"
ตอนผมลำบากพวกคุณไปอยู่ไหนมา"
ดราม่าภาษีเชฟกระทะฮ้าง ทำความเข้าใจระบบภาษีและสวัสดิการของไทย
กรณีของ "เชฟกระทะฮ้าง" หรือนายสมบูญ วรรณวงศ์ อินฟลูเอนเซอร์ด้านอาหารชื่อดัง ที่โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวเกี่ยวกับการต้องชำระภาษีเกือบ 200,000 บาท พร้อมประโยคที่ว่า
"ตอนผมลำบากพวกคุณไปอยู่ไหนมา" ได้จุดประเด็นการถกเถียงเรื่องระบบภาษีและสวัสดิการของไทย บทความนี้จะอธิบายความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับระบบภาษีและสวัสดิการของไทย เพื่อสร้างความเข้าใจที่ชัดเจนแก่ประชาชน
กรณีเชฟกระทะฮ้างตัดพ้อเรื่องการเสียภาษี 2 แสนบาท ด้วยประโยค "ตอนผมลำบากพวกคุณไปอยู่ไหนมา" สะท้อนความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับระบบสวัสดิการของรัฐ ความจริงแล้วรัฐจัดสวัสดิการพื้นฐานให้ประชาชนทุกคนผ่านการศึกษาฟรี ระบบหลักประกันสุขภาพ และโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับทุกคนในสังคม แม้แต่ช่วงที่ยังไม่มีรายได้
ความเข้าใจพื้นฐานเรื่องระบบภาษี
ระบบภาษีเป็นกลไกสำคัญที่รัฐใช้ในการระดมทรัพยากรเพื่อบริหารประเทศ โดยมีหลักการสำคัญคือ "ผู้มีรายได้มากควรมีส่วนร่วมในการจ่ายภาษีมากกว่าผู้มีรายได้น้อย" เพื่อสร้างความเป็นธรรมในสังคม
ในประเทศไทย ผู้มีรายได้ถึงเกณฑ์ที่กำหนดมีหน้าที่ตามกฎหมายในการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยอัตราภาษีเป็นแบบขั้นบันได เริ่มตั้งแต่ 0% สำหรับรายได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาทต่อปี ไปจนถึง 35% สำหรับรายได้สุทธิส่วนที่เกิน 5 ล้านบาท
ภาษีไปไหน? ทำไมต้องจ่าย?
ภาษีที่จัดเก็บได้ถูกนำไปใช้เพื่อการบริหารประเทศในหลายด้าน ได้แก่ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน สะพาน ระบบขนส่งมวลชน ไฟฟ้า ประปา ที่ทุกคนในสังคมได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน การศึกษา โดยรัฐจัดสรรงบประมาณสำหรับการศึกษาภาคบังคับฟรี 15 ปี ตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย รวมถึงสนับสนุนอาหารกลางวัน อุปกรณ์การเรียน และชุดนักเรียน
นอกจากนี้ ภาษียังถูกนำไปใช้ในด้านสาธารณสุข ผ่านการสนับสนุนระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) ที่ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพขั้นพื้นฐานได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายหรือเสียในอัตราที่ต่ำ รวมถึงสวัสดิการสังคม เช่น เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เบี้ยความพิการ เงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด และสวัสดิการอื่นๆ สำหรับผู้มีรายได้น้อย ตลอดจนด้านความมั่นคงและการป้องกันประเทศ ซึ่งจำเป็นสำหรับการรักษาอธิปไตยและความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ
สวัสดิการรากหญ้า รัฐดูแลประชาชนตลอด แม้ไม่มีรายได้
ประเด็นที่เชฟกระทะฮ้างกล่าวว่า "ตอนผมลำบากพวกคุณไปอยู่ไหนมา" อาจสะท้อนความไม่เข้าใจเกี่ยวกับสวัสดิการที่รัฐจัดให้แก่ประชาชนทุกคน โดยเฉพาะในช่วงที่ยังไม่มีรายได้หรือมีรายได้น้อย
การศึกษาฟรีนับเป็นสวัสดิการพื้นฐานที่สำคัญที่สุด รัฐไทยจัดการศึกษาฟรี 15 ปี ให้แก่เด็กทุกคนโดยไม่เลือกปฏิบัติ การศึกษาเป็นการลงทุนระยะยาวที่จะช่วยให้เด็กมีความรู้และทักษะในการประกอบอาชีพในอนาคต ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาคุณภาพชีวิต
ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือที่รู้จักกันในชื่อ "30 บาทรักษาทุกโรค" เป็นระบบที่ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพโดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นสวัสดิการที่ครอบคลุมประชาชนทุกคน รวมถึงผู้ที่ไม่มีรายได้หรือรายได้น้อย ช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลที่อาจสูงเกินกำลังของประชาชนทั่วไป
โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นความช่วยเหลือโดยตรงสำหรับผู้มีรายได้น้อย ให้สามารถซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น รวมถึงค่าเดินทาง และสาธารณูปโภคในราคาที่ถูกลง เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพ โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี
โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดมอบเงินช่วยเหลือ 600 บาทต่อเดือนสำหรับเด็กแรกเกิดถึง 6 ปี ในครอบครัวที่มีรายได้น้อย เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตร ส่งเสริมพัฒนาการของเด็กในช่วงปฐมวัยซึ่งเป็นช่วงสำคัญของชีวิต
โครงการประกันสังคมและกองทุนประกันสังคม แม้จะเป็นการสมทบเงินระหว่างลูกจ้าง นายจ้าง และรัฐบาล แต่ก็เป็นระบบสวัสดิการที่ช่วยคุ้มครองแรงงานในกรณีเจ็บป่วย คลอดบุตร ทุพพลภาพ ตาย สงเคราะห์บุตร ชราภาพ และว่างงาน สร้างความมั่นคงให้กับแรงงานในระบบ
นอกจากนี้ ในช่วงวิกฤตต่างๆ รัฐบาลยังมีมาตรการช่วยเหลือเฉพาะกิจ เช่น โครงการเราไม่ทิ้งกัน โครงการคนละครึ่ง เราชนะ ม.33 เรารักกัน ฯลฯ ที่ช่วยเหลือประชาชนในช่วงวิกฤตโควิด-19 เพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม
ประการแรกคือความเข้าใจที่ว่า "ฉันไม่เคยได้รับประโยชน์จากรัฐเลย" ความจริงแล้ว ทุกคนได้รับประโยชน์จากบริการสาธารณะที่รัฐจัดให้ แม้จะไม่รู้สึกโดยตรง เช่น ถนน ไฟฟ้า ประปา การป้องกันประเทศ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ระบบยุติธรรม ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตในสังคมสมัยใหม่
ประการที่สองคือความเข้าใจที่ว่า "ตอนฉันลำบาก รัฐไม่เคยช่วย" รัฐมีระบบสวัสดิการพื้นฐานสำหรับประชาชนทุกคน โดยเฉพาะการศึกษาและการสาธารณสุข ที่แม้แต่ผู้ไม่มีรายได้ก็สามารถเข้าถึงได้ แต่ประชาชนอาจไม่ตระหนักว่านั่นคือสวัสดิการจากภาษีของทุกคน เพราะเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน
ประการที่สามคือความเข้าใจที่ว่า "ภาษีที่ฉันจ่ายสูงเกินไป" ระบบภาษีของไทยเป็นแบบอัตราก้าวหน้า ผู้มีรายได้มากจ่ายในอัตราที่สูงกว่า แต่จ่ายเฉพาะส่วนที่เกินเกณฑ์เท่านั้น นอกจากนี้ยังมีค่าลดหย่อนหลายประเภทที่ช่วยลดภาระภาษี ซึ่งผู้เสียภาษีควรศึกษาและใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่
ประการสุดท้ายคือความเข้าใจที่ว่า "รัฐนำเงินภาษีไปใช้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ" แม้อาจมีปัญหาเรื่องประสิทธิภาพและความโปร่งใสในบางส่วน แต่เงินภาษีส่วนใหญ่ถูกนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ในการพัฒนาประเทศและจัดสวัสดิการให้ประชาชน ผ่านการจัดสรรงบประมาณประจำปีที่ต้องผ่านการพิจารณาของรัฐสภา
คำแนะนำสำหรับนักสร้างคอนเทนต์และผู้มีรายได้อิสระ
สำหรับนักสร้างคอนเทนต์ อินฟลูเอนเซอร์ และผู้มีรายได้อิสระที่กำลังเผชิญกับการจัดการภาษีเป็นครั้งแรก การวางแผนภาษีล่วงหน้าเป็นสิ่งสำคัญ ควรเก็บเงินส่วนหนึ่งไว้สำหรับจ่ายภาษีทันทีที่มีรายได้ (ประมาณ 10-15% ของรายได้) เพื่อไม่ให้รู้สึกกระทบกระเทือนเมื่อถึงเวลาชำระภาษี
การเก็บหลักฐานค่าใช้จ่ายก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ควรเก็บใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษี และหลักฐานค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน เพื่อนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษี ซึ่งจะช่วยลดภาระภาษีได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
การศึกษาเรื่องค่าลดหย่อนภาษีเป็นอีกวิธีที่จะช่วยลดภาระภาษี ไม่ว่าจะเป็นเงินบริจาค เบี้ยประกันชีวิต กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) เงินสมทบประกันสังคม ฯลฯ การวางแผนการลงทุนและค่าใช้จ่ายเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนเหล่านี้จะช่วยประหยัดภาษีได้มาก
การแยกบัญชีส่วนตัวกับบัญชีธุรกิจเป็นวิธีการจัดการการเงินที่ดี เพื่อความชัดเจนในการคำนวณภาษี และป้องกันการปะปนระหว่างรายได้ส่วนตัวกับรายได้จากการประกอบธุรกิจ ซึ่งอาจทำให้การคำนวณภาษีผิดพลาดได้
สำหรับผู้ที่มีรายได้สูงหรือมีโครงสร้างรายได้ที่ซับซ้อน การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีเป็นทางเลือกที่คุ้มค่า เพราะจะช่วยให้วางแผนภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพและถูกต้องตามกฎหมาย อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงจากการคำนวณภาษีผิดพลาดซึ่งอาจนำไปสู่การเสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม
ภาษีคือการมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ
การเสียภาษีไม่ใช่เพียงหน้าที่ตามกฎหมาย แต่เป็นการมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ เมื่อรายได้เพิ่มขึ้น ความรับผิดชอบต่อสังคมก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย การที่ผู้มีรายได้สูงจ่ายภาษีในอัตราที่สูงกว่า ช่วยให้รัฐมีทรัพยากรในการจัดสวัสดิการและพัฒนาประเทศ ซึ่งในระยะยาวจะเกิดประโยชน์ต่อทุกคนในสังคม
กรณีของเชฟกระทะฮ้างสะท้อนให้เห็นว่า การสื่อสารและให้ความรู้เรื่องระบบภาษีและสวัสดิการยังเป็นสิ่งที่จำเป็น เพื่อให้ประชาชนเข้าใจว่า แม้จะรู้สึกว่า "ตอนลำบากรัฐไม่ได้ช่วย" แต่ความจริงแล้ว ทุกคนได้รับสวัสดิการพื้นฐานจากรัฐตั้งแต่เกิดยันแก่ ผ่านระบบการศึกษา สาธารณสุข และโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ซึ่งเป็นผลมาจากภาษีของประชาชนทุกคนนั่นเอง
https://www.tnnthailand.com/tnnexclusive/192809/?fbclid=IwY2xjawJG_zpleHRuA2FlbQIxMQABHYug_ZO_LPkyi-BIT3MWYROBeJ49bzcvE2oMqN-asRJD3G3fC41U8o_bmg_aem_bmlLcNtsZLiv8gipxb5xOg
ดราม่าภาษีเชฟกระทะฮ้าง "ตอนผมลำบากพวกคุณไปอยู่ไหนมา" ทำความเข้าใจระบบภาษีและสวัสดิการของไทย
ดราม่าภาษีเชฟกระทะฮ้าง ทำความเข้าใจระบบภาษีและสวัสดิการของไทย
กรณีของ "เชฟกระทะฮ้าง" หรือนายสมบูญ วรรณวงศ์ อินฟลูเอนเซอร์ด้านอาหารชื่อดัง ที่โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวเกี่ยวกับการต้องชำระภาษีเกือบ 200,000 บาท พร้อมประโยคที่ว่า
"ตอนผมลำบากพวกคุณไปอยู่ไหนมา" ได้จุดประเด็นการถกเถียงเรื่องระบบภาษีและสวัสดิการของไทย บทความนี้จะอธิบายความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับระบบภาษีและสวัสดิการของไทย เพื่อสร้างความเข้าใจที่ชัดเจนแก่ประชาชน
กรณีเชฟกระทะฮ้างตัดพ้อเรื่องการเสียภาษี 2 แสนบาท ด้วยประโยค "ตอนผมลำบากพวกคุณไปอยู่ไหนมา" สะท้อนความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับระบบสวัสดิการของรัฐ ความจริงแล้วรัฐจัดสวัสดิการพื้นฐานให้ประชาชนทุกคนผ่านการศึกษาฟรี ระบบหลักประกันสุขภาพ และโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับทุกคนในสังคม แม้แต่ช่วงที่ยังไม่มีรายได้
ความเข้าใจพื้นฐานเรื่องระบบภาษี
ระบบภาษีเป็นกลไกสำคัญที่รัฐใช้ในการระดมทรัพยากรเพื่อบริหารประเทศ โดยมีหลักการสำคัญคือ "ผู้มีรายได้มากควรมีส่วนร่วมในการจ่ายภาษีมากกว่าผู้มีรายได้น้อย" เพื่อสร้างความเป็นธรรมในสังคม
ในประเทศไทย ผู้มีรายได้ถึงเกณฑ์ที่กำหนดมีหน้าที่ตามกฎหมายในการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยอัตราภาษีเป็นแบบขั้นบันได เริ่มตั้งแต่ 0% สำหรับรายได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาทต่อปี ไปจนถึง 35% สำหรับรายได้สุทธิส่วนที่เกิน 5 ล้านบาท
ภาษีไปไหน? ทำไมต้องจ่าย?
ภาษีที่จัดเก็บได้ถูกนำไปใช้เพื่อการบริหารประเทศในหลายด้าน ได้แก่ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน สะพาน ระบบขนส่งมวลชน ไฟฟ้า ประปา ที่ทุกคนในสังคมได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน การศึกษา โดยรัฐจัดสรรงบประมาณสำหรับการศึกษาภาคบังคับฟรี 15 ปี ตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย รวมถึงสนับสนุนอาหารกลางวัน อุปกรณ์การเรียน และชุดนักเรียน
นอกจากนี้ ภาษียังถูกนำไปใช้ในด้านสาธารณสุข ผ่านการสนับสนุนระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) ที่ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพขั้นพื้นฐานได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายหรือเสียในอัตราที่ต่ำ รวมถึงสวัสดิการสังคม เช่น เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เบี้ยความพิการ เงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด และสวัสดิการอื่นๆ สำหรับผู้มีรายได้น้อย ตลอดจนด้านความมั่นคงและการป้องกันประเทศ ซึ่งจำเป็นสำหรับการรักษาอธิปไตยและความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ
สวัสดิการรากหญ้า รัฐดูแลประชาชนตลอด แม้ไม่มีรายได้
ประเด็นที่เชฟกระทะฮ้างกล่าวว่า "ตอนผมลำบากพวกคุณไปอยู่ไหนมา" อาจสะท้อนความไม่เข้าใจเกี่ยวกับสวัสดิการที่รัฐจัดให้แก่ประชาชนทุกคน โดยเฉพาะในช่วงที่ยังไม่มีรายได้หรือมีรายได้น้อย
การศึกษาฟรีนับเป็นสวัสดิการพื้นฐานที่สำคัญที่สุด รัฐไทยจัดการศึกษาฟรี 15 ปี ให้แก่เด็กทุกคนโดยไม่เลือกปฏิบัติ การศึกษาเป็นการลงทุนระยะยาวที่จะช่วยให้เด็กมีความรู้และทักษะในการประกอบอาชีพในอนาคต ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาคุณภาพชีวิต
ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือที่รู้จักกันในชื่อ "30 บาทรักษาทุกโรค" เป็นระบบที่ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพโดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นสวัสดิการที่ครอบคลุมประชาชนทุกคน รวมถึงผู้ที่ไม่มีรายได้หรือรายได้น้อย ช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลที่อาจสูงเกินกำลังของประชาชนทั่วไป
โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นความช่วยเหลือโดยตรงสำหรับผู้มีรายได้น้อย ให้สามารถซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น รวมถึงค่าเดินทาง และสาธารณูปโภคในราคาที่ถูกลง เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพ โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี
โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดมอบเงินช่วยเหลือ 600 บาทต่อเดือนสำหรับเด็กแรกเกิดถึง 6 ปี ในครอบครัวที่มีรายได้น้อย เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตร ส่งเสริมพัฒนาการของเด็กในช่วงปฐมวัยซึ่งเป็นช่วงสำคัญของชีวิต
โครงการประกันสังคมและกองทุนประกันสังคม แม้จะเป็นการสมทบเงินระหว่างลูกจ้าง นายจ้าง และรัฐบาล แต่ก็เป็นระบบสวัสดิการที่ช่วยคุ้มครองแรงงานในกรณีเจ็บป่วย คลอดบุตร ทุพพลภาพ ตาย สงเคราะห์บุตร ชราภาพ และว่างงาน สร้างความมั่นคงให้กับแรงงานในระบบ
นอกจากนี้ ในช่วงวิกฤตต่างๆ รัฐบาลยังมีมาตรการช่วยเหลือเฉพาะกิจ เช่น โครงการเราไม่ทิ้งกัน โครงการคนละครึ่ง เราชนะ ม.33 เรารักกัน ฯลฯ ที่ช่วยเหลือประชาชนในช่วงวิกฤตโควิด-19 เพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม
ประการแรกคือความเข้าใจที่ว่า "ฉันไม่เคยได้รับประโยชน์จากรัฐเลย" ความจริงแล้ว ทุกคนได้รับประโยชน์จากบริการสาธารณะที่รัฐจัดให้ แม้จะไม่รู้สึกโดยตรง เช่น ถนน ไฟฟ้า ประปา การป้องกันประเทศ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ระบบยุติธรรม ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตในสังคมสมัยใหม่
ประการที่สองคือความเข้าใจที่ว่า "ตอนฉันลำบาก รัฐไม่เคยช่วย" รัฐมีระบบสวัสดิการพื้นฐานสำหรับประชาชนทุกคน โดยเฉพาะการศึกษาและการสาธารณสุข ที่แม้แต่ผู้ไม่มีรายได้ก็สามารถเข้าถึงได้ แต่ประชาชนอาจไม่ตระหนักว่านั่นคือสวัสดิการจากภาษีของทุกคน เพราะเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน
ประการที่สามคือความเข้าใจที่ว่า "ภาษีที่ฉันจ่ายสูงเกินไป" ระบบภาษีของไทยเป็นแบบอัตราก้าวหน้า ผู้มีรายได้มากจ่ายในอัตราที่สูงกว่า แต่จ่ายเฉพาะส่วนที่เกินเกณฑ์เท่านั้น นอกจากนี้ยังมีค่าลดหย่อนหลายประเภทที่ช่วยลดภาระภาษี ซึ่งผู้เสียภาษีควรศึกษาและใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่
ประการสุดท้ายคือความเข้าใจที่ว่า "รัฐนำเงินภาษีไปใช้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ" แม้อาจมีปัญหาเรื่องประสิทธิภาพและความโปร่งใสในบางส่วน แต่เงินภาษีส่วนใหญ่ถูกนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ในการพัฒนาประเทศและจัดสวัสดิการให้ประชาชน ผ่านการจัดสรรงบประมาณประจำปีที่ต้องผ่านการพิจารณาของรัฐสภา
คำแนะนำสำหรับนักสร้างคอนเทนต์และผู้มีรายได้อิสระ
สำหรับนักสร้างคอนเทนต์ อินฟลูเอนเซอร์ และผู้มีรายได้อิสระที่กำลังเผชิญกับการจัดการภาษีเป็นครั้งแรก การวางแผนภาษีล่วงหน้าเป็นสิ่งสำคัญ ควรเก็บเงินส่วนหนึ่งไว้สำหรับจ่ายภาษีทันทีที่มีรายได้ (ประมาณ 10-15% ของรายได้) เพื่อไม่ให้รู้สึกกระทบกระเทือนเมื่อถึงเวลาชำระภาษี
การเก็บหลักฐานค่าใช้จ่ายก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ควรเก็บใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษี และหลักฐานค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน เพื่อนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษี ซึ่งจะช่วยลดภาระภาษีได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
การศึกษาเรื่องค่าลดหย่อนภาษีเป็นอีกวิธีที่จะช่วยลดภาระภาษี ไม่ว่าจะเป็นเงินบริจาค เบี้ยประกันชีวิต กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) เงินสมทบประกันสังคม ฯลฯ การวางแผนการลงทุนและค่าใช้จ่ายเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนเหล่านี้จะช่วยประหยัดภาษีได้มาก
การแยกบัญชีส่วนตัวกับบัญชีธุรกิจเป็นวิธีการจัดการการเงินที่ดี เพื่อความชัดเจนในการคำนวณภาษี และป้องกันการปะปนระหว่างรายได้ส่วนตัวกับรายได้จากการประกอบธุรกิจ ซึ่งอาจทำให้การคำนวณภาษีผิดพลาดได้
สำหรับผู้ที่มีรายได้สูงหรือมีโครงสร้างรายได้ที่ซับซ้อน การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีเป็นทางเลือกที่คุ้มค่า เพราะจะช่วยให้วางแผนภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพและถูกต้องตามกฎหมาย อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงจากการคำนวณภาษีผิดพลาดซึ่งอาจนำไปสู่การเสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม
ภาษีคือการมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ
การเสียภาษีไม่ใช่เพียงหน้าที่ตามกฎหมาย แต่เป็นการมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ เมื่อรายได้เพิ่มขึ้น ความรับผิดชอบต่อสังคมก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย การที่ผู้มีรายได้สูงจ่ายภาษีในอัตราที่สูงกว่า ช่วยให้รัฐมีทรัพยากรในการจัดสวัสดิการและพัฒนาประเทศ ซึ่งในระยะยาวจะเกิดประโยชน์ต่อทุกคนในสังคม
กรณีของเชฟกระทะฮ้างสะท้อนให้เห็นว่า การสื่อสารและให้ความรู้เรื่องระบบภาษีและสวัสดิการยังเป็นสิ่งที่จำเป็น เพื่อให้ประชาชนเข้าใจว่า แม้จะรู้สึกว่า "ตอนลำบากรัฐไม่ได้ช่วย" แต่ความจริงแล้ว ทุกคนได้รับสวัสดิการพื้นฐานจากรัฐตั้งแต่เกิดยันแก่ ผ่านระบบการศึกษา สาธารณสุข และโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ซึ่งเป็นผลมาจากภาษีของประชาชนทุกคนนั่นเอง
https://www.tnnthailand.com/tnnexclusive/192809/?fbclid=IwY2xjawJG_zpleHRuA2FlbQIxMQABHYug_ZO_LPkyi-BIT3MWYROBeJ49bzcvE2oMqN-asRJD3G3fC41U8o_bmg_aem_bmlLcNtsZLiv8gipxb5xOg