโยนของ Mizumi ซึ่ง Gentle Colors ก็ได้รับการตอบรับดี ติดตลาดค่อนข้างไว แบรนด์จึงเร่งเติมพอร์ตให้เต็มที่ เปิดตัวมาแล้ว 4 คอลเลกชันใน 10 เดือนที่ผ่านมา
สำหรับปี 2568 นี้ Mizumi มีแผนจะเปิดตัวสินค้าอีก 6-10 ตัว และหลังจากเข้าไปตีตลาดเวียดนามมาแล้ว ปีนี้ก็เตรียมจะไปเปิดตัวในอาเซียนเพิ่มอีก 1 ประเทศ
‘หนุย’ บอกว่า อยากให้ Mizumi สามารถเติบโตเป็น Regional Brand หรือแบรนด์ระดับภูมิภาคได้ เป็นความภูมิใจ เป็นซอฟต์เพาเวอร์ของคนไทย
“ตอนนี้เรามาไกลกว่าที่คิดเยอะมาก ตอนเริ่มทำเราไม่เคยคิดว่าจะมีวันที่ทำรายได้เป็นพันล้านไดั แต่พอทำได้ก็อยากทำดีต่อไป จึงอยากจะทำงานหนัก ไม่ให้ทุกคนผิดหวัง”
https://www.facebook.com/share/p/18NuqXzuNa/
https://brandinside.asia/mizumi-thai-skincare-success-with-2-billion-thb/?fbclid=IwY2xjawJHBV1leHRuA2FlbQIxMQABHTsQtM4EU-lKXMKmoM34YOu0QKq8bHIHau8zRRlAZIqmM5Ab_H0Fusub3g_aem_JRVDR3YEX7jstvGTC80vqw